แนวโน้มอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีหลัง … อาจชะลอตัวลง

ภาวะอุตสาหกรรมในช่วงที่ผ่านมาเผชิญปัจจัยลบรุมล้อมหลายด้าน เช่น ปัญหาไข้หวัดนก ความผันผวนของราคาน้ำมัน ราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ภาวะแห้งแล้งที่ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหาย การขาดแคลนวัตถุดิบ มาตรการทางการค้า เช่น การไต่สวนการทุ่มตลาดกุ้งของสหรัฐ ปัจจัยกระทบต่างๆเหล่านี้ได้ส่งผลให้หลายอุตสาหกรรมมีการเติบโตต่ำกว่าที่เดิมเคยคาดการณ์ไว้ สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 ภาคอุตสาหกรรมไทยยังคงมีโอกาสที่จะเผชิญปัจจัยเสี่ยงที่ต่อเนื่องมาจากช่วงครึ่งปีแรก รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มเข้ามาใหม่ เช่น ผลกระทบจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งอาจส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 มีการเติบโตในอัตราที่ชะลอลงจากช่วงครึ่งปีแรก

การผลิตในภาคอุตสาหกรรมของไทยเริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัวในช่วงไตรมาสที่สอง โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2547 มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 6.9 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 11.3 ในช่วงไตรมาสแรก โดยส่วนสำคัญเป็นการหดตัวลงของการผลิตในอุตสาหกรรมอาหารที่ประสบปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ และการส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งที่สหรัฐอยู่ระหว่างพิจารณาอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดต่อผลิตภัณฑ์กุ้งที่นำเข้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์แนวโน้มภาคอุตสาหกรรมของไทยในช่วงที่เหลือของปี 2547 โดยมีประเด็นสำคัญโดยสรุปดังนี้

– ตลาดภายในประเทศ การใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังมีโอกาสที่จะเผชิญปัจจัยเชิงลบต่อเนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก จากทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังอ่อนไหวต่อความเสี่ยงจากเหตุการณ์ก่อการร้ายในอิรักและกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง สถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ นอกจากนี้ ปัจจัยด้านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศจะส่งผลกดดันต่อนโยบายอัตราดอกเบี้ยของไทย ซึ่งผู้บริโภคเริ่มรับรู้ต่อสัญญาณที่ดอกเบี้ยในประเทศจะเริ่มเข้าสู่ช่วงขาขึ้น ซึ่งปัจจัยข้างต้นอาจส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 มีโอกาสที่จะชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่สอง อย่างไรก็ตาม คาดว่าการลงทุนของภาครัฐจะยังคงเติบโตในอัตราเร่ง ส่งผลให้การลงทุนโดยรวมในปี 2547 มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

– ตลาดต่างประเทศ คาดว่าตลาดสหรัฐน่าจะยังมีแนวโน้มเติบโตดี แต่การทะยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED อาจส่งผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐ โดยเฉพาะเพื่อการซื้อสินค้าคงทน เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ซึ่งผลของอัตราดอกเบี้ยในช่วงขาขึ้นอาจเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ส่วนตลาดญี่ปุ่นมีแนวโน้มเติบโต ตามทิศทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เติบโตแข็งแกร่ง ตลาดสหภาพยุโรปมีแนวโน้มขยายตัวดีตามการฟื้นตัวขึ้นของเศรษฐกิจประเทศยุโรป ตลาดอาเซียนน่าจะขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่องจากการขยายการส่งออกภายใต้ AFTA และภาวะเศรษฐกิจที่มีทิศทางขยายตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดจีนมีแนวโน้มชะลอลงค่อนข้างมากตามการชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีน โดยรวมแล้วคาดว่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมน่าจะขยายตัวใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่อัตราประมาณร้อยละ 18 แต่สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมที่ไม่รวมสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรคาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 20 สูงขึ้นเล็กน้อยจากปี 2546 ที่ขยายตัวร้อยละ 18

– อุตสาหกรรมสำคัญที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ เหล็ก อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากปีก่อนหน้า แต่คาดว่ายังจะเติบโตในอัตราสูงกว่าร้อยละ 20 อุตสาหกรรมเครื่องดื่มเป็นอีกกลุ่มที่คาดว่าจะเติบโตชะลอลง ส่วนอุตสาหกรรมอาหารคาดว่าจะหดตัวลงประมาณร้อยละ 7

– แนวโน้มการผลิตในภาคอุตสาหกรรม คาดว่าผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 8 ชะลอลงจากช่วงครึ่งปีแรกที่คาดว่าขยายตัวประมาณร้อยละ 9.5 ส่งผลให้คาดการณ์การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในปี 2547 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 9 ลดลงจากที่เติบโตในอัตราร้อยละ 12.3 ในปี 2546

– อัตราการใช้กำลังผลิตของภาคอุตสาหกรรม คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากระดับการผลิตที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอาจมีระดับโดยเฉลี่ยตลอดปี 2547 ประมาณ 74% ในกรณีที่ไม่มีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง กำลังการผลิตโดยรวมน่าจะมีทิศทางที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนขยายกำลังการผลิตใหม่ในอุตสาหกรรมสำคัญ ซึ่งหากในกรณีที่กำลังการผลิตโดยรวม (Total Capacity) เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 5 คาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตจะมีระดับโดยเฉลี่ย 71% ในปี 2547 จากระดับ 66.3% ในปี 2546 โดยอัตราการใช้กำลังผลิต ณ สิ้นปี น่าจะปรับสูงขึ้นไปที่ระดับประมาณ 76-78%

สำหรับตัวแปรที่อาจส่งผลให้มุมมองแนวโน้มอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น (หรือทรุดลง) จากการคาดการณ์นี้ ได้แก่ ทิศทางราคาน้ำมันซึ่งความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือสถานการณ์การก่อการร้ายในตะวันออกกลาง การแก้ไขปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ ทิศทางตลาดหุ้น ซึ่งถ้าปัจจัยเหล่านี้ผันแปรไปในทิศทางที่ดีขึ้นน่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนในระยะข้างหน้า