ในช่วงครึ่งแรกของปี 2547 มูลค่าการซื้อขายในตลาดตราสารหนี้ได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2546 ทั้งนี้ปัจจัยหลักที่เข้ามากดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ได้แก่ การคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย R/P 14 วันของธนาคารแห่งประเทศไทย อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และ ความวิตกกังวลในเรื่องของสภาพคล่องในระบบการเงินเนื่องมาจากการที่ธนาคารพาณิชย์ได้ปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ตลอดจนการปรับขึ้นของราคาน้ำมันที่อาจส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในประเทศ ซึ่งจนถึงบัดนี้ความวิตกกังวลของนักลงทุนในเรื่องต่างๆเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่ และคาดว่าจะยังคงส่งผลกระทบต่อการซื้อขายในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปี 2547 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมในตลาดตราสารหนี้ตั้งแต่เดือน ม.ค. – มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมทั้งได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการซื้อขายในตลาดในช่วงเวลาที่ยังเหลือของปี 2547 ได้ดังนี้
•การออกตราสารหนี้ในตลาดแรก(Primary Market)
เมื่อพิจารณาตราสารหนี้ที่ออกใหม่ในตลาดแรก(Primary Market)พบว่า ในช่วงเวลาตั้งแต่เดือน ม.ค. – มิ.ย.ของปี 2547 มูลค่าการออกตราสารหนี้ในตลาดแรกได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 47 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นในส่วนของตราสารหนี้ภาครัฐถึงร้อยละ 58 โดยตราสารหนี้ที่ออกใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มของตั๋วเงินคลังมีมูลค่ารวมถึง 241 พันล้านบาท เป็นการเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 85 ตามมาด้วยพันธบัตรองค์กรภาครัฐ อันได้แก่พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยมีมูลค่า 200 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 44 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พันธบัตรรัฐบาลมีมูลค่า 92 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 ส่วนมูลค่าของพันธบัตรรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 56 ในขณะที่มูลค่าของตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ออกในตลาดแรกซึ่งอยู่ที่ประมาณ 69.5 พันล้านบาท เป็นตราสารหนี้เพียงกลุ่มเดียวที่มีมูลค่าการออกขายเสนอขายลดลง โดยได้ลดลงไปจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 73.32 พันล้านบาท ประมาณร้อยละ 5
•การซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรอง(Secondary Market)
บรรยากาศในการลงทุนในตลาดรอง(Secondary Market)เป็นไปค่อนข้างคึกคักในช่วงไตรมาสแรกของปีจากข่าวการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกซึ่งทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นไปอย่างซบเซา และได้ส่งผลให้นักลงทุนบางกลุ่มหันมาลงทุนในตลาดตราสารหนี้มากขึ้น นอกจากนั้นการที่มีกองทุนใหม่ๆเกิดขึ้นมาในตลาดหลายกองทุน และการที่มีปริมาณอุปทานของตราสารหนี้โดยเฉพาะในส่วนของตราสารหนี้ภาครัฐออกมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ได้มีส่วนในการกระตุ้นการซื้อขาย แต่ปริมาณการซื้อขายกลับลดลงในเดือน เมษายน และพฤษภาคม จากการคาดการณ์ถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯที่ได้เริ่มชัดเจนขึ้น และความวิตกกังวลถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่จะตามมา ต่อมาการซื้อขายได้กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในเดือน มิ.ย. หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ออกมาเผยว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยในประเทศไว้ที่ร้อยละ1.25 โดยยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศในระยะเวลาอันใกล้ เนื่องจากสภาพคล่องในระบบการเงินที่ยังคงมีอยู่สูง และอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งทำให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลลงไปได้ในระดับหนึ่ง
มูลค่าการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองใน 6 เดือนแรกของปี 2547 ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณร้อยละ 10 ทั้งนี้เป็นการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการซื้อขายในกลุ่มของพันธบัตรองค์กรภาครัฐถึงร้อยละ 92 อันเป็นผลจากปริมาณของพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีการออกใหม่อย่างต่อเนื่องในทุกเดือน การเพิ่มในกลุ่มพันธบัตรรัฐวิสาหกิจคิดเป็นร้อยละ 60.8 และในกลุ่มของตั๋วเงินคลังร้อยละ 44 ส่วนมูลค่าการซื้อขายในกลุ่มพันธบัตรรัฐบาลได้ปรับลดลงถึงร้อยละ 30 และกลุ่มของตราสารหนี้ภาคเอกชนได้ลดลงไปร้อยละ 8 จากปีก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากปริมาณการออกหุ้นกู้ของเอกชนในช่วงครึ่งแรกของปีที่ลดลงจากปีก่อนเช่นกัน
• การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา (ม.ค. – มิ.ย.)
หากพิจารณาการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยโดยวัดจาก Average Yield of Thai BDC Government Bond Index เปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวของ 10 Year US Treasury ในช่วง 6 เดือนแรกของปี จะพบว่าในช่วง 3 เดือนแรกของปี เส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล ได้มีการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ตามการปรับลดลงของอัตราผลตอบแทนในตลาดสหรัฐฯ ประกอบกับได้รับผลกระทบจากข่าวการระบาดของโรคไข้หวัดนก ซึ่งทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจ และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยในระบบน่าที่จะอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องไปได้อีก ทำให้อัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้อ่อนตัวลง อย่างไรก็ตามตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา อัตราผลตอบแทนได้มีการปรับตัวขึ้นอย่างมาก ตามการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนในสหรัฐฯ หลังจากมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ส่วนใหญ่แล้วอัตราผลตอบแทนจะปรับขึ้นในกลุ่มพันธบัตรระยะกลาง และระยะยาว ในขณะที่นักลงทุนได้หันไปซื้อขายตราสารหนี้ระยะสั้นมากขึ้น
แนวโน้มของตลาดตราสารหนี้ในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2547
สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการลงทุนในตลาดตราสารหนี้จะเป็นไปอย่างระมัดระวังมากขึ้นกว่าในช่วงครึ่งปีแรกจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทั้งในและต่างประเทศ โดยมีปัจจัยที่ควรพิจารณาดังนี้
? อุปสงค์ในตลาดตราสารหนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นว่าความต้องการลงทุนในตรา
สารหนี้จะชะลอตัวลงจากในช่วงครึ่งปีแรกโดยเฉพาะในตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาว เนื่องจากการที่คาดว่าอัตราผลตอบแทนมีแนวโน้มจะปรับขึ้น ในขณะที่นักลงทุนจะยังคงให้ความสนใจที่จะลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นหลัก เนื่องจากมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนต่ำกว่าตราสารนี้ระยะยาว ทั้งนี้คาดว่าปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความต้องการลงทุนในตราสารหนี้ที่นักลงทุนน่าจะจับตาดูเป็นพิเศษในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2547 นี้ จะได้แก่
1. อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
การที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯอยู่ในช่วงขาขึ้นและมีแนวโน้มจะถูกปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี 2547 (หลังจากที่ถูกปรับขึ้นไปจากระดับต่ำสุดในรอบกว่า 4 ทศวรรษ ที่ร้อยละ1 ขึ้นไปอีกร้อยละ 0.25 เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา) ทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯมีการปรับตัวสูงขึ้นไปล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยมีการปรับตัวตามไปในลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการคำนวณหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทย และสหรัฐฯ โ
ดยคิดจากอัตราผลตอบแทน ณ.สิ้นวันของพันธบัตรแต่ละประเภท ตั้งแต่เดือน ม.ค. จนถึง สิ้นเดือน มิ.ย. พบว่า มีค่าความสัมพันธ์ในเชิงบวก ซึ่งหมายถึงว่ามีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของพันธบัตรระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งมีค่าความสัมพันธ์สูงเกินกว่า 0.8 โดยในกรณีของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 5 ปี และ US 5 Year Treasury มีความสัมพันธ์กันมากถึง 0.9524 สำหรับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นนั้นพบว่า จะถูกกำหนดโดยสภาพคล่องในประเทศมากกว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศ โดยค่าความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังอายุ 3 เดือน และ US 3 month Treasury อยู่ที่ 0.28 และค่าความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนของตั๋วเงินคลัง 6 เดือน และ US 6 month Treasury อยู่ที่ 0.65
ทั้งนี้จากแถลงการณ์นโยบายการเงินรอบครึ่งปีของนาย อลัน กรีนสแปน ประธาน ธนาคารกลางสหรัฐฯต่อวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้กล่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมายังคงมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะยังขยายตัวต่อไปในปีนี้ จนถึงปีหน้า ทำให้มีแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯจะถูกปรับขึ้นต่อไป ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะยังคงไว้ซึ่งนโยบายในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯจะทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยไปจนอยู่ที่ระดับร้อยละ 2 ภายในสิ้นปี 2547 และร้อยละ 3.5 ในปี 2548
อย่างไรก็ตาม หากว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในอีกหลายเดือนข้างหน้านี้เพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาด ก็อาจจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯเปลี่ยนการดำเนินนโยบายเงินเป็นแบบเข้มงวดมากขึ้น อันจะนำมาสู่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราเร่งกว่าที่คาด ซึ่งอาจกดดันธนาคารแห่งประเทศไทยให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย R/P 14 วัน เพื่อป้องกันการไหลออกของเงินทุน ทั้งนี้ความเป็นไปได้ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย R/P ดังกล่าวย่อมจะกระทบต่อความต้องการซื้อพันธบัตร พร้อมทั้งกดดันบรรยากาศในการซื้อขายให้ซบเซาลงไปมากขึ้น นอกจากนั้นคาดว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นของไทยจะมีการปรับตัวสูงขึ้น อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินตามการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย R/P นอกเหนือไปจากอัตราผลตอบแทนในกลุ่มพันธบัตรระยะกลาง และระยะยาวในประเทศไทยที่เคลื่อนไหวตามอัตราผลตอบแทนในตลาดสหรัฐฯ
2. การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย
ถึงแม้ว่าในการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย R/P 14 วันในขณะนี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายใน เช่น สถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ และปัญหาไข้หวัดนกที่กลับมาอีกครั้ง ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน รวมทั้งปัจจัยภายนอก เช่น ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน ก็ได้มีความเห็นว่าการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำมากเช่นในปัจจุบันมีความจำเป็นน้อยลง และพร้อมที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของระดับราคาในประเทศหากพบว่าตัวแปรต่างๆเหล่านี้ปรับตัวขึ้นอย่างมาก อันได้แก่
• อัตราเงินเฟ้อในประเทศ จากการที่เศรษฐกิจขยายตัวรวมทั้งราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนพบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 และ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานใน 6 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 และ ร้อยละ 0.3 ซึ่งยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ร้อยละ 0-3.5 แต่แนวโน้มของราคาน้ำมันและเศรษฐกิจที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องจะยังคงเป็นแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดต่อไป
• การขยายตัวของภาคเศรษฐกิจบางภาค เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีการขยายตัวอย่างมาก โดยในไตรมาสแรกของปี 2547 พบว่ามูลค่าซื้อขายที่ดินได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 45.7 ของช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และ ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อระดับราคาในประเทศที่จะเพิ่มขึ้นตามมา
• หนี้สินในภาคครัวเรือนที่ขยายตัวขึ้นอย่างมาก ซึ่งบ่งบอกถึงการใช้จ่ายในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และได้อยู่ในระดับที่สูงกว่ารายได้ ทั้งนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ระบุว่า รายได้ของครัวเรือน ณ ไตรมาส 1/2547 ได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 10.5 หรือที่ 17,094 บาท/ครัวเรือน/เดือน ในขณะที่ยอดหนี้ครัวเรือนไทยในช่วงเวลาเดียวกันนั้นได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.7 หรือที่ 110,133 บาท/ครัวเรือน/เดือน ซึ่งเป็นระดับที่สูงถึง 6.4 เท่าของรายได้
3. สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ ถึงแม้ว่าสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินของไทย
จากข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือน พ.ค. พบว่ายังมีอยู่สูงถึงเกือบ 1 ล้านล้านบาท(รวมหลักทรัพย์ที่ปราศจากภาระผูกพัน เงินฝากที่ธปท. และเงินสดในมือ หักด้วยสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรง) แต่สภาพคล่องส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มธนาคารเอกชนขนาดใหญ่ 5 แห่งเท่านั้น นอกจากนี้ในช่วงครึ่งหลังของปีคาดว่าธนาคารพาณิชย์ต่างๆจะเร่งการขยายสินเชื่อมากขึ้น ในขณะที่จะมีการขยายตัวของเงินฝากลดลง ทั้งนี้คาดว่าสภาพคล่องในกลุ่มธนาคารของรัฐ และ ธนาคารลูกครึ่งนั้นจะอยู่ในฐานะที่ตึงตัวมากขึ้น โดยในกรณีธนาคารของรัฐนั้นจากตัวเลข ณ. เดือน มิ.ย.พบว่าได้มีการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.72 ในขณะที่มียอด NPL เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 32 เมื่อเทียบกับเดือน มิ.ย. ในปีที่ผ่านมา ส่
วนในกลุ่มธนาคารลูกครึ่งนั้นถึงแม้ว่าได้มีการให้สินเชื่อลดลงร้อยละ 1.72 แต่ก็ได้มีสัดส่วนของเงินฝากลดลงถึงร้อยละ 2.3 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการเพื่อชดเชยความตึงตัวของสภาพคล่องไปบ้างแล้ว สะท้อนผ่านการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากบางประเภท เช่น เงินฝากประจำระยะยาว การกู้ยืมในตลาดเงินระยะสั้น การออกหุ้นกู้ เป็นต้น ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนำโดยธนาคารของรัฐ ก็อาจจะส่งผลให้เงินฝากที่อยู่ในธนาคารเอกชนขนาดใหญ่เคลื่อนออกไปยังธนาคารที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้อาจมีการคาดการณ์ว่าธนาคารขนาดใหญ่เหล่านั้นอาจจะต้องทยอยขายพันธบัตรออกมา ซึ่งย่อมจะเป็นการกดดันอัตราผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรให้ปรับตัวสูงขึ้น
? อุปทานในตลาดตราสารหนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คาดการณ์ว่าปริมาณของพันธบัตร
ออกใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 นี้ น่าจะยังคงขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งหลังของปี 2546 และครึ่งแรกของปี 2547 ทั้งนี้คาดว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นในส่วนของพันธบัตรภาครัฐเป็นสำคัญ โดยซึ่งอุปทานที่เพิ่มขึ้นจะมาจาก
– การออกพันธบัตรเพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนฟื้นฟู (FIDF3) จำนวน 2 แสนล้านบาท ซึ่งได้มีการออกในรูปของพันธบัตรรัฐบาลไปแล้ว 5.5 หมื่นล้านบาทในช่วงต้นปี สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีจะมีการออกพันธบัตรออมทรัพย์จำนวน 7 หมื่นล้านบาทเพื่อขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในเดือน สิงหาคม และการออกเอเชียบอนด์จำนวน 3 หมื่นล้านบาท เพื่อขายให้กับนักลงทุนที่อยู่ต่างประเทศ และส่วนที่เหลืออีก 4.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะทยอยออกขายให้กับนักลงทุนทั่วไปในรูปของพันธบัตรรัฐบาล หรือ ตั๋วสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ต่อไป
– การปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรเพื่อชดเชยความเสียหายให้กองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF1) วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท ด้วยการต่ออายุหนี้ในรูปของพันธบัตรรัฐบาล และตั๋วปรับโครงสร้างหนี้ในวงเงิน 4 หมื่นล้านบาทในช่วงเดือนมิ.ย. ถึง ส.ค. และส่วนที่เหลืออีก 1 หมื่นล้านอาจจะเป็นการชำระคืนเงินต้น และกู้ยืมผ่านเงินกู้ระยะสั้น ซึ่งในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาได้ออกเป็นพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1.05 หมื่นล้านบาท และในส่วนที่เหลือคาดว่าจะได้มีการทยอยออกมาตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และหุ้นกู้ภาคเอกชนในครึ่งปีหลังนั้นคาดว่าจะมีการออกขายในตลาดแรกลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความวิตกกังวลในเรื่องของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่มีมากขึ้น ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเลือกใช้ช่องทางในการระดมทุนโดยวิธีอื่น เช่นเงินกู้ธนาคารพาณิชย์ โดยได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆได้มีนโยบายที่จะขยายการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะขยายตัวมากขึ้น ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คาดการณ์ว่า ตลอดทั้งปี 2547 น่าจะมีการออกหุ้นกู้เอกชนทั้งสิ้น 130 พันล้านบาท โดยได้มีการออกไปแล้วในช่วงครึ่งแรกของปี ประมาณ 69.5 พันล้านบาท ในขณะที่ช่วงครึ่งหลังของปีอาจจะมีการออกเพิ่มอีกประมาณ 60.5 พันล้านบาท ซึ่งลดลงจากครึ่งหลังของปี 2546 ที่มีการออกไป 107 พันล้านบาท ถึงร้อยละ 44 ในส่วนของพันธบัตรรัฐวิสาหกิจนั้นคาดว่าตลอดปี น่าจะมีการออกทั้งสิ้นประมาณ 60.4 พันล้านบาท โดยที่ผ่านมาใน 6 เดือนแรก ได้มีการออกไปแล้วทั้งสิ้น 37.5 พันล้าน และในครึ่งปีหลังอีกประมาณ 22.8 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 29 จากช่วงครึ่งหลังของปี 2546 ที่มีการออกพันธบัตรไป 32 พันล้านบาท
บทสรุป
ตั้งแต่ต้นปี 2547 เป็นต้นมาการซื้อขายตราสารหนี้ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนในเรื่องของทิศทางอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ ตามการคาดการณ์ถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสแรกข่าวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก ซึ่งส่งผลกระทบทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นไปอย่างซบเซา ได้ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มหันมาลงทุนในตลาดตราสารหนี้มากขึ้น นอกจากนั้นการที่มีกองทุนใหม่ๆเกิดขึ้นมาในตลาดหลายกองทุน และการที่มีปริมาณอุปทานตราสารหนี้โดยเฉพาะในส่วนของตราสารหนี้ภาครัฐออกมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การซื้อขายเป็นไปค่อนข้างคึกคักในช่วงไตรมาสแรกของปี
แต่แล้วปริมาณการซื้อขายก็ได้กลับลดลงอีกในเดือน เมษายน และพฤษภาคม ตามการคาดการณ์ถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯที่ได้ชัดเจนขึ้นต่อ ต่อมาการซื้อขายได้กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในเดือน มิถุนายน จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาเผยว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยในประเทศไว้ที่ร้อยละ1.25 โดยยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศในระยะเวลาอันใกล้ เนื่องจากสภาพคล่องในระบบการเงินที่ยังคงมีอยู่สูง และอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2547 มูลค่าการออกตราสารหนี้ในตลาดแรกได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 47 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นในส่วนของตราสารหนี้ภาครัฐ ในขณะที่มูลค่าของตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ออกในตลาดแรกอยู่ที่ประมาณ 69.5 พันล้านบาท ลดลงไปจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณร้อยละ 5 ในส่วนของมูลค่าการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองใน 6 เดือนแรกของปี 2547 ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณร้อยละ 10 โดยเป็นการเพิ่มในการซื้อขายในกลุ่มตราสารหนี้ภาครัฐ เช่นกัน
สำหรับในด้านความต้องการลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2547 นี้นั้นคาดว่าจะลดลงไปจากในครึ่งปีแรก โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าความต้องการลงทุนดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนจะจับตาดูเป็นพิเศษ ปัจจัยแรกได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คำนวณหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ และพันธบัตรรัฐบาลไทย ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา พบว่าการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนของ พันธบัตรรัฐบาลไทย โดยเฉพาะในกลุ่มของพันธบัตรระยะกลาง และระยะยาวได้ปรับตัวไปตามอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าปรับตัวไปตามการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในขณะที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธบัตรระยะสั้นของไทยนั้น จะขึ้นอยู่กับสภาพคล่องภายในประเทศมากกว่า
สำหรับปัจจัยที่สองที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อความต้องการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ได้แก่ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย R/P 14วัน ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่ได้ถูกปรับขึ้นไปในช่วงที่ผ่านมา แต่ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน ก็ได้มีความเห็นว่าการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำมากเช่นในปัจจุบันมีความจำเป็นน้อยลง และพร้อมที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของระดับราคาในประเทศหากพบว่าอัตราเงินเฟ้อ การขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนหนี้สินของภาคครัวเรือนมีการเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวก็อาจส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้น ตลอดจนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นให้มีการปรับตัวขึ้นตามไปด้วย
ส่วนปัจจัยสุดท้าย ได้แก่ สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ของไทย ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะลดลงจากการที่คาดว่าธนาคารต่างๆจะเร่งการขยายสินเชื่อมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับสภาพคล่องส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มธนาคารเอกชนขนาดใหญ่เท่านั้น ในขณะที่สภาพคล่องในกลุ่มธนาคารของรัฐ และธนาคารลูกครึ่งนั้นค่อนข้างที่จะตึงตัว ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันให้ธนาคาร 2 กลุ่มหลังนี้มีการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งอาจจะส่งผลกดดันให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรมีการปรับตัวสูงขึ้น จากการขายพันธบัตรในตลาดของธนาคารพาณิชย์ซึ่งเงินฝากถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถาบันการเงินที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ในส่วนของปริมาณตราสารหนี้ออกใหม่ในครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าช่วงแรกของปี และคาดว่าตลอดทั้งปีนี้จะมีตราสารหนี้ออกใหม่ในตลาดมากกว่าปีก่อน ตามความจำเป็นในการใช้เงินของทางการ โดยเฉพาะในส่วนของตราสารหนี้ภาครัฐ จากการออกพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนการออกพันธบัตรเพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนฟื้นฟู(FIDF3) เอเชียบอนด์ และการออกพันธบัตรรัฐบาลใหม่เพื่อชดเชยรุ่นที่จะครบกำหนดไถ่ถอน (FIDF1) ถึงแม้ว่าในส่วนของภาคเอกชน และ รัฐวิสาหกิจจะมีการออกตราสารหนี้ลดลงก็ตาม โดยหากไม่นับรวมพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และตั๋วเงินคลังแล้ว คาดว่าปริมาณพันธบัตรออกใหม่น่าจะมากขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งหลังของปี 2546 ประมาณร้อยละ 59 และเพิ่มขึ้นจากในช่วงต้นปีที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 34
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นว่าจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี ภาวะการลงทุนในตลาดตราสารหนี้คงจะเป็นไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น ทั้งนี้คาดว่าความต้องการลงทุนในตราสารหนี้อาจจะชะลอตัวลงไปอีก จากในช่วงครึ่งปีแรก ในขณะที่อุปทานของตราสารหนี้จะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากความจำเป็นในการที่จะต้องชดเชยความสูญเสียของกองทุนฟื้นฟูฯ ทำให้ราคาของพันธบัตรอาจจะปรับตัวลดลงในอนาคต เนื่องจากคาดว่าอัตราผลตอบแทน (Yields) มีแนวโน้มจะถูกปรับขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาว ในขณะที่นักลงทุนจะยังคงเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเพราะมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนน้อยกว่า พร้อมกับคงจะติดตามแนวโน้มของปัจจัยหลัก ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อัตราดอกเบี้ย R/P 14 วันของไทย และสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ ต่อไปอย่างใกล้ชิด