อัญมณีและเครื่องประดับครึ่งหลัง’47 : ขยายตัวต่อเนื่อง…แต่ต้องเผชิญศึกหนักด้านการแข่งขัน

ปัจจุบันการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของโลกในปี 2546 ตามรายงานของ Global Trade Atlas คิดเป็นมูลค่าประมาณ 116,853.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.55 และครองส่วนแบ่งตลาดติดอันดับ 14 ของโลกด้วยสัดส่วนร้อยละ 2.17 หรือคิดเป็นมูลค่า 2,519.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าส่วนแบ่งตลาดของไทยเพิ่มขึ้นตามลำดับจากสัดส่วนร้อยละ 1.9 ในปี 2544 และสัดส่วนร้อยละ 2.15 ในปี 2545

สำหรับประเภทของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วง 6 เดือนแรกปี 2547 ตามรายงานของกรมเจรจาการค้าคือเครื่องประดับแท้(เป็นเครื่องประดับที่ใช้อัญมณีแท้ในการผลิต) รองลงมาคือเพชรโดยเฉพาะเพชรที่เจียระไนแล้ว พลอยซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลอยที่เจียระไนแล้ว ทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป และเครื่องประดับเทียม ตามลำดับ ขณะที่สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าวคือไข่มุก(ร้อยละ 65.52) ตามมาด้วยเครื่องประดับเทียม(ร้อยละ 29.98) พลอย(ร้อยละ 27.11) เครื่องประดับแท้ (ร้อยละ 20.92) และเพชร(ร้อยละ 19.40)

โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าสถานการณ์อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในตลาดต่างประเทศโดยภาพรวมน่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2547 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเป็นการขยายตัวที่ต่อเนื่องจากครึ่งแรกปี 2547 เพราะปัจจัยสนับสนุนสำคัญหลายประการคือ

– เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือสหภาพยุโรปกระเตื้องขึ้นตามลำดับ

– ตลาดที่มีกำลังซื้อสูงทั้งสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปยังคงพึงพอใจในฝีมือการเจียระไนเพชรและพลอยของช่างฝีมือไทย รวมถึงดีไซน์ของทั้งเครื่องประดับแท้และเครื่องประดับเทียมที่มีการผลิตไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแฟชั่นและความต้องการเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

– โครงการการจัดทำเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย อินเดีย บาห์เรน จีน สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น ที่พบว่าอัญมณีและเครื่องประดับเป็นรายการหนึ่งที่ไทยกับประเทศดังกล่าวมีการเจรจาเพื่อลดภาษีระหว่างกัน จึงมีความเป็นไปได้ว่าไทยน่าจะมีแหล่งวัตถุดิบประเภทเพชรพลอยจำนวนมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการขยายฐานคู่ค้าเพิ่มขึ้นในระยะยาวด้วย

– โครงการรับรองการนำเข้าและส่งออกเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนภายใต้ความตกลง Kimberley Process ที่ไทยเข้าร่วมในปี 2546 เพื่อยืนยันว่าไทยไม่ได้รับซื้อเพชรดิบจากประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้าย น่าจะช่วยให้อัญมณีและเครื่องประดับไทยมีความเสี่ยงน้อยลงจากการกีดกันทางการค้าในส่วนของมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีจากประเทศคู่ค้าสำคัญ

– ภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ผลิตและผู้ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในตลาดโลกทั้งในส่วนของการผลิต อาทิเช่น การประกาศยกเว้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มวัตถุดิบจำพวกอัญมณี ทองคำขาว ทองขาว และเงิน ที่นำเข้ามาเพื่อผลิตเครื่องประดับสำหรับการส่งออกตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2546 ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง หรือการที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนประกาศเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมอัญธานีเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2546 โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี เพื่อจูงใจให้ผู้ผลิตชาวต่างชาติและผู้ผลิตในประเทศเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมอัญธานีและก่อให้เกิดการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายวิสาหกิจ(Cluster) อันจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น

ขณะที่ในส่วนของการตลาด ภาครัฐผลักดันโครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่นให้มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเริ่มต้นตั้งแต่กลางปี 2546 ต่อเนื่องมาในปี 2547 ด้วยการจัดงานแสดงสินค้าหรือแฟชั่นโชว์ในโอกาสสำคัญๆเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าแฟชั่นไทยทั้งในส่วนของสิ่งทอ เครื่องหนัง รวมถึงอัญมณีและเครื่องประดับด้วยให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในครึ่งหลังปี 2547 ยังมีปัจจัยที่อาจเป็นอุปสรรคในการส่งออกหลายประการด้วยเช่นกัน อันได้แก่

– สถานการณ์การแข่งขันในตลาดโลกที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นตามลำดับจากคู่แข่งสำคัญของไทยทั้งจีนและอินเดีย ซึ่งมีความได้เปรียบในด้านต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าและความพร้อมของวัตถุดิบ อีกทั้งยังมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีในการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันบรรดาผู้นำตลาดเครื่องประดับแท้อย่างอิตาลี สหรัฐอเมริกา หรือฮ่องกงต่างก็ไม่หยุดนิ่งในการสร้างสรรค์ชิ้นงานนำแฟชั่นผ่านการจัดการตลาดที่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นไปได้ว่าอุตสาหกรรมส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น

– แม้ว่าโครงการจัดทำเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆจะเป็นโอกาสที่ทำให้ปัญหาด้านการผลิตในส่วนของการขาดแคลนพลอยดิบบรรเทาลง แต่ขณะเดียวกันการที่ไทยลดกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ย่อมเปิดโอกาสให้สินค้าราคาถูกจากจีนและอินเดียเข้ามารุกขยายตลาดในไทยได้ง่ายขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการไทยที่มีกลุ่มเป้าหมายในระดับล่างภายในประเทศต้องเผชิญสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น

– ปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือที่ผลิตได้ภายในประเทศ รวมถึงปัญหาการถูกซื้อตัวแรงงานฝีมือไทยโดยบรรดาคู่แข่งทั้งจีน มาเลเซีย และอินเดีย เป็นต้น อีกทั้งยังขาดแคลนแรงงานฝีมือด้านการออกแบบค่อนข้างมากด้วยเช่นกัน ส่งผลให้การพัฒนาของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยคืบหน้าน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

– ปัญหาด้านข้อมูลข่าวสารอุตสาหกรรมทั้งทางด้านการผลิตและการตลาดที่ยังไม่อย่างกว้างขวางเท่าที่ควร ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการวางกลยุทธ์ทางการตลาดค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังขาดหน่วยงานรับผิดชอบที่เป็นองค์กรกลางเพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมกิจกรรมต่างๆในภาคธุรกิจ รวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภค ทำให้การเพิ่มอุปสงค์ในตลาดโลกภายใต้แบรนด์ไทยไม่รวดเร็วเท่าที่ควร

สำหรับส่วนแบ่งตลาดของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในแต่ละประเภทในปี 2546 โดยประมาณ เป็นดังนี้

– เพชร ไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนในตลาดโลกร้อยละ 0.36 ขณะที่ผู้ครองส่วนแบ่งตลาดเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนที่สำคัญของโลกประกอบด้วยเบลเยี่ยม (สัดส่วนร้อยละ 44.81) สหราชอาณาจักร(สัดส่วนร้อยละ 39.08) และแอฟริกาใต้(สัดส่วนร้อยละ 8.13) ขณะที่ผู้ที่ครองส่วนแบ่งตลาดเพชรที่เจียระไนแล้วมากที่สุดในตลาดโลกคืออินเดีย (สัดส่วนร้อยละ 35.25) รองลงมาได้แก่สหรัฐอเมริกา (สัดส่วนร้อยละ 21.53) และเบลเยี่ยม(สัดส่วนร้อยละ 20.87) ส่วนไทยครองส่วนแบ่งตลาดเพชรที่เจียระไนแล้วร้อยละ 1.67

– พลอย ในปี 2546 ไทยสามารถครองส่วนแบ่งตลาดพลอยที่ยังไม่ได้เจียระไนเป็นอันดับ 5 ในตลาดโลกด้วยสัดส่วนร้อยละ 10.66 รองจากบราซิล (สัดส่วนร้อยละ 17.62) สิงคโปร์(สัดส่วนร้อยละ 13.32) สหรัฐอเมริกา(สัดส่วนร้อยละ 12.35) และฮ่องกง(สัดส่วนร้อยละ 12.03) ขณะที่พลอยที่เจียระไนแล้ว พบว่า ไทยครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 4 (สัดส่วนร้อยละ 11.73) โดยมีผู้ครองส่วนแบ่งตลาดพลอยที่เจียระไนแล้วอันดับหนึ่งคือฮ่องกง (สัดส่วนร้อยละ 16.41) ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา (สัดส่วนร้อยละ 13.51) และอินเดีย(สัดส่วนร้อยละ 11.79)

– ไข่มุก เป็นอัญมณีที่ไทยสามารถขยายทั้งส่วนแบ่งตลาดและมูลค่าการส่งออกในอัตราที่สูงที่สุดในกลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทยในปี 2546 โดยส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.3 ในปี 2545 เป็นร้อยละ 1.24 ในปี 2546 หรือขยายตัวถึงร้อยละ 313.5 ส่วนมูลค่าการส่งออกขยายตัวถึงร้อยละ 303.24 ทั้งนี้ผู้ที่ครองส่วนแบ่งตลาดไข่มุกมากที่สุดในตลาดโลกคือ ฮ่องกง(สัดส่วนร้อยละ 26.8) รองลงมาคือออสเตรเลีย (สัดส่วนร้อยละ 22.13) และญี่ปุ่น (สัดส่วนร้อยละ 21.06)

– เครื่องประดับแท้ ไทยมีส่วนแบ่งตลาดเครื่องประดับแท้ติดอันดับ 8 ในตลาดโลกด้วยสัดส่วนร้อยละ 5.28 โดยตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องประดับแท้ที่สำคัญในตลาดโลกคืออิตาลี (สัดส่วนร้อยละ 19.98) สหรัฐอเมริกา(สัดส่วนร้อยละ 10.46) ฮ่องกง(สัดส่วนร้อยละ 10.37) สวิตเซอร์แลนด์ (สัดส่วนร้อยละ 9.18) และอินเดีย (สัดส่วนร้อยละ 7.34) ?เครื่องประดับเทียม ผู้ครองส่วนแบ่งตลาดสำคัญคือฮ่องกง (สัดส่วนร้อยละ 23.68) จีน(สัดส่วนร้อยละ 12.08) และเกาหลีใต้ (สัดส่วนร้อยละ 9.06) ขณะที่ไทยติดอันดับที่ 10 ด้วยส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 3.42

– ทองที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป ผู้ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งคือแอฟริกาใต้(สัดส่วนร้อยละ 15.54) สหรัฐอเมริกา(สัดส่วนร้อยละ 14.19) และฮ่องกง (สัดส่วนร้อยละ 13.60) โดยไทยมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 1.35

– อัญมณีสังเคราะห์ ผู้ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งคือสวิตเซอร์แลนด์(สัดส่วนร้อยละ 22.88) ญี่ปุ่น(สัดส่วนร้อยละ 18.30) สหรัฐอเมริกา (สัดส่วนร้อยละ 10.76) ฮ่องกง(สัดส่วนร้อยละ 8.41) และฝรั่งเศส (สัดส่วนร้อยละ 7.62)โดยไทยติดอันดับที่ 9 ด้วยส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 2.78

ซึ่งเมื่อพิจารณาทั้งการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยในปี 2546 ดังกล่าวข้างต้น และการส่งออกในช่วง 6 เดือนแรกปี 2547 ตามรายงานของกรมศุลกากรไทยที่อัญมณีและเครื่องประดับไทยสามารถส่งออกคิดเป็นมูลค่า 1,234.0 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นพบว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยโดยรวมในช่วงครึ่งแรกปี 2547 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2546 นอกเหนือจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นแล้วคือการส่งออกทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปที่ลดลงถึงร้อยละ 71.5 เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2546 จากมูลค่า 286.2 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2546 เหลือ 81.5 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2547 แต่ทั้งนี้หากพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่ไม่นับรวมการส่งออกทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปแล้วกลับพบว่าสินค้ากลุ่มนี้ของไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.89

โดยสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยที่มีแนวโน้มศักยภาพสูงในช่วงครึ่งหลังปี 2547 คือทั้งเครื่องประดับเทียมและเครื่องประดับแท้ เพราะเป็นสินค้าที่มีแนวโน้มอัตราการขยายตัวของการส่งออกและส่วนแบ่งการตลาดในโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตามรายงานของ Global Trade Atlas พบว่าในปี 2546 มูลค่าการส่งออกเครื่องประดับเทียมของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 ขณะที่ในปี 2545 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 12.9 และส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.37 เมื่อเทียบกับปี 2545 ส่วนเครื่องประดับแท้นั้นพบว่าในปี 2546 ไทยสามารถส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.64 ขณะที่ปี 2545 มีอัตราการเติบโตร้อยละ 0.1 โดยไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.94 โดยเครื่องประดับแท้ที่มีทิศทางแจ่มใสค่อนข้างชัดเจนคือเครื่องประดับเงิน ซึ่งสังเกตได้จากอัตราการขยายตัวร้อยละ 14.4 ในปี 2545 ที่ขยับขึ้นเป็นร้อยละ 25.29 ในปี 2546

นอกจากนี้ เพชรและไข่มุกก็เป็นอีกผลิตภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับไทยที่น่าจะมีศักยภาพสูงเช่นกัน โดยในปี 2546 ที่ผ่านมา เพชรมีอัตราการเติบโตร้อยละ 31.61 ในขณะที่ปี 2545 มีอัตราการเติบโตร้อยละ 3.6 โดยไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.86 ส่วนไข่มุกนั้นพบว่า ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.3 ในปี 2545 เป็นร้อยละ 1.24 ในปี 2546 หรือขยายตัวถึงร้อยละ 313.5 ส่วนอัตราการเติบโตนั้นเพิ่มขึ้นจากอัตราขยายตัวร้อยละ 3.74 ในปี 2545 เป็นร้อยละ 303.24 ในปี 2546 ซึ่งแม้ว่าไทยจะไม่มีเพชรเป็นทรัพยากรธรรมชาติอยู่ภายในประเทศเลย แต่ไทยก็มีโอกาสที่จะปรับบทบาทเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการค้าเพชรโลกได้ในอนาคต

โดยอาศัยการยอมรับจากนานาชาติในส่วนของแรงงานฝีมือที่มีความสามารถค่อนข้างสูงในการเจียระไนทั้งพลอยและเพชร และการสนับสนุนที่เด่นชัดมากขึ้นของภาครัฐในการผลักดันให้อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น สำหรับไข่มุกนั้นเป็นไปได้ว่าไข่มุกไทยยังมีโอกาสเติบโตในอนาคตโดยเฉพาะไข่มุกเลี้ยง เนื่องจากปริมาณความต้องการที่ยังมีอีกมากในตลาดโลกทั้งเพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตเครื่องประดับมุก การนำไปเป็นส่วนผสมของยา อาหารเสริม และเครื่องสำอาง เป็นต้น

ขณะที่พลอยซึ่งไทยได้รับการยอมรับมาเป็นเวลานานหลายปีแล้วในด้านฝีมือการเจียระไนพลอยที่เหนือกว่าคู่แข่งและมีเทคนิคการเผาพลอยให้มีสีสันที่สวยงามนั้นพบว่ามีศักยภาพปานกลาง เพราะแม้ว่าพลอยของไทยจะยังคงมีแนวโน้มส่งออกเพิ่มขึ้น แต่อัตราการขยายตัวเป็นไปในลักษณะที่ชะลอลง อีกทั้งยังมีโอกาสสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไปบางส่วนให้แก่คู่แข่งมากขึ้นโดยเฉพาะอินเดีย โคลัมเบียและศรีลังกาที่มีความได้เปรียบไทยทั้งในส่วนของค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าและความพร้อมของวัตถุดิบ รวมถึงคู่แข่งรายใหม่อย่างจีน มาเลเซีย และเม็กซิโกที่กำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทมากขึ้นในอุตสาหกรรมพลอยโดยเฉพาะพลอยที่เจียระไนแล้วโดยอาศัยการส่งเสริมจากภาครัฐและการขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมพลอยที่จริงจังมากขึ้นตามลำดับ

ทั้งนี้จากรายงานสถิติของ Global Trade Atlas พบว่าในปี 2546 มูลค่าการส่งออกพลอยไทยในตลาดโลกมีอัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 9.06 นอกจากนี้ส่วนแบ่งตลาดพลอยของไทยในปี 2546 ก็ลดลงด้วยเมื่อเทียบกับปี 2545 ในอัตราร้อยละ 12.03 (จากสัดส่วนร้อยละ 13.21 ในปี 2545 เหลือสัดส่วนร้อยละ 11.62 ในปี 2546) ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2547 ตามรายงานของกรมเจรจาการค้าพบว่าไทยสามารถส่งออกพลอยได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2546 ดังนั้นผู้ประกอบการพลอยไทยจึงต้องเร่งเสาะแสวงหาแหล่งวัตถุดิบพร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการเจียระไนและพัฒนาแรงงานฝีมือเพื่อเพิ่มและรักษาส่วนแบ่งตลาดของพลอยไทยให้ได้โดยเร็ว

ส่วนอัญมณีสังเคราะห์ และทองที่ไม่ได้ขึ้นรูปเป็นสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยที่มีศักยภาพลดลง เพราะทั้งมูลค่าการส่งออกและส่วนแบ่งตลาดมีแนวโน้มลดลง โดยในส่วนของอัญมณีสังเคราะห์นั้นเป็นเพราะไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงโดยเฉพะจากจีนซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่ามาก ขณะเดียวกันก็เสียเปรียบคู่แข่งสำคัญรายอื่นๆที่มีทักษะสูงมากในการผลิตอัญมณีสังเคราะห์อาทิฮ่องกง เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น สำหรับทองที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปนั้นศักยภาพมีแนวโน้มลดลงเช่นกัน โดยสาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากการที่กำลังซื้อทองภายในประเทศเริ่มกระเตื้องขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้ร้านทองมีความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาการขาดทุนด้วยการหลอมทองเพื่อการส่งออกลดน้อยลง อีกทั้งยังมีแนวทางในการสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้นด้วยการเปิดให้บริการรับจำนำทองคำแก่ประชาชนที่ต้องการใช้เงินหมุนเวียนระยะสั้นด้วย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวมยังมีโอกาสที่จะก้าวสู่การเป็นสินค้าที่มีศักยภาพที่ดีในอนาคตแม้ว่าจะต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในตลาดต่างประเทศ แต่ทั้งนี้ผู้ประกอบการต้องหันมาให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องในส่วนของดำเนินการที่มีประสิทธิภาพทั้งในด้านการผลิตและการตลาด ควบคู่กับการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยให้เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดโลกต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การมีฐานข้อมูลทั้งในส่วนผู้บริโภค ตัวแทนจำหน่าย และคู่ค้า รวมถึงการวางระบบการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการวางแผนผลิตภัณฑ์ด้วยการพยายามสร้างรูปแบบแปลกใหม่ สวยงาม มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสอดคล้องกับแฟชั่นหรือความต้องการสมัยนิยมให้มากขึ้น

การวางตำแหน่งสินค้าให้ชัดเจน และการวางแผนการตลาด และการบริหารต้นทุนที่ดี ควบคู่กับการประสานความร่วมมือที่จริงจังและต่อเนื่องระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในส่วนของการร่วมกันปรึกษาหารือเกี่ยวกับโอกาสและอุปสรรคของการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระดับประเทศทั้งนี้เพื่อสรรหานโยบายหรือมาตรการที่เหมาะสม การเร่งผลิตแรงงานฝีมือที่มีคุณภาพ การเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการในการออกแบบให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ และการผลิตนักออกแบบให้มีจำนวนมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่มีกำลังซื้อสูงและยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตทั้งคู่ค้าหลักรายเดิมอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือสหภาพยุโรป และคู่ค้ารายใหม่ๆที่น่าจะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นตลาดอินเดีย บาห์เรน จีน และออสเตรเลีย