KTC โชว์ผลประกอบการครึ่งแรกปี ’47 กำไรสุทธิพุ่งพรวด 101.9%

เคทีซี โชว์กำไร 6 เดือนแรกปี’47 รวม 302.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.9% เผยยอดผู้ถือบัตรเครดิตเพิ่มเป็น 955,129 บัตร รวม 12,392.81 ล้านบาท ชี้สินเชื่อบุคคลโดนใจลูกค้า ดันยอดทะลุเป้า 3,525.48 ล้านบาท

นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2547 ว่า “บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 302.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.9% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิในช่วงเดียวกันของ ปี 2546 และคิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ 1.20 บาทต่อหุ้น”

“ทางด้านรายได้รวมมีจำนวน 1,894.12 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 62.5% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมของธุรกิจบัตรเครดิต และการเปิดตัวธุรกิจใหม่คือธุรกิจสินเชื่อบุคคล ซึ่งเป็นธุรกิจที่เริ่มมีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้เพิ่มให้แก่บริษัทมากขึ้น โดยปัจจุบันสัดส่วนของดอกเบี้ยจากธุรกิจสินเชื่อบุคคลเพิ่มขึ้นเป็น 18.5% ของรายได้ดอกเบี้ยรวม”

“ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมมีจำนวน 1,311.74 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีหลังของปี 2546 โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดจากการขยายตัวตามการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาด เพื่อส่งเสริมการขายและสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบต่างๆ โดยในไตรมาสที่ 2 นี้ บริษัทฯ มีโครงการด้านการตลาดพิเศษ เพื่อสร้างภาพพจน์ลักษณ์และความแข็งแกร่งของแบรนด์ของบริษัท (Brand Building) ให้เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป รวมทั้งการขยายฐานเงินกู้ยืมเพื่อเสริมธุรกิจสินเชื่อบุคคล ซึ่งส่งผลถึงการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยจ่าย”

“ส่วนฐานะทางการเงิน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 25467 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 17,892.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.5% จากสิ้นปี 2546 โดยสินทรัพย์หลักของบริษัทประกอบด้วย ยอดลูกหนี้จากธุรกิจบัตรเครดิต 12,392.81 ล้านบาท ลูกหนี้ธนวัฏบัตรเครดิต 788.83 ล้านบาท และสินเชื่อบุคคล 3,525.48 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 16,707.12 ล้านบาท หรือ 93.4% ของสินทรัพย์รวม และมีจำนวนบัตร 955,129 บัตร เพิ่มขึ้น 6.34% จากไตรมาสที่ 1 ปี 2547”

“ทั้งนี้นอกจากบริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับการเพิ่มจำนวนฐานบัตรแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลลูกค้าบัตรเครดิตที่มีขนาดใหญ่ โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลในระบบของ Customer Relationship Management (CRM) เพื่อออกผลิตภัณฑ์ด้านการเงินใหม่ที่สนองตอบต่อความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม”

“ส่วนในด้านธุรกิจสินเชื่อบุคคล ที่บริษัทฯ เริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2546 เป็นต้นมานั้น ยอดลูกหนี้อยู่ในขั้นเริ่มต้นและยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก ทั้งนี้บริษัทฯ มุ่งทำการตลาดด้วยการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยใช้กลยุทธ์ทางการตลาดในตลาดสินเชื่อบุคคลที่แตกต่างจากคู่แข่งทั่วไป อาทิ การคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว”

“สำหรับการจัดการดูแลด้านความเสี่ยงของลูกหนี้ บริษัทฯได้มีฝ่ายงานด้าน Risk Management เป็นผู้คอยควบคุมดูแลบริหารความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ มีผลให้บริษัทมีอัตราการค้างชำระ 30-179 วัน (Delinquency Rate) อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม โดยงวดครึ่งปี 2547 บริษัทมีอัตราการค้างชำระ 30-179 วัน (Delinquency Rate) ของลูกหนี้บัตรเครดิตและลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเท่ากับ 2.70% และ 4.75% ตามลำดับ”

“ทั้งนี้ จากผลประกอบการข้างต้นอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2547 แสดงดังนี้ ดังนี้ อัตราส่วนของหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เท่ากับ 2.6 เท่าอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) เท่ากับ 3.8% อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) เท่ากับ 12.3% เมื่อเปรียบเทียบกับ ณ สิ้นปี 2546 ที่เท่ากับ 1.9 เท่า 3.0% และ 11.0% แสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ มีอัตราผลตอบแทนทั้งจากสินทรัพย์และส่วนของผู้ถือหุ้นที่บริษัทได้รับนั้นเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเกิดมา

จากการที่บริษัทสามารถขยายธุรกิจใหม่ ๆ ที่เพิ่มรายได้ในภาพรวมให้กับบริษัท อีกทั้งแสดงว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นด้วย” นายนิวัตต์กล่าวในที่สุด