น้ำมันลิตรละกว่า 21 บาท : ประชาชน…จะปรับตัวอย่างไร?

ราคาน้ำมันภายในประเทศได้สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุลิตรละ 21 บาทไปเป็นที่เรียบร้อยเแล้วเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 17 สิงหาคม 2547 และกำลังวิ่งใกล้ลิตรละ 22 บาทเข้าไปทุกทีแล้ว ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็กำลังจะปล่อยให้ราคาน้ำมันเบนซินลอยตัวตามภาวะตลาดน้ำมันโลก(รัฐบาลประกาศตรึงราคาน้ำมันมาตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม2547) พร้อมกับการเตรียมประกาศมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันและพลังงาน เช่น มาตรการบังคับปิดปั๊มน้ำมันเที่ยงคืน บังคับปิดป้ายโฆษณาเวลา 22.00 น. หลังจากที่รัฐบาลขอความร่วมมือปิดปั๊มน้ำมันและปิดไฟโฆษณามาระยะหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการอย่างจริงจังมากนัก

นอกจากนี้ยังจะออกมาตรการปิดห้างสรรพสินค้าเวลา 20.00 น. ปิดดิสเคาท์สโตร์เวลา 22.00 น.แต่ร้านสะดวกซื้อสามารถเปิดได้ตลอด 24 ชั่วโมงสำหรับมาตรการระยะกลางและระยะยาวหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านน้ำมันและพลังงานจะเสนอมาตรการประหยัดพลังงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาออกมาตรการบังคับใช้ในเร็ววันนี้ ซึ่งก็คงจะครอบคลุมมาตรการต่อไปนี้คือ มาตรการจัดตั้งศูนย์การเดินรถบรรทุกเพื่อลดการวิ่งรถเที่ยวเปล่า

มาตรการส่งเสริมให้ประชาชนมาใช้บริการขนส่งมวลชนให้มากขึ้น มาตรการลดปัญหาจราจรติดขัดจากการเกิดอุบัตเหตุเฉี่ยวชนแล้วคู่กรณีไม่ยอมแยกรถออกจากกัน เนื่องจากติดปัญหาที่ต้องรอบริษัทประกันภัยรถยนต์คู่กรณีมาตกลงกันในที่เกิดเหตุเสียก่อน ส่งเสริมให้มีการใช้ช่องทางบัสเลนอย่างจริงจังและยอมให้รถยนต์นั่งที่มีผู้โดยสารตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปเข้าไปใช้เส้นทางบัสเลนได้ในชั่วโมงเร่งด่วน การเร่งก่อสร้างที่จอดรถสาธารณขนาดใหญ่เพิ่มเติมตามโครงการจอดแล้วจร(Park and Ride) มาตรการเพิ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทันทีอีก 1,000 นาย และมาตรการปรับแต่งเครื่องรถยนต์ให้เกิดการประหยัดพลังงานอย่างแท้จริง เป็นต้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะมีการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตัดสินใจอนุมัติประกาศเป็นกฎหมายออกบังคับใช้ต่อไป

เบนซินออกเทน 95 ทะลุลิตรละ 21 บาท : แนวโน้มพุ่งสู่ลิตรละ 22 บาท…หลังประกาศลอยตัว

การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นไม่หยุดนี้ ก็ได้สร้างภาระหนักให้กับประชาชนโดยทั่วไป เพราะต้องใช้น้ำมันในราคาที่แพงขึ้นไปจากเมื่อตอนต้นปี 2547ในอัตราเฉลี่ยถึง 25.3% ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2547ที่รัฐบาลประกาศตรึงราคาน้ำมันในประเทศนั้น ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 มีราคาลิตรละ16.99บาท แต่ภายหลังจากที่รัฐบาลค่อยๆขยับเพดานราคาเบนซินมาตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2547จนถึงวันที่17 สิงหาคม 2547นี้ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน95แพงขึ้นไปมากถึง24.7% โดยอยู่ที่ลิตรละ 21.19 บาท ขณะที่เบนซินออกเทน91ล่าสุดนี้ก็มีราคาลิตรละ 20.39 บาท แพงขึ้นจากช่วงต้นปี 2547ถึง 25.9% ส่วนดีเซลหมุนเร็วรัฐยังคงตรึงราคาไว้เท่ากับเมื่อตอนต้นปีที่ลิตรละ14.59บาท

สำหรับราคาน้ำมันในต่างจังหวัดก็จะแพงกว่านี้อีกมากถึงลิตรละ30-95สตางค์ ขึ้นอยู่กับระยะทางของการขนส่งน้ำมันว่าอยู่ห่างไกลคลังน้ำมันของบริษัทน้ำมันมาก-น้อยแค่ไหน ถ้าอยู่ไกลก็ต้องบวกค่าขนส่งมากขึ้นทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้น แต่ถ้าอยู่ใกล้คลังน้ำมันราคาจำหน่ายปลีกน้ำมัน เมื่อบวกกับค่าขนส่งแล้วก็จะแพงขึ้นไปอีกไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในต่างจังหวัดเวลานี้ก็จะมีราคาเกินกว่าลิตรละ 21 บาทเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ที่จังหวัดกาญจนบุรีมีราคาลิตรละ 21.32 บาท นครสวรรค์ลิตรละ21.43 บาท พิษณุโลก ลิตรละ 21.51 บาท ขอนแก่นลิตรละ 21.57 บาท ชุมพรลิตรละ 21.58 บาท ภูเก็ตลิตรละ 21.60 บาท อุบลราชธานีลิตรละ 21.64 บาท เชียงใหม่ลิตรละ 21.78 บาท ส่วนที่เชียงรายไกลขึ้นไปตอนเหนือสุดแดนสยามก็จะมีราคาแพงที่สุดคือลิตรละ 21.87 บาท

ราคาน้ำมันในประเทศที่พุ่งขึ้นไปทะลุลิตรละ21บาทครั้งล่าสุดนี้ นับว่าเป็นการสร้างสถิติ สูงสุดครั้งใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในประเทศไทยโดยที่ราคาน้ำมันวิ่งขึ้นไปทะลุระดับ 17 บาทต่อลิตรเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2543 ส่วนในครั้งที่สองนั้น ก็ได้สร้างสถิติใกล้แตะลิตรละ 18 บาทเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2547 โดยพุ่งขึ้นไปสู่ระดับ 17.79 บาทจากนั้นก็ทะยานขึ้นไปทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ที่ลิตรละ19.39 บาทในวันที่ 28 กรกฎาคม 2547 แต่ราคาสูงสุดนี้ก็ยืนอยู่ได้ไม่นานนักเพียงแค่ 7 วันเท่านั้นเอง แล้วก็ได้สร้างสถิติสูงสุดครั้งใหม่อีกที่ระดับใกล้ลิตรละ 20 บาท ในวันที่ 6 สิงหาคม 2547จากนั้นอีกเพียงแค่ 5 วันคือในวันที่ 11 สิงหาคม 2547ก็ปรับราคาขึ้นไปทะลุลิตรละ 20 บาท โดยราคาขายปลีกเบนซินออกเทน 95 มีราคาลิตรละ 20.59 บาท และภายหลังจากนั้นอีกเพียงแค่สัปดาห์เดียวก็สร้างสถิติสูงสุดครั้งใหม่ทะลุลิตรละ 21 บาทไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้วยเหตุนี้ ประชาชนชาวไทยก็จะต้องเร่งปรับตัวให้ได้ในสถานการณ์ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นไปเป็นอันมาก และมีแนวโน้มว่าจะแพงมากขึ้นไปอีกในระยะข้างหน้า โดยคาดว่าราคาน้ำมันในประเทศคงจะวิ่งผ่านทะลุลิตรละ 22 บาทในเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากสถานการณ์ตลาดน้ำมันโลกยังคงผันผวนสูง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันจำหน่ายปลีกภายในประเทศช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมานี้( เบนซินออกเทน 95 เบนซินออกเทน 91และน้ำมันดีเซล )ก็จะเห็นภาพชัดเจนว่าตั้งแต่ปี2543 เรื่อยมา ราคาน้ำมันในประเทศมีการปรับตัวสูงขึ้นจากราคาลิตรละ 9.32-12.00 บาทในช่วงปี 2539-2542 เพิ่มขึ้นไปเป็นลิตรละ13-17บาทเศษๆในช่วงปี 2543-2546 แต่ในปี 2547 ราคาน้ำมันแพงขึ้นอย่างมากและปรับตัวขึ้นถี่มากจากที่ราคาเบนซินออกเทน 95 ลิตรละ 17.09 บาท ได้ไต่ระดับขึ้นไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจนทะลุลิตรละ 21 บาทเข้าไปแล้ว โดยที่เบนซินออกเทน 95 วิ่งขึ้นไปที่ลิตรละ 21.19 บาทในวันที่ 17 สิงหาคม 2547และมีแนวโน้มว่าราคาน้ำมันจำหน่ายปลีกในประเทศจะยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นไปสร้างสถิติสูงสุดครั้งใหม่เหนือระดับราคาลิตรละ 22 บาทได้อย่างง่ายดาย หากสถานการณ์ความไม่สงบอิรักยังไม่ยุติ รวมทั้งปัญหาการเมืองทั้งในภูมิภาคตะวันออกกลางกรณีความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ และภัยคุกคามของการก่อการร้ายข้ามชาติยังแผ่ขยายวงกว้างออกไปเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะบั่นทอนเสถียรภาพราคาน้ำมันตลาดโลกให้เกิดความผันผวนขึ้นมาได้ตลอดเวลานับจากวันนี้เป็นต้นไป

10 วิธีประหยัดน้ำมัน : ผู้ขับขี่รถยนต์…มอเตอร์ไซค์ได้ประโยชน์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ห่วงใยในความเดือดร้อนของประชาชน จากกรณีที่ต้องแบกรับภาระการสูงขึ้นของราคาน้ำมันที่ปัจจุบันได้พุ่งขึ้นไปทะลุลิตรละ 21 บาทแล้ว ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นภาระที่หนักหน่วงสำหรับผู้ที่ต้องขับขี่ยวดยานพาหนะทั้งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์เพื่อประกอบสัมมาอาชีพเป็นประจำทุกวัน ที่ต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นทันทีจากน้ำมันที่มีราคาแพงขึ้นไปมากจากเมื่อต้นปี 2547 ที่ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 มีราคาลิตรละ16.99บาท แต่ล่าสุดนี้ประชาชนต้องใช้น้ำมันในราคาที่แพงมากถึงลิตรละ21.19บาท นั่นก็เท่ากับว่าผู้ที่ใช้รถยนต์เพื่อการเดินทางไปทำงานทุกวันที่เคยใช้น้ำมันเดือนละ 3,000-5,000 บาท เมื่อต้นปี2547 เวลานี้ก็จะต้องควักกระเป๋าเพื่อเติมน้ำมันรถเพิ่มขึ้นไปอีกถึงเดือนละ 760 -1,260 บาท นับว่าเป็นภาระรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันของแต่ละคนในแต่ละเดือนก็จะมากหรือน้อยกว่าที่กล่าวนี้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าที่พักอาศัยของผู้ที่ขับขี่ยวดยานพาหนะแต่ละคนนั้นอยู่ใกล้หรือไกลจากที่ทำงานแค่ไหนด้วย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เสนอแนะทางออกในการปรับตัวเพื่อรับมือกับปัญหาน้ำมันที่มีราคาแพงขึ้นมากในปี2547 ด้วยวิธีการปฏิบัติตนอย่างง่ายๆ 10 วิธี ดังต่อไปนี้

1.ปรับแผนการเดินทางไป-กลับที่ทำงาน/สถานศึกษาใหม่

วิธีนี้เป็นวิธีการที่ปฏิบัติได้อย่างง่ายๆ และจัดได้ว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดภายใต้สถานการณ์น้ำมันราคาแพงอย่างนี้ เช่น ผู้ที่ต้องขับรถยนต์ส่วนตัวหรือรถจักรยานยนต์ไปทำงานหรือเรียนหนังสือเป็นประจำทุกวัน ก็ต้องมานั่งทบทวนและวางแผนประหยัดการใช้น้ำมันกันใหม่ เช่น ตื่นนอนให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่หลีกเลี่ยงการจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วน เพราะถ้ายิ่งออกจากบ้านสายมากเท่าใด การจราจรก็จะยิ่งคับคั่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทางที่ดีก็ควรออกจากบ้านก่อน 6 โมงเช้าหรือเร็วกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบ้านของท่านอยู่ห่างไกลจากที่ทำงานมาก-น้อยแค่ไหน ถ้าอยู่ไกลก็ควรจะออกจากบ้านเร็วขึ้นกว่านั้น สำหรับในช่วงเย็นหลังเลิกงานแล้วก็ไม่ควรรีบออกจากที่ทำงานทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เลิกงานในช่วง16.30น. เพราะเวลาดังกล่าวนี้สถานที่ทำงานส่วนใหญ่ทั้งภาคราชการและธุรกิจเอกชนจะเลิกงานพร้อมกัน ถ้าทุกคนหรือคนส่วนใหญ่รีบออกจากที่ทำงานทันทีพร้อมๆกัน ก็จะเป็นการสร้างปัญหาการจราจรคับคั่งหนักยิ่งขึ้นไปใหญ่ เป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันเพราะการจราจรจะติดขัดอย่างหนัก แต่ควรจะปรับตัวด้วยการออกจากที่ทำงานหลังเวลา17.00-18.30น.ไปแล้ว การไปถึงที่ทำงานแต่เช้าตรู่และออกจากที่ทำงานหลังเวลาเลิกงานแล้วสัก1-2ชั่วโมงจะช่วยให้ท่านไม่เครียดกับปัญหาการจราจรในแต่ละวัน มีเวลาปฏิบัติงานได้มากขึ้น เป็นผลดีต่อตัวท่านเองทั้งในด้านการประหยัดรายจ่ายค่าน้ำมันรถ และมีเงินเหลือในกระเป๋ามากขึ้นแล้ว ท่านยังสามารถทำงานได้มากขึ้นกว่าคนอื่นที่มาปฏิบัติงานสายเนื่องจากการออกจากบ้านสายอยู่เป็นประจำอีกด้วย

2.ใช้เส้นทางลัด

วิธีนี้จะช่วยให้ท่านประหยัดน้ำมันได้ไม่น้อยเลย หากท่านปฏิบัติอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ เช่น การศึกษาหาเส้นทางลัดหรือเส้นทางสายใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางเดิมที่มีปัญหาการจราจรติดขัดอย่างหนักในช่วงเร่งด่วนเช้า-เย็น วางแผนการเดินทางให้เป็นนิสัยก่อนออกเดินทางทุกครั้ง และทางที่ดีนั้นก็ควรจะศึกษาเส้นทางให้แน่ชัด ใช้แผนที่ประกอบในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย หรือใช้วิธีการสอบถามเส้นทางจากผู้ที่คุ้นเคยกับเส้นทางนั้นๆ จะได้ไม่หลงทาง เสียทั้งเวลาและสิ้นเปลืองน้ำมัน การขับรถหลงทางเพียง 10 นาทีจะสิ้นเปลืองน้ำมันประมาณ 1 ลิตร คิดเป็นค่าน้ำมันประมาณ 20 บาท ถ้าหลงทางนานกว่านั้นก็จะเสียค่าน้ำมันเพิ่มมากขึ้นไปอีกมาก

3.ปฎิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด

เช่น ไม่ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เส้นทางมอเตอร์เวย์ความเร็วรถตามกฎหมายต้องไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เส้นทางด่วน ระดับความเร็วรถต้องไม่เกิน110กิโลเมตรต่อชั่วโมง เส้นทางราบทั่วไป ความเร็วรถสูงสุดต้องไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ตามสภาพข้อเท็จจริงปัจจุบัน ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะประเภทต่างๆมักจะใช้ความเร็วรถที่สูงกว่ากฎหมายกำหนดเสียโดยส่วนใหญ่จึงมักจะเกิดปัญหาการจราจรอยู่เป็นประจำทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในแต่ละปีที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างน่าวิตก ซึ่งจากการศึกษาวิจัยพบว่าการขับรถยนต์ทางไกลด้วยความเร็วสม่ำเสมอในระดับ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะสามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึงร้อยละ10-20เมื่อเปรียบเทียบกับการขับรถด้วยความเร็วในระดับที่สูงถึง 100-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้น ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะต่างๆจึงควรตระหนักให้มากในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินทั้งตัวท่านเอง สมาชิกในครอบครัว และผู้ร่วมเดินทางจะได้มีชีวิตที่ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว ยังเป็นการประหยัดเงินค่าน้ำมันเชื้อเพลิงในกระเป๋าของท่านในแต่ละเดือนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

4.หมั่นตรวจสอบสภาพเครื่องรถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ

เช่น ตรวจระบบการเดินเครื่องยนต์ว่าเดินเรียบหรือไม่ ทำความสะอาดระบบไฟจุดระเบิดและตั้งไฟแก่-อ่อนให้มีความสมดุลจะช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง10-15% หมั่นตรวจสอบระดับน้ำกลั่น ระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำหมั่นตรวจสอบลมยางทั้ง4เส้นเป็นประจำให้มีปริมาตรลมตามมาตรฐานที่กำหนดเพราะยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก นอกจากนี้ ก็ยังจะต้องมีการสับเปลี่ยนยางหน้า-หลังและตรวจตั้งศูนย์-ถ่วงล้อตามกำหนดก็จะช่วยให้สามารถประหยัดน้ำมันได้ไม่ต่ำกว่า 5%

5.ศึกษาวิธีการขับรถอย่างชาญฉลาด

วิธีนี้ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะจะต้องเอาใจใส่และศึกษาวิธีการขับรถที่ช่วยให้ประหยัดน้ำมัน รักษาสภาพเครื่องรถยนต์ให้อยู่ในสภาพที่ดีและมีอายุยืนยาวนานและมีความปลอดภัย เช่น ดับเครื่องรถยนต์ทุกครั้งเมื่อต้องจอดรถนานๆ การจอดรถไว้เฉยๆโดยไม่ดับเครื่องยนต์เพียงแค่ 10 นาที จะสูญเสียน้ำมันไปฟรีๆถึง200-400 ซีซี ถ้าใช้ราคาน้ำมันในปัจจุบันก็เท่ากับว่าท่านจะต้องเสียเงินไปประมาณ 4-8 บาทในทุกๆ 10 นาทีที่ติดเครื่องรถยนต์ทิ้งไว้เฉยๆ นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นการสร้างมลพิษในอากาศเพิ่มมากขึ้นด้วย ไม่ควรเร่งเครื่องตอนเกียร์ยังว่างอยู่ เพราะการกระทำเช่นนี้เพียงแค่ 10 ครั้งจะสูญเสียน้ำมันไปถึง 50-100 ซีซี ปริมาณน้ำมันที่เสียไปนี้เทียบเท่ากับการเคลื่อนตัวของรถได้ถึง 400-800 เมตรทีเดียว ไม่ออกรถกระชากแบบนักซิ่ง เพราะการออกรถแบบกระชากเพียง10ครั้งจะสิ้นเปลืองน้ำมันไปโดยเปล่าประโยชน์ถึง 100-150 ซีซี ซึ่งน้ำมันจำนวนนี้รถสามารถวิ่งได้ไกลถึง 800-1,100 เมตรทีเดียว นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงการใช้เบรกโดยไม่จำเป็น การไม่บรรทุกสิ่งของโดยไม่จำเป็นเอาไว้ในห้องเก็บของท้ายรถ การหลีกเลี่ยงการขับรถในเส้นทางที่ชำรุดและสภาพถนนไม่ดีเหล่านี้ ล้วนเป็นตัวอย่างของการขับรถอย่างปลอดภัยและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงลงได้เป็นอย่างมากทีเดียว หากท่านยึดถือและปฏิบัติอยู่อย่างสม่ำเสมอ

6. เลือกเติมน้ำมันในสถานีบริการน้ำมันที่มีคุณภาพมาตรฐาน

ในสภาพตลาดน้ำมันปัจจุบันที่การแข่งขันทวีความรุนแรงมากขึ้น สถานีบริการน้ำมันต่างก็เร่งปรับกลยุทธ์ส่งเสริมการขายอย่างขนานใหญ่ ทั้งนี้ สถานีบริการน้ำมันส่วนใหญ่จะมีการแจกของแถมให้ทั้งน้ำดื่มบรรจุขวด กระดาษทัชชู ปากกาลูกลื่น ขนมขบเคี้ยวต่างๆและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น ซึ่งบริการเสริมในลักษณะนี้จะมีกระจายไปในหลายพื้นที่ ทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและต่างจังหวัด ดังนั้น ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะก็น่าจะใช้ช่วงจังหวะที่น้ำมันมีราคาแพงมากนี้ หาแหล่งเติมน้ำมันใกล้บ้านที่ให้บริการดีมีบริการส่งเสริมการขายในลักษณะที่กล่าวก็จะช่วยให้ประหยัดรายจ่ายลงไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

7.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การท่องเที่ยวและการพักผ่อน

วิธีการนี้เหมาะสำหรับท่านที่ชอบออกเดินทางท่องเที่ยวและพักผ่อนในแหล่งท่องเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์อยู่เป็นประจำหรือในช่วงที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่องกับวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็ควรจะปรับแผนการเดินทางท่องเที่ยวยังต่างจังหวัดลง เช่น ลดจำนวนความถี่ของการเดินทางท่องเที่ยวลงจากเดิมที่เคยเที่ยว 1-2 เดือนครั้ง ก็เปลี่ยนไปเป็น3-6เดือนครั้ง เป็นต้น ท่านที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว-พักผ่อนระยะทางไกลๆ ก็เปลี่ยนมาเที่ยวในที่ใกล้ๆแทนจะช่วยประหยัดน้ำมันลงได้มากทีเดียว สำหรับผู้ที่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้านอยู่เป็นประจำ ก็ขอแนะนำให้ลองเปลี่ยนมาทำอาหารเองที่บ้านจะดีกว่า เพราะนอกจากจะสามารถเลือกอาหารที่ถูกปาก-ถูกใจ สด สะอาดและมีราคาถูก ประหยัดกว่าการไปรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นอันมากแล้วยังจะเป็นการดีต่อสมาชิกในครอบครัวที่จะได้อยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิดบ่อยๆ

8.ใช้ระบบการติดต่อสื่อสารให้มากขึ้น

ปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาก้าวไกลไปมากและมีประสิทธิภาพสูง สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องพบหน้าพบตากันเลย ไม่ต้องขับรถฝ่าการจราจรติดขัดออกไปยังจุดนัดหมายเหมือนแต่ก่อน เพียงท่านมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้แล้วหรืออาจจะใช้การติดต่อทางอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ โทรสาร ไปรษณีย์ โทรเลข บริการส่งเอกสาร แทนการเดินทางด้วยรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฯลฯ ที่ต้องฝ่าการจราจรที่ติดขัดคับคั่ง ทำให้ต้องเสียเวลา สิ้นเปลืองน้ำมันแล้ว ยังทำให้เสียอารมณ์อีกด้วย การใช้เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ จึงเป็นทางเลือกใหม่สำหรับโลกธุรกิจยุคโลกภิวัตน์อย่างแท้จริง

9.ใช้ระบบรถร่วมทาง( Car Pool )

วิธีนี้จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มาก ถ้าหากการเดินทางของท่านและสมาชิกในครอบครัวจะได้ไม่ต้องนำรถออกหลายคัน ต่างคนต่างไปแบบคนละคัน หรือแม้แต่กับเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกัน อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันที่ต้องเดินทางไปในสถานที่เดียวกันหรือที่ทำงานใกล้ๆกัน ติดต่อธุระในเส้นทางใกล้ๆกัน อาจจะใช้วิธีสลับสับเปลี่ยนการนำรถออก2-3วันครั้งหรือสัปดาห์ละครั้งหมุนเวียนกันไป ซึ่งในระยะแรกๆอาจต้องปรับตัวเพื่อสร้างความคุ้นเคยให้เกิดขึ้นก่อน แต่พอนานๆไปก็จะเคยชินจนเป็นกิจวัตรร่วมกันไปในที่สุด การใช้ระบบ Car Pool นี้นอกจากจะช่วยให้ท่าน-สมาชิกในครอบครัวและเพื่อนร่วมทางในหมู่บ้านเดียวกัน สามารถประหยัดน้ำมันรถได้มากแล้ว ยังเป็นการสร้างสายใยสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นในสมาชิกภายในครอบครัวและเพื่อนบ้านเรือนเคียงได้เป็นอย่างดียิ่งทีเดียว ที่สำคัญถ้าทำได้สม่ำเสมอจะช่วยท่านประหยัดค่าน้ำมันลงได้ถึง 30-50%ทีเดียว

10.จับจ่ายซื้อของใกล้บ้านไม่ต้องขับรถไป
วิธีนี้ปฏิบัติได้ง่ายๆสำหรับท่านที่ต้องออกไปจับจ่ายใช้สอยซื้อหาอาหาร สินค้าจำเป็นต่างๆในละแวกบ้านไม่เกิน 1-2 กิโลเมตร ก็ไม่ต้องขับรถยนต์ไป แต่ให้ใช้วิธีการเดินหรือขับขี่จักรยานไปจะเป็นการดีที่สุด เพราะนอกจากจะประหยัดน้ำมันรถยนต์ได้แล้วยังเป็นการออกกำลังกายไปด้วยในตัว

สรุป

ดังนั้น หลังจากที่รัฐบาลประกาศลอยตัวราคาน้ำมันเบนซินแล้วภาระรายจ่ายค่าน้ำมันสำหรับยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง(ยกเว้นผู้ที่ขับขี่รถยนต์ที่เติมน้ำมันดีเซล)ก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกอย่างน้อยลิตรละ 60 สตางค์ ถึง 1 บาท ในระยะสั้นๆนี้ เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกยังแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนจึงต้องร่วมมือกับรัฐบาลในการประหยัดการใช้น้ำมันกันอย่างจริงจังได้แล้ว ในขณะเดียวกัน ทางการเองก็กำลังจะประกาศมาตรการเร่งด่วน และมาตรการระยะกลาง-ระยะยาวเพื่อบังคับใช้ในภาวะที่น้ำมันมีราคาแพงขึ้นมาก ซึ่งประชาชนทุกคนจะต้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อฟันฝ่าวิกฤตน้ำมันครั้งนี้ไปให้ได้ด้วยดี