รายงานภาวะตลาดหุ้นและการเงิน ประจำวันที่ 10 กันยายน 2547

ดัชนีตลาดหุ้นวันนี้

ตลาดหุ้นไทยในวันศุกร์ที่ 10 กันยายน ปิดตลาดลดลงไปเล็กน้อยจากระดับสูงสุดในรอบเกือบ 7 สัปดาห์เมื่อวันก่อน โดยปิดที่ 640.6 จุด ลดลง 0.44 จุด หรือร้อยละ 0.07 มูลค่าการซื้อขายที่ 2.16 หมื่นล้านบาท โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง ประกอบความวิตกกังวลเกี่ยวกับการก่อการร้ายก่อนวันครบรอบวันที่ 11 ก.ย.ทำให้มีแรงขายทำกำไรหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวออกมา

– ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดตลาดเพิ่มขึ้นในวันนี้ โดยปิดที่ 13,003.99 จุด เพิ่มขึ้นไป 61.79 จุด หรือร้อยละ 0.48 โดยนักลงทุนไม่ได้ให้ความสนใจกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นมากนัก และได้กลับเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นไชน่า โมไบล์ หลังจากการปรับเพิ่มแนวโน้มผลกำไรไตรมาส 3 ของบริษัทโนเกีย

– ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดตลาดลดลงไปสามวันติดต่อกัน โดยลดลงไปอีก 87.73 จุด หรือร้อยละ 0.79 ไปปิดที่ระดับ 11,083.23 จุด โดยได้รับแรงกดดันจากการ ปรับลดตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีในไตรมาสเดือน เม.ย.-มิ.ย. ลงไปอยู่ที่ร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบเป็นรายปี จากตัวเลขในเบื้องต้นที่ร้อยละ 1.7

– ตลาดหุ้น Dow Jones ในวันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน ปิดตลาดลดลงไปเป็นวันที่สอง โดยอยู่ที่ระดับ 10,289.1 จุด ลดลงไป 24.26 จุดหรือร้อยละ 0.24 จากการที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นอีกครั้งเกือบ 2 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล หลังการเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งได้ลดลงกว่าที่คาดไว้ และได้ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกำไรของธุรกิจในอนาคต

– เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงไปเมื่อเทียบกับค่า เงินยูโร และ เงินบาท โดยอยู่ที่ระดับ 1.2226 ดอลลาร์ฯ/ยูโร และที่ 41.54 บาท/ดอลลาร์ฯ แต่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 110.04 เยน/ดอลลาร์ฯ

ภาวะตลาดหุ้น

Thailand’s SET
ตลาดหุ้นไทยปิดตลาดลดลงไปเล็กน้อยจากระดับสูงสุดในรอบเกือบ 7 สัปดาห์เมื่อวันก่อน โดยอยู่ที่ 640.6 จุด ลดลง 0.44 จุด หรือร้อยละ 0.07 มูลค่าการซื้อขาย 21,627 ล้านบาท โดยปัจจัยลบจากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ประกอบกับความวิตกกังวลเกี่ยวกับการก่อการร้าย เนื่องจากเป็นช่วงวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ก่อนถึงวันที่ 11 ก.ย. ได้ทำให้มีแรงขายทำกำไรในหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวทั้งในกลุ่ม พลังงาน สื่อสาร ธนาคาร และ อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งราคาได้ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

Japan Nikkei-225
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดตลาดลดลงไปเป็นวันที่สาม โดยลดลง 87.73 จุด หรือร้อยละ 0.79 ไปอยู่ที่ระดับ 11,083.23 จุด จากการลดลงของราคาหุ้นแทบทุกกลุ่มในตลาด หลังจากที่รัฐบาลได้ปรับลดตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีในช่วงเดือน เม.ย. – มิ.ย.ลงไปอยู่ที่ร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบเป็นรายปีจากการประมาณในเบื้องต้นที่ร้อยละ 1.7 อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น จากการเพิ่มขึ้นของตัวเลขการใช้จ่ายด้านทุนในช่วงที่ผ่านมา

Hang Seng
ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดตลาดเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 13,003.99 จุด เพิ่มขึ้นไป 61.79 จุด หรือ ร้อยละ 0.48 โดยนักลงทุนไม่ได้ให้ความสนใจต่อการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้เพิ่มขึ้นอีกครั้งมากนัก และได้กลับเข้าซื้อหุ้นที่มีมูลค่าทางตลาดสูงในกลุ่มเทคโนโลยี เช่น หุ้นไชน่า โมไบล์ นอกจากนั้น หุ้นในกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน เช่น หุ้น CNOOC ก็ได้เป็นอีกกลุ่มที่ราคาได้ปรับเพิ่มขึ้นไปอย่างมาก และช่วยหนุนตลาดขึ้นในวันนี้

US ‘s Dow Jones
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดตลาดลดลงเป็นวันที่สองติดต่อกัน โดยได้ลดลงไป 24.26 จุด หรือ ร้อยละ 0.24 ไปปิดที่ 10,289.1 จุด โดยมีปริมาณการซื้อขายหนาแน่นที่ 1.37 พันล้านหุ้น โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากการที่ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือน ต.ค.ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากการประกาศตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ลดลงกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงบวกอยู่บ้างจากการปรับเพิ่มแนวโน้มยอดขายและผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทโนเกีย ซึ่งได้ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มผู้ผลิตชิพโทรศัพท์มือถือปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

US’s NASDAQ
ดัชนี NASDAQ ปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปิดที่ระดับ 1,869.65 จุด เพิ่มขึ้นไป 19.01 จุด หรือ ร้อยละ 0.43 โดยได้รับแรงบวกจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากที่บริษัทโนเกียได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์ผลกำไรในไตรมาส 3 ประกอบกับการเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่เพิ่มขึ้นของหุ้นเนชันแนล เซมิคอนดักเตอร์

สรุปการเคลื่อนไหวของค่าเงิน

Baht/USD
เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นไปเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯเช่นเดียวกับค่าเงินสกุลอื่นๆในภูมิภาคยกเว้นเงินเยน จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการก่อการร้ายทั่วโลก เนื่องจากใกล้กับวันครบรอบเหตุการณ์ 11 ก.ย.ประกอบกับได้มีข่าวการระเบิดใกล้สถานฑูตออสเตรเลียในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งทำให้นักลงทุนได้ขายเงินดอลลาร์ฯออกมา

Yen/USD
เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินเยน โดยได้รับแรงบวกจากการปรับลดตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในไตรมาส เม.ย.- มิ.ย. ลงจากเดิมที่ร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ร้อยละ 0.3 ซึ่งผิดจากที่นักลงทุนได้คาดไว้ว่าจะมีการปรับตัวเลขดังกล่าวขึ้นไป หลังจากที่เมื่อวานนี้ได้มีการประกาศตัวเลขคำสั่งซื้อเครื่องจักรภาคเอกชนประจำเดือน ก.ค.ที่น้อยกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์ฯไม่ได้แข็งค่าขึ้นไปมากนัก เนื่องจากนักลงทุนยังคงไม่มั่นใจในแนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

USD/Euro
ในช่วงแรกของการซื้อขาย เงินดอลลาร์สหรัฐฯได้แข็งค่าขึ้นไปเมื่อเทียบกับเงินยูโร โดยได้แรงหนุนจากการประกาศตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ครั้งแรกที่ลดลงไป อย่างไรก็ตามค่าเงินดอลลาร์ฯกลับอ่อนค่าลงไป โดยได้รับแรงกดดันจากการคำกล่าวของผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯสาขาซานฟรานซิสโก ต่อยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯในเดือน ก.ค.ที่จะประกาศในคืนนี้ว่า ตัวเลขดังกล่าวจะลดลงไปได้นั้นจำเป็นจะต้องให้เงินดอลลาร์ฯอ่อนค่าลงไปอย่างมาก

สรุปการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้

Thai Gov. Bond
มูลค่าการซื้อขายในวันนี้อยู่ที่ 5,995.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อนร้อยละ 31.4 โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลาง และ ระยะยาว ต่างปรับตัวลดลงไปจากวันก่อนตั้งแต่ -1 ถึง -3 bps.

US Treasury Bond 10 Years
ราคาพันธบัตรของสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน ได้ปรับตัวลดลงไป โดยได้แรงกดดันจากผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่เป็นไปอย่างซบเซา ประกอบกับแถลงการณ์ในเชิงบวกเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯโดยผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขามินิอาโปลิส และ ซานฟรานซิสโก ซึ่งได้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯน่าที่จะถูกปรับขึ้นไปอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมวันที่ 21 ก.ย. นี้