รายงานภาวะตลาดหุ้นและการเงิน ประจำวันที่ 29 กันยายน 2547

ดัชนีตลาดหุ้นวันนี้

ตลาดหุ้นไทยในวันอังคารที่ 28 กันยายน ปิดตลาดลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ที่ 637.89 จุด ลดลง 8.89 จุด หรือร้อยละ 1.37 มูลค่าการซื้อขายที่ 1.91 หมื่นล้านบาท โดยได้รับปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกจากคนสู่คน และ การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งได้ทำให้มีการขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และขนส่งออกมา

– ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลดลงจากวันก่อน 71.1 จุด หรือร้อยละ 0.55 ไปปิดที่ 12,950 จุด โดยได้รับปัจจัยลบจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก และการขายทำกำไรของนักลงทุนก่อนวันหยุดประจำชาติในวันพรุ่งนี้

– ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลงเป็นวันที่แปดติดต่อกันไปปิดที่ 10,815.57 จุด ลดลง 43.75 จุด หรือร้อยละ 0.4 โดยความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นต่อผลประกอบการของภาคธุรกิจได้ทำให้ราคาหุ้นขนาดใหญ่ เช่น หุ้นเจแปน แอร์ไลน์ และ หุ้นฮอนด้า มอเตอร์ นอกจากนั้นจากการปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์โดยบริษัทมอแกน สแตนเลย์ ได้ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลดลง

– ตลาดหุ้น Dow Jones ในวันจันทร์ที่ 27 กันยายน ปิด ตลาดลดลงไป 58.7 จุด หรือร้อยละ 0.58 ไปอยู่ที่ 9,988.54 จุด ทั้งนี้ตลาดได้รับแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกำไรของภาคธุรกิจ นอกจากนั้นการปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นซิสโก ซิสเทมส์ ก็ได้ส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลดลงไปเช่นเดียวกัน

– เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้แข็งค่าขึ้นไปเมื่อเทียบกับค่าเงินบาท และ เยน โดยอยู่ที่ระดับ 41.587 บาท/ดอลลาร์ฯ , 111.51 เยน/ดอลลาร์ฯ แต่ได้อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินยูโรที่ 1.2299 ดอลลาร์ฯ/ยูโร

ภาวะตลาดหุ้น

Thailand’s SET
ตลาดหุ้นไทยปิดตลาดลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ โดยอยู่ที่ 637.89 จุด ลดไป 8.89 จุด หรือร้อยละ 1.37 มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นที่ 19,134.71 ล้านบาท โดยตลาดได้ปรับตัวลดลงไปมากกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยได้รับปัจจัยลบจากข่าวการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก ที่อาจจะแพร่ไปสู่คนได้ นอกเหนือไปจากปัจจัยลบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งได้ส่งผลให้มีแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ ธนาคารและ ขนส่งออกมา

Japan Nikkei-225
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดตลาดลดลงเป็นวันที่แปดติดต่อกัน โดยปิดที่ระดับ 10,815.57 จุด ลดลงไป 43.75 จุด หรือร้อยละ 0.4 ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ โดยได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นว่าจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของธุรกิจ โดยราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯได้เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรลในวันนี้ ซึ่งได้ส่งผลให้ราคาหุ้นขนาดใหญ่ เช่น หุ้นเจแปน แอร์ไลนส์ และ หุ้นฮอนด้า มอเตอร์ ปรับตัวลดลง นอกจากนั้นตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของหุ้นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ หลังจากที่บริษัทมอร์แกน สแตนเลย์ ได้ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นกลุ่มดังกล่าว

Hang Seng
ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดตลาดลดลงไปเป็นวันที่สาม โดยปิดที่ 12,950.8 จุด ลดลงไป 71.1 จุด หรือ ร้อยละ 0.55 โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ของราคาน้ำมันในตลาดโลก และจากการขายทำกำไรของนักลงทุนก่อนวันหยุดประจำชาติในวันพรุ่งนี้ ในหุ้นกลุ่มที่ราคาได้ปรับขึ้นไปอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์

US ‘s Dow Jones
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดตลาดลดลงไปอยู่ต่ำกว่าระดับ 10,000 เป็นครั้งแรกในรอบประมาณ 6 สัปดาห์ โดยลดลงไป 58.7 จุด หรือ ร้อยละ 0.58 ไปปิดที่ 9,988.54 จุด มูลค่าการซื้อขายปานกลางที่ 1.3 พันล้านหุ้น โดยได้รับปัจจัยลบจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบที่ตลาด NYMEX ได้ปิดตลาดที่ 49.64 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันหลังจากที่กลุ่มกบฏไนจีเรียนได้ประกาศทำสงครามกับรัฐบาล นอกจากนั้นแล้ว การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากที่ได้มีการปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นซิสโก ซิสเทมส์ ก็ได้เป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลงไป

US’s NASDAQ
ดัชนี NASDAQ ปรับตัวลดลงไปเช่นเดียวกัน โดยอยู่ที่ 1,859.88 จุด ลดลงไป 19.6 จุด หรือ ร้อยละ 1.04 โดยได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของหุ้นซิสโก ซิสเทมส์ หลังจากที่บริษัทเมอร์ริล ลินซ์ได้ลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าว และได้ส่งผลให้ราคาหุ้นอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลดลง

สรุปการเคลื่อนไหวของค่าเงิน

Baht/USD
เงินบาทยังคงปรับตัวอยู่ใกล้กับระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเป็นการอ่อนค่าลงตามทิศทางของเงินเยน และ เงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ซึ่งต่างก็ได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งได้เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 50.01 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของอุปทานน้ำมันในตลาดโลก หลังจากมีข่าวการประกาศสงครามของกลุ่มกบฏในไนจีเรีย

Yen/USD
เงินดอลลาร์สหรัฐฯได้แข็งค่าขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์เมื่อเทียบกับเงินเยน โดยค่าเงินเยนได้รับแรงกดดันจากการที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การปรับตัวลดลงของตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น และ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ของธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ ทังกัน ซึ่งจะเปิดเผยในวันศุกร์ ที่คาดว่าอาจจะปรับตัวดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งได้ส่งผลให้มีแรงขายเงินเยนออกมา

USD/Euro
เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้อ่อนค่าลงไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินยูโร โดยราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นได้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบในแง่ลบต่อเงินดอลลาร์ฯมากกว่า เงินยูโร เนื่องจากสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีการนำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีแรงเข้าซื้อเงินยูโรจากการที่นักลงทุนเชื่อว่าค่าเงินดังกล่าวเป็นเงินสกุลที่มีความปลอดภัยสูง

สรุปการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้

Thai Gov. Bond
มูลค่าการซื้อขายในวันนี้อยู่ที่ 9,421.56 ล้านบาท เพิ่มจากวันก่อนร้อยละ 19 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน ในขณะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะกลางและระยะยาวได้ปรับตัวอยู่ในช่วง -1 ถึง 1 bps.

US Treasury Bond 10 Years
ราคาพันธบัตรของสหรัฐฯ ในวันจันทร์ที่ 27 กันยายน ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งได้ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และ จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯมีความจำเป็นน้อยลงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่ยังเหลือของปีนี้ โดยตลาดแทบจะไม่ได้ให้ความสนใจกับการประกาศตัวเลขยอดขายบ้านใหม่ในเดือน ส.ค.ซึ่งได้เพิ่มขึ้นไปถึงร้อยละ 9.4