10 วิธีสู้ภัยน้ำมันแพง : เมื่อเบนซินพุ่งแตะลิตรละ 22 บาท

ราคาน้ำมันในประเทศพุ่งทะยานขึ้นใกล้ระดับลิตรละ 22 บาทเข้าไปทุกทีแล้ว หลังจากที่รัฐบาลประกาศลอยตัวน้ำมันเบนซินมาตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2547 โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2548 บริษัทผู้ค้าน้ำมันในประเทศได้ปรับขึ้นราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันเบนซิน ณ สถานีบริการน้ำมันทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งก็ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปรับขึ้นไปอีกลิตรละ 40 สตางค์ เป็นลิตรละ 21.69 บาท เบนซินออกเทน 91ลิตรละ 20.89 บาท หลังจากที่ปรับขึ้นไปลิตรละ 40 สตางค์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2548 เท่ากับว่าเพียงแค่ 4 วันของเดือนมีนาคม ราคาน้ำมันเบนซินปรับขึ้นไปแล้วถึงลิตรละ 80 สตางค์ และหากย้อนไปในเดือนกุมภาพันธ์2548นี้ ราคาน้ำมันเบนซินก็มีการปรับขึ้นไปรวม 4 ครั้งๆละ 40 สตางค์/ลิตรเท่ากับว่าในเดือนกุมภาพันธ์ราคาเบนซินขึ้นไปถึงลิตรละ 1.60 บาท เมื่อรวมกับการปรับอีก 2 ครั้งนี้แล้วก็ขึ้นไปถึงลิตรละ2.40บาท

ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นไปอย่างมากมายนี้ก็นับว่าเป็นการสร้างภาระหนักให้กับประชาชนชาวไทยไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะต้องควักกระเป๋าจ่ายค่า น้ำมันที่มีราคาแพงขึ้นไปจากต้นปีนี้โดยเฉลี่ยถึงร้อยละ12.7( ราคาเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548เบนซินออกเทน 95 อยู่ที่ลิตรละ19.29 บาท ออกเทน 91 ลิตรละ18.49 บาท )

นอกจากนี้การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันครั้งล่าสุดแม้ยังไม่ทำลายสถิติขายปลีกสูงสุดครั้งใหม่ แต่ก็ใกล้จุดสูงสุดที่ลิตรละ 22.39 บาทเมื่อวันที่ประกาศลอยตัวในวันที่ 20 ตุลาคม 2547 อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งล่าสุดวันที่ 9 มีนาคม 2548 ราคาน้ำมันดิบตลาดล่วงหน้าNYMEXทะยานขึ้นทะลุระดับ 54.69 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ราคาระดับนี้ใกล้จุดสูงสุดที่ระดับ 55.67 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อ 25 ตุลาคม 2547จากแนวโน้มตลาดน้ำมันโลกที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นเช่นนี้ ก็เชื่อแน่ได้ว่าประชาชนชาวไทยจะได้เห็นราคาน้ำมันในประเทศ(เบนซินออกเทน 95)พุ่งทะลุลิตรละ 22 บาทภายในเร็ววันนี้ เพราะเหลือช่วงการปรับอีกลิตรละ 40 สตางค์เท่านั้น ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ก็จะวิ่งขึ้นไปที่ระดับ 22.09 บาท/ลิตรทันที

สถิติราคาขายปลีกน้ำมันที่ทำสถิติสูงสุดในแต่ละเดือน(ปี2546-2548)
( ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 )
หน่วย : บาท/ลิตร
วัน/เดือน/ปีที่ปรับราคา ราคาขายปลีก
———————————————————————————————————
1 กุมภาพันธ์ 2546 17.29
8 สิงหาคม 2546 17.29
16 ธันวาคม 2546 17.29
8 มกราคม 2547 17.79
8 มิถุนายน 2547 18.19
18 มิถุนายน 2547 18.79
29 กรกฎาคม 2547 19.39
24 สิงหาคม 2547 21.79
20 ตุลาคม 2547 22.39
4 พฤศจิกายน 2547 21.99
4 ธันวาคม 2547 20.79
26 มกราคม 2548 19.69
23 กุมภาพันธ์ 2548 20.89
5 มีนาคม 2548 21.69
??????? 22-24

ที่มา : กระทรวงพลังงาน

เบนซินแพง : ผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัว…รายจ่ายเพิ่ม 12.7%

จากการที่ราคาน้ำมันตลาดโลกแพงขึ้นมาก ซึ่งในเวลานี้เพิ่มขึ้นไปใกล้ถึงลิตรละ22บาทเข้าไปทุกทีแล้ว นับว่าเป็นภาระหนักสำหรับผู้ที่ต้องขับขี่ยวดยานพาหนะประเภทต่างๆทั้งรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ ฯลฯ เพื่อประกอบสัมมาอาชีพเป็นประจำทุกวันที่ต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นทันที จากราคาน้ำมันที่แพงขึ้นมากในต้นปีไก่2548นี้ ซึ่งในรอบปี2547 ที่ผ่านมา ประชาชนจ่ายค่าน้ำมันถูกกว่าความเป็นจริงของตลาดน้ำมันโลก เพราะรัฐบาลได้ตรึงราคาทั้งน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลมาโดยตลอดเพิ่งจะมาประกาศลอยตัวเบนซินเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2548 และประกาศขยับราคาดีเซลขึ้นไปครั้งแรกที่ลิตรละ 60 สตางค์เป็นลิตรละ 15.19 บาท เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 หลังจากที่ตรึงราคาไว้ที่ 14.59 บาทมาตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547

อย่างไรก็ตามในปี2548นี้เพียงแค่2เดือนเศษของการเริ่มต้นศักราชใหม่2548 หลังจากที่รัฐบาลประกาศลอยตัวน้ำมันเบนซิน ส่งผลให้คนไทยที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันตามราคาที่เป็นจริงในตลาดโลก ซึ่งก็มีราคาแพงขึ้นไปจากปีก่อนโดยเฉลี่ยร้อยละ 12.7(ค่าเฉลี่ยราคาออกเทน 95 และออกเทน 91) นั่นก็หมายความว่าในปีที่แล้วคนที่ขับรถยนต์นั่งส่วนตัวไปทำงาน/เรียนหนังสือ/ประกอบกิจการงานส่วนตัวที่เคยเติมน้ำมันโดยเฉลี่ยเดือนละ3,000-5,000บาท ในเวลานี้ก็จะต้องควักกระเป๋าเติมน้ำมันเพิ่มขึ้นไปอีกถึงเดือนละ380-635บาทเป็นเดือนละ3,380-5,635บาทในระยะทางที่เท่าเดิม

10 วิธีประหยัดน้ำมัน : อย่ามองข้าม…เงินเหลือเก็บ

ในยุคที่น้ำมันมีราคาแพง และเศรษฐกิจชาวบ้านที่ชักหน้าไม่ถึงหลังเช่นปัจจุบันนี้ ประกอบกับเป็นช่วงเวลาใกล้เปิดเทอมการศึกษาของบรรดานักเรียน/นักศึกษาที่ผู้ปกครองจะต้องวางแผนการเงินส่งเป็นค่าเทอมบุตร-หลานด้วยแล้ว ภาวะน้ำมันแพงก็เป็นการซ้ำเติมให้ผู้ปกครองต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงใคร่เสนอแนะทางออกในการปรับตัวเพื่อรับมือกับน้ำมันที่แพงขึ้นมากในปีไก่2548 ด้วยวิธีการปฏิบัติตนอย่างง่ายๆ 10 วิธี ดังต่อไปนี้

1.วางแผนการเดินทางไปทำงาน/เรียนหนังสือเสียใหม่

เช่น ผู้ที่ขับรถยนต์ส่วนตัวหรือรถจักรยานยนต์ไปทำงานเป็นประจำทุกวันก็ต้องตื่นนอนให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่หลีกเลี่ยงการจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วน เพราะถ้ายิ่งออกจากบ้านสายมากเท่าใด การจราจรก็จะยิ่งคับคั่งมากขึ้นเรื่อยๆ จึงควรออกจากบ้านก่อน 6 โมงเช้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบ้านของท่านอยู่ห่างไกลจากที่ทำงานมาก-น้อย แค่ไหน ถ้าอยู่ไกลก็ควรจะออกจากบ้านเร็วขึ้นกว่านั้น สำหรับในช่วงเย็นหลังเลิกงานแล้วก็ไม่ควรรีบออกจากที่ทำงานทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เลิกงานในช่วง16.30น. เพราะเวลาดังกล่าวนี้ สถานที่ทำงานส่วนใหญ่ ทั้งภาคราชการ และธุรกิจเอกชนจะเลิกงานพร้อมกัน ถ้าทุกคนหรือคนส่วนใหญ่รีบออกจากที่ทำงานทันทีพร้อมๆกัน ก็จะเป็นการสร้างปัญหาการจราจรคับคั่งหนักยิ่งขึ้นและสิ้นเปลืองน้ำมัน

แต่ควรจะปรับตัวด้วยการออกจากที่ทำงานหลังเวลา17.00-18.30น.ไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรคับคั่ง ในชั่วโมงเร่งด่วนในตอนเย็น ซึ่งก็จะอยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่16.30-18.30น.ของทุกวัน การไปถึงที่ทำงานแต่เช้าตรู่และออกจากที่ทำงานหลังเวลาเลิกงานแล้วสัก1-2ชั่วโมง จะช่วยให้ไม่เครียดกับปัญหาการจราจร มีเวลาปฏิบัติงานได้มากขึ้น เป็นผลดีทั้งในด้านการประหยัดรายจ่ายค่าน้ำมันรถ มีเงินเหลือในกระเป๋ามากขึ้นแล้ว ท่านยังสามารถทำงานได้มากขึ้นกว่าคนอื่นที่มาปฏิบัติงานสายอยู่เป็นประจำอีกด้วย

2.ใช้เส้นทางลัดมากขึ้น

วิธีนี้จะช่วยให้ท่านประหยัดน้ำมันได้ไม่น้อยเลย หากท่านปฏิบัติอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ เช่น การศึกษาหาเส้นทางลัดหรือเส้นทางสายใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางเดิมที่มีปัญหาการจราจรติดขัดอย่างหนักในช่วงเร่งด่วนเช้า-เย็น วางแผนการเดินทางให้เป็นนิสัยก่อนออกเดินทางทุกครั้ง และทางที่ดีนั้นก็ควรจะศึกษาเส้นทางให้แน่ชัด ใช้แผนที่ประกอบในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย หรือใช้วิธีการสอบถามเส้นทางจากผู้ที่คุ้นเคยกับเส้นทางนั้นๆแล้ววางแผนล่วงหน้าจะได้ไม่หลงทางทำให้เสียทั้งเวลาและสิ้นเปลืองน้ำมัน ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปพบใครก็ควรใช้วิธีโทรศัพท์ไปถามไถ่กันก่อน หรือถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นก็ใช้วิธีติดต่อทางอินเทอร์เน็ต หรือใช้บริการ SMSแทนการขับรถไปพบปะกันก็จะดีที่สุด

3.ขับรถให้ถูกวิธี/ปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด

เช่นไม่ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เส้นทางมอเตอร์เวย์ความเร็วรถตามกฎหมายต้องไม่เกิน120กิโลเมตรต่อชั่วโมง เส้นทางด่วนระดับความเร็วรถต้องไม่เกิน110กิโลเมตรต่อชั่วโมง เส้นทางราบทั่วไปความเร็วรถสูงสุดต้องไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ตามสภาพข้อเท็จจริงปัจจุบันผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะประเภทต่างๆมักจะใช้ความเร็วรถที่สูงกว่ากฎหมายกำหนดเสียโดยส่วนใหญ่จึงมักจะเกิดปัญหาการจราจรอยู่เป็นประจำทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในแต่ละปีที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างน่าวิตก ซึ่งจากการศึกษาวิจัยพบว่าการขับรถยนต์ทางไกลด้วยความเร็วสม่ำเสมอในระดับ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะสามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึงร้อยละ10-20เมื่อเปรียบเทียบกับการขับรถด้วยความเร็วในระดับที่สูงถึง 100-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้น ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะต่างๆจึงควรคระหนักให้มากในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินทั้งตัวท่านเอง สมาชิกในครอบครัว และผู้ร่วมเดินทางจะได้มีชีวิตที่ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว ยังเป็นการประหยัดเงินค่าน้ำมันเชื้อเพลิงในกระเป๋าของท่านในแต่ละเดือนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

4.หมั่นตรวจสอบสภาพเครื่องรถยนต์ให้พร้อมใช้งาน

เช่น ตรวจสอบเครื่องรถยนต์ว่าเดินเรียบหรือไม่ ทำความสะอาดระบบไฟจุดระเบิดและตั้งไฟแก่-อ่อนให้มีความสมดุลจะช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง10-15% หมั่นตรวจสอบระดับน้ำกลั่น ระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำ หมั่นตรวจสอบลมยางทั้ง 4 เส้นเป็นประจำ ให้มีปริมาตรลมตามมาตรฐานที่กำหนด เพราะยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก นอกจากนี้ก็ยังจะต้องมีการสับเปลี่ยนยางหน้า-หลังและตรวจตั้งศูนย์-ถ่วงล้อตามกำหนดก็จะช่วยให้สามารถประหยัดน้ำมันได้อีกทางหนึ่งด้วย

5.ศึกษาวิธีการขับรถอย่างชาญฉลาด

วิธีนี้ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะ จะต้องเอาใจใส่และศึกษาวิธีการขับรถที่ช่วยให้ประหยัดน้ำมัน รักษาสภาพเครื่องรถยนต์ให้อยู่ในสภาพที่ดีและมีอายุยืนยาวนานและมีความปลอดภัย เช่น ดับเครื่องรถยนต์ทุกครั้งเมื่อต้องจอดรถนานๆ การจอดรถที่ติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้เฉยๆเพียงแค่ 10 นาที จะสูญเสียน้ำมันไปฟรีๆถึง200-400 ซีซี ถ้าใช้ราคาน้ำมันในปัจจุบันก็เท่ากับว่าท่านจะต้องเสียเงินไปประมาณ 4.34-8.68บาท ในทุกๆ 10 นาทีที่ติดเครื่องรถยนต์ทิ้งไว้เฉยๆ นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นการสร้างมลพิษในอากาศเพิ่มมากขึ้นด้วย ไม่ควรเร่งเครื่องตอนเกียร์ยังว่างอยู่ เพราะการกระทำเช่นนี้เพียงแค่10ครั้งจะสูญเสียน้ำมันไปถึง 50-100ซีซี ปริมาณน้ำมันที่เสียไปนี้เทียบเท่ากับการเคลื่อนตัวของรถได้ถึง400-800 เมตร ไม่ออกรถกระชากแบบนักซิ่ง เพราะการออกรถแบบกระชากเพียง10 ครั้ง จะสิ้นเปลืองน้ำมันไปโดยเปล่าประโยชน์ถึง 100-150 ซีซี ซึ่งน้ำมันจำนวนนี้รถสามารถวิ่งได้ไกลถึง800-1,100เมตร นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงการใช้เบรกโดยไม่จำเป็น การไม่บรรทุกสิ่งของโดยไม่จำเป็นเอาไว้ในห้องเก็บของท้ายรถ การหลีกเลี่ยงการขับรถในเส้นทางที่ชำรุดและสภาพถนนไม่ดี เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างของการขับรถอย่างปลอดภัยและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงลงได้เป็นอย่างมาก

6.เลือกเติมน้ำมันในสถานีบริการที่มีน้ำมันที่มีคุณภาพมาตรฐาน

ในสภาพตลาดน้ำมันปัจจุบันที่การแข่งขันทวีความรุนแรงมากขึ้น สถานีบริการน้ำมันต่างๆก็เร่งปรับกลยุทธ์ส่งเสริมการขายอย่างขนานใหญ่ ทั้งนี้ปั๊มน้ำมันโดยส่วนใหญ่จะมีการแจกของแถมให้ทั้งน้ำดื่มบรรจุขวด กระดาษทัชชู ปากกาลูกลื่น ขนมขบเคี้ยวต่างๆและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น ซึ่งการจัดทำโปรโมชั่นลักษณะนี้มีกระจายไปในหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและต่างจังหวัด ดังนั้น ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะก็น่าจะใช้ช่วงจังหวะที่น้ำมันมีราคาแพงนี้ หาแหล่งน้ำมันใกล้บ้านที่ให้บริการดี ขายน้ำมันคุณภาพมาตรฐาน มีบริการส่งเสริมการขายในลักษณะที่กล่าวมาก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะในยุคน้ำมันที่แพงขึ้นมากนี้ไม่น้อยเลย

7.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน/การท่องเที่ยวและการพักผ่อน

วิธีการนี้เหมาะสำหรับท่านที่ชอบออกเดินทางท่องเที่ยว และพักผ่อนในแหล่งท่องเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์อยู่เป็นประจำหรือในช่วงที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่องกับวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็ควรจะปรับแผนการเดินทางท่องเที่ยวยังต่างจังหวัดลง เช่น ลดจำนวนความถี่ของการเดินทางท่องเที่ยวลงจากเดิมที่เคยเที่ยว1-2เดือนครั้งก็เปลี่ยนไปเป็น3-6เดือนครั้ง เป็นต้น ท่านที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว-พักผ่อนระยะทางไกลๆ ก็เปลี่ยนมาเที่ยวในที่ใกล้ๆแทน จะช่วยประหยัดน้ำมันลงได้มากทีเดียว สำหรับผู้ที่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้านอยู่เป็นประจำ ก็ขอแนะนำให้ลองเปลี่ยนมาทำอาหารเองที่บ้านจะดีกว่า เพราะนอกจากจะสามารถเลือกอาหารที่ถูกปาก-ถูกใจ สด สะอาด และมีราคาถูก ประหยัดกว่าการไปรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นอันมากแล้วยังจะเป็นการดีต่อสมาชิกในครอบครัวที่จะได้อยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิดบ่อยๆนับว่าเป็นการสร้างสายใยความรักภายในครอบครัวให้มีความรัก-ความผูกพัน-ความห่วงใย-ความเข้าใจและสร้างความอบอุ่นให้แก่สมาชิกในครอบครัวโดยถ้วนทั่วได้อย่างวิเศษที่สุด

นอกจากนี้ ยังควรพิจารณารวมถึงการลดหรือเลิกการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ ที่ฟุ่มเฟือย งดการดื่มสุรา-การสูบบุหรี่ หรือการเที่ยวเตร่ยามค่ำคืนลง เพื่อเป็นการตัดทอนรายจ่ายที่ไม่จำเป็นทั้งที่เป็นการส่วนตัวและภายในครอบครัวลงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อชดเชยกับรายจ่ายค่าน้ำมันที่แพงขึ้นอย่างมากในต้นปี 2548นี้

8.ใช้ระบบการติดต่อสื่อสารให้มากขึ้น

ปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาก้าวไกลไปมากและมีประสิทธิภาพสูง สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องพบหน้าพบตากันเลย ไม่ต้องขับรถฝ่าการจราจรติดขัดออกไปยังจุดนัดหมายเหมือนแต่ก่อน เพียงท่านมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวก็สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้แล้ว หรืออาจจะใช้การติดต่อทางอินเทอร์เน็ต บริการSMS โทรศัพท์ โทรสาร ไปรษณีย์ โทรเลข และบริการส่งเอกสาร แทนการเดินทางด้วยรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฯลฯ การใช้เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ จึงเป็นทางเลือกใหม่สำหรับธุรกิจยุคใหม่นี้

9.ใช้ระบบรถร่วมทาง( Car Pool )

วิธีนี้จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มาก ถ้าหากการเดินทางของท่านและสมาชิกในครอบครัวจะได้ไม่ต้องนำรถออกหลายคัน ต่างคนต่างไปแบบคนละคัน หรือแม้แต่กับเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกัน อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันที่ต้องเดินทางไปในสถานที่เดียวกันหรือที่ทำงานใกล้ๆกัน ติดต่อธุระในเส้นทางใกล้ๆกัน อาจจะใช้วิธีสลับสับเปลี่ยนการนำรถออก2-3วันครั้งหรือสัปดาห์ละครั้งหมุนเวียนกันไป ซึ่งในระยะแรกๆอาจต้องปรับตัวเพื่อสร้างความคุ้นเคยให้เกิดขึ้นก่อน แต่พอนานๆไปก็จะเคยชินจนเป็นกิจวัตรร่วมกันไปในที่สุด การใช้ระบบ Car Pool นี้นอกจากจะช่วยให้ท่าน-สมาชิกในครอบครัว และเพื่อนร่วมทางในหมู่บ้านเดียวกัน สามารถประหยัดน้ำมันรถได้มากแล้ว ยังเป็นการสร้างสายใยสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นในสมาชิกภายในครอบครัวและเพื่อนบ้านเรือนเคียงได้เป็นอย่างดียิ่งทีเดียว

10.จับจ่ายซื้อของใกล้บ้านไม่ต้องขับรถไป

วิธีนี้ปฏิบัติได้ง่ายๆสำหรับท่านที่ต้องออกไปจับจ่ายใช้สอยซื้อหาอาหาร สินค้าจำเป็นต่างๆในละแวกบ้านไม่เกิน 1-2 กิโลเมตร ก็ไม่ต้องขับรถยนต์ไปซื้อ แต่ให้ใช้วิธีการเดินหรือขับขี่จักรยานไปจะเป็นการดีที่สุด เพราะจะประหยัดค่าน้ำมันได้และยังเป็นการออกกำลังกายไปด้วยในตัว

บทสรุป

ภายหลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศลอยตัวราคาน้ำมันเบนซินแล้วภาระรายจ่ายค่าน้ำมันของประชาชนก็ต้องเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยวดยานพาหนะเพื่อการเดินทางเป็นประจำวัน ทั้งที่เป็นรถยนต์ รถจักรยานยนต์ แม้แต่ผู้ขับขี่รถที่เติมน้ำมันดีเซลก็เริ่มจะได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลจะค่อยๆปรับราคาดีเซลขึ้นในระยะต่อไปหลังจากที่ขึ้นไปแล้วลิตรละ 60 สตางค์เมื่อวันที่ 22กุมภาพันธ์ 2548 นี้ ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็กำลังจะประกาศมาตรการประหยัดน้ำมันและพลังงานทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาวเพิ่มเติมออกมาอีก หลังจากที่ในปี2547ที่ผ่านมาก็ได้ประกาศออกมาหลายมาตรการแล้ว ดังนั้นประชาชนจึงต้องให้ความร่วมมือกับทางการประหยัดการใช้น้ำมันและพลังงานอย่างจริงจัง เพื่อฟันฝ่าวิกฤตน้ำมันราคาแพงครั้งนี้ไปให้ได้ด้วยดี