ส่งออกกุ้งไทยปี’48 : ผลกระทบจากอียูเลื่อนการคืนจีเอสพี

สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงบรัสเซลล์ ได้แจ้งว่าในการประชุมคณะทูตผู้แทนถาวรของสหภาพยุโรป(COREPER) ในวันที่ 21 มิถุนายน 2548 มีการเสนอให้เลื่อนการบังคับใช้ระเบียบการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไปหรือจีเอสพีโครงการใหม่ปี 2549-2558 ออกไปเป็นวันที่ 1 มกราคม 2549 จากกำหนดเดิมที่เคยประกาศไว้ 1 กรกฎาคม 2548 และในวันที่ 27 มิถุนายน 2548 คณะทำงานของอียูที่พิจารณาเรื่องนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประเทศที่ด้อยพัฒนาจะคืนสิทธิพิเศษจีเอสพีให้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 ส่วนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินเดียและไทยจะคืนสิทธิพิเศษจีเอสพีให้ภายในวันที่ 1 มกราคม 2549 การที่คณะกรรมาธิการยุโรปยืนมติเลื่อนการคืนสิทธิจีเอสพีออกไปส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์กุ้งของไทย ความหวังของผู้ส่งออกกุ้งที่จะได้โอกาสในการส่งออกไปยังตลาดอียูมาชดเชยการส่งออกไปยังสหรัฐฯที่ลดลงอันเป็นผลจากการถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดก็หมดไปด้วย

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดว่าผลกระทบจากการที่อียูเลื่อนการคืนสิทธิจีเอสพีไปเป็นต้นปี 2549 และการที่สหรัฐฯจะมีการพิจารณาทบทวนการงดการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเป็นการชั่วคราวในช่วงเดือนตุลาคม 2548 ซึ่งแม้ว่าสหรัฐฯจะพิจารณางดการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเป็นการชั่วคราวแต่ก็ไม่น่าจะทันกับที่จะส่งผลดีต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองที่ประเทศต่างๆจะมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้ง เท่ากับว่าในปีนี้การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยไม่มีปัจจัยที่จะมากระตุ้นการส่งออกตามที่เคยมีการคาดหมายกันไว้ในช่วงต้นปี กอปรกับการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก โดยเฉพาะในตลาดส่งออกสำคัญไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ญี่ปุ่นและอียู ทำให้มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยไปยังตลาดเหล่านี้ลดลงทุกตลาด คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งในปี 2548 เท่ากับ 1,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับในปี 2547 แล้วลดลงร้อยละ 21.9 จากที่เคยมีการคาดการณ์มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งในช่วงต้นปี 2548 ว่าจะสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งได้เท่ากับ 1,803 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 ดังนั้นเท่ากับว่ามูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยในปี 2548 นี้หายไปถึง 523 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 20,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ภาครัฐและผู้ประกอบการในธุรกิจกุ้งต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยเฉพาะการลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากในปัจจุบันราคาเป็นปัจจัยเบื้องต้นในการพิจารณาของประเทศผู้นำเข้ากุ้ง อันเป็นผลมาจากการที่ประเทศผู้นำเข้ามีแหล่งนำเข้าให้เลือกมากมาย ทั้งประเทศผู้ผลิตกุ้งรายเก่าและรายใหม่ที่ทยอยเข้ามาลงทุนในการเพาะเลี้ยงกุ้ง สำหรับการพิจารณาเจาะขยายตลาดนั้น แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาการแข่งขันอย่างรุนแรง และในบางตลาดผู้ส่งออกของไทยต้องเสียเปรียบในเรื่องภาษีนำเข้า แต่การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคของแต่ละตลาด และการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคนั้นยังเป็นช่องทางในการเจาะขยายตลาดได้ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าประเภทกุ้งแปรรูป และผลิตภัณฑ์กุ้งพร้อมปรุงหรือกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งสินค้าเหล่านี้ไทยยังมีความได้เปรียบในเรื่องแรงงานที่มีฝีมือในการผลิต รวมทั้งอาศัยจุดเด่นของสินค้าผลิตภัณฑ์กุ้งในเรื่องการผลิตที่ได้สุขอนามัยและปราศจากสารเคมีตกค้าง ทำให้สินค้าผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยพร้อมจะขยายตลาดได้ในอนาคต รวมทั้งการเจาะขยายตลาดใหม่ๆที่น่าสนใจ โดยเฉพาะแคนา-ดา เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และตลาดในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นประเทศเหล่านี้มีกำลังซื้อสูงและนิยมบริโภคอาหารทะเล

อียู…ตัดสิทธิจีเอสพีสินค้ากุ้งไทยตั้งแต่ปี 2540

สหภาพยุโรปพิจารณาตัดการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไปหรือจีเอสพีกับสินค้ากุ้งไทย โดยเป็นการทยอยการตัดจีเอสพี กล่าวคือ ผู้ส่งออกกุ้งของไทยต้องถูกตัดสิทธิจีเอสพีร้อยละ 50 ในช่วงปี 2540-2541 และตั้งแต่ปี 2542 ผู้ส่งออกกุ้งของไทยต้องถูกตัดสิทธิจีเอสพีทั้งหมดหรือต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราปกติ ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่งขันรายอื่นๆ โดยเฉพาะ มาเลเซียและอินโดนีเซียซึ่งยังคงได้สิทธิจีเอสพี และเสียภาษีนำเข้าในอัตราร้อยละ 4.5 เอกวาดอร์เสียภาษีในอัตราร้อยละ 3.0 และประเทศในกลุ่มแอนเดรียนเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0

อัตราภาษีนำเข้าสินค้ากุ้งของไทยในตลาดอียู : ร้อยละ
สินค้า ภาษีนำเข้า
ก่อนปี 2540
(ได้สิทธิจีเอสพี) ปี 2540-2541
(ตัดสิทธิจีเอสพี 50%) ปี 2542-ปัจจุบัน
(ตัดสิทธิ 100%)
กุ้งสด 4.5 9.7 14.4
กุ้งแปรรูป 6.0 13.5 20.0

ผลของการตัดสิทธิจีเอสพีของอียูทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไทย โดยเฉพาะการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งลดลงอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ มูลค่าการส่งออกในปี 2540 ก่อนที่จะถูกตัดสิทธิจีเอสพีนั้นสูงถึง 203.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงเหลือเพียง 16.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2547 และในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2548 เท่ากับ 3.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือลดลงร้อยละ 10.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547

มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปตลาดอียู
: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง* กุ้งกระป๋อง กุ้งแปรรูป
2540 203.3 81.0 0.2
2541 169.0 84.2 0.6
2542 123.8 70.8 0.2
2543** 144.6 68.5 44.4
2544 71.0 61.6 46.2
2545 12.4 6.2 16.5
2546 5.7 6.4 19.1
2547 16.1 2.2 28.1
มค.-เมย.2548 3.6 2.0 6.5
ที่มา : กระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ : * รวมกุ้งแห้ง และกุ้งต้มสุกแช่เย็น
**ปี 2543 ทางกรมศุลกากรมีการปรับรหัสพิกัดสินค้า

ประเทศคู่แข่งสำคัญในการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปยังตลาดอียู มีดังนี้

– บราซิล

บราซิลเป็นประเทศคู่ค้าผลิตภัณฑ์กุ้งที่สำคัญของอียู โดยเฉพาะในตลาดสเปนและฝรั่งเศส การส่งออกกุ้งของบราซิลไปยังอียูมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากอียูหันมานำเข้ากุ้งขาว(Penaeus Vannamei)แทนการนำเข้ากุ้งธรรมชาติ(Pleoticus Muelleri) คาดว่าในปี 2548 นี้บราซิลจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกกุ้งอันดับหนึ่งไปยังตลาดสเปนแทนที่อาร์เจนตินา หลังจากที่บราซิลเคยก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกกุ้งอันดับหนึ่งในตลาดฝรั่งเศสแทนที่มาดากัสการ์ในปี 2546 การที่บราซิลประสบความสำเร็จอย่างมากในการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปยังตลาดอียู เนื่องจากความได้เปรียบในเรื่องราคา กล่าวคือ กุ้งแช่แข็งของบราซิลในตลาดฝรั่งเศสในปี 2547 มีราคา 3 ยูโรต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของกุ้งแช่แข็งที่ฝรั่งเศสนำเข้าอยู่ที่ 5 ยูโรต่อกิโลกรัม ส่วนกุ้งแช่แข็งจากมาดากัสการ์อยู่ที่ 10 ยูโรต่อกิโลกรัม นอกจากนี้มีการคาดการณ์ว่าผลผลิตกุ้งของบราซิลในปี 2548 จะเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ตัน ซึ่งจะทำให้บราซิลมีโอกาสในการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปชดเชยปริมาณกุ้งที่เสียหายจากประเทศผู้ส่งออกกุ้งในเอเชียอันเป็นผลมาจากมหันตภัยสึนามิ

– อินโดนีเซีย

อินโดนีเซียยังคงได้รับสิทธิจีเอสพีโดยภาษีนำเข้ากุ้งสดจากอินโดนีเซียอยู่ที่ร้อยละ 3.5 และกุ้งแช่แข็งร้อยละ 7.5 นับว่าเป็นโอกาสของอินโดนีเซียในการขยายการส่งออก คาดว่าในปี 2547 นี้มูลค่าการส่งออกกุ้งอินโดนีเซียไปตลาดอียูสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการลงทุนร่วมกันระหว่างอียู(โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส)และอินโดนีเซียในการเลี้ยงกุ้งและแปรรูปกุ้ง ซึ่งอินโดนีเซียเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในการส่งออกกุ้งแปรรูปไปยังตลาดอังกฤษ

– เอกวาดอร์

เอกวาดอร์เป็นประเทศผู้ส่งออกกุ้งแช่แข็งอันดับหนึ่งในตลาดอิตาลีและเยอรมนีแทนที่อาร์เจนตินา ซึ่งแนวโน้มการนำเข้ากุ้งของตลาดอิตาลีและเยอรมนีนั้นมีทิศทางเดียวกันกับตลาดสเปนคือ หันไปนำเข้ากุ้งขาวแทนการนำเข้ากุ้งธรรมชาติ โดยราคากุ้งของเอกวาดอร์ในปี 2547 เฉลี่ย 4.32 ยูโรต่อกิโลกรัม ในขณะที่กุ้งจากอาร์เจนตินาราคาเฉลี่ย 8.03 ยูโรต่อกิโลกรัม ส่วนในตลาดสเปนนั้นเอกวาดอร์ครองอันดับสาม และในตลาดฝรั่งเศสนั้นเอกวาดอร์ครองอันดับสี่

– เวียดนาม

การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของเวียดนามไปตลาดอียูลดลงอย่างมากในปี 2545 แต่หลังจากนั้นก็มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น เนื่องจากผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของเวียดนามกระจายประเทศส่งออกจากเดิมที่ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังเบลเยี่ยม โดยเพิ่มการส่งออกไปยังประเทศต่างๆในกลุ่มอียู ทำให้อัตราการขยายตัวของการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของเวียดนามไปยังตลาดเบลเยี่ยมลดลง ในขณะที่ปริมาณการส่งออกไปยังอังกฤษ เยอรมนี อิตาลี ฝรั่งเศส และ สเปนเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวกระโดด หลังจากที่เวียดนามถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดจากการส่งออกกุ้งไปยังตลาดสหรัฐฯ ทำให้ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของเวียดนามหันมาสนใจมุ่งเจาะตลาดอียูมากยิ่งขึ้น

– อินเดีย

อินเดียครองตลาดอันดับหนึ่งในการส่งออกกุ้งแปรรูปไปยังตลาดเยอรมนี และครองอันดับหนึ่งในการส่งออกกุ้งแช่แข็งในตลาดเบลเยี่ยมและอังกฤษ นอกจากนี้คู่แข่งที่น่าจับตามองของไทยในตลาดเบลเยี่ยมที่มีการขยายการส่งออกอย่างมากในปี 2547 คือ มาเลเซีย ปากีสถาน บังคลาเทศ และอินโดนีเซีย

– จีน

สหภาพยุโรปมีมติยกเลิกการห้ามนำเข้ากุ้งจากจีนในวันที่ 6 กรกฎาคม 2547 หลังจากที่ทางสหภาพยุโรปเคยตรวจพบสารเคมีตกค้างในผลิตภัณฑ์กุ้งจากจีน ส่งผลให้จีนกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดสหภาพยุโรป โดยในปี 2547 จีนส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปยังตลาดอียูประมาณ 3,255 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 2.1 ของปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งทั้งหมดของจีน และคาดว่าในปี 2548 ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของจีนมีแนวโน้มจะเจาะขยายตลาด อียูเพิ่มขึ้นหลังจากที่ต้องเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ อันเป็นผลมาจากการที่สหรัฐฯเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด

ตลาดสหรัฐฯ…รอการทบทวนภาษีตอบโต้ทุ่มตลาดในเดือนตุลาคม

ในปี 2548 การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯต้องเผชิญปัญหาหลายประการ เนื่องจากปัญหาภัยแล้งและความเสียหายจากคลื่นสึนามิ ทำให้พันธุ์กุ้งภายในประเทศลดลง ประกอบกับตลาดสหรัฐฯเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดผลิตภัณฑ์กุ้งไทยในอัตราร้อยละ 6.03 แม้ว่าผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไทยจะอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบคู่แข่งสำคัญอย่างจีน เวียดนาม และอินเดีย แต่ไทยก็ยังต้องเผชิญการแข่งขันอย่างรุนแรงจากคู่แข่งรายอื่นๆ รวมถึงการที่คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯจะทบทวนยกเลิกเก็บภาษีเอดีชั่วคราวในเดือนตุลาคม 2548 เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมกุ้งไทยที่ได้รับความเสียหายจากคลื่นสึนามิ แต่การพิจารณาในช่วงปลายปีนั้นคาดว่าจะไม่ส่งผลกระตุ้นการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯในปี 2548 นี้ เนื่องจากคำสั่งซื้อกุ้งนั้นต้องมีการสั่งซื้อล่วงหน้าประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งผู้นำเข้ายังไม่แน่ใจว่าทางรัฐบาลสหรัฐฯจะพิจารณาทบทวนเพื่องดการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดให้กับไทยหรือไม่ ดังนั้นคาดว่ามูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯในปีนี้ยังคงไม่กระเตื้องขึ้น

ประเด็นที่น่าเป็นห่วงสำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปยังตลาดสหรัฐฯคือ การเผชิญการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดไปจากไทย แม้ว่าปัจจุบันไทยจะยังคงครองตลาดเป็นอันดับหนึ่งในการตลาดผลิตภัณฑ์กุ้งนำเข้าในสหรัฐฯ แต่ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยไปยังสหรัฐฯมีแนวโน้มลดลงทั้งในด้านปริมาณและมูลค่า ในขณะที่ยังมีอีกหลายประเทศยังคงสามารถเพิ่มทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้แก่ อินโดนีเซีย เอกวาดอร์ เม็กซิโก มาเลเซีย เปรู และบังคลาเทศ นอกจากนี้ยังมีคู่แข่งหน้าใหม่ ได้แก่ สหรัฐอาหรับอิมิเรต จาไมก้า และฟิลิปปินส์ โดยประเทศเหล่านี้มีอัตราการขยายตัวในการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปยังตลาดสหรัฐฯอย่างมาก

ผลิตภัณฑ์กุ้งนำเข้าของสหรัฐฯ
ปริมาณ : ตัน มูลค่า : พันดอลลาร์สหรัฐฯ
ประเทศ มค.-มีค.2547 มค.-มีค.2548 การเปลี่ยนแปลง(ร้อยละ)
ปริมาณ มูลค่า ปริมาณ มูลค่า ปริมาณ มูลค่า
ไทย* 49,098 289,308 31,564 201,316 -35.71 -30.41
อินโดนีเซีย 6,560 37,842 12,845 90,884 95.81 140.17
เอกวาดอร์* 11,498 62,061 11,994 65,623 4.31 5.74
เวียดนาม* 14,233 143,754 10,533 109,917 -26.00 -23.54
จีน* 25,564 124,576 9,917 45,342 -61.21 -63.60
อินเดีย* 15,233 124,556 8,022 69,838 -47.34 -43.93
เม็กซิโก 4,380 48,554 4,893 58,499 11.71 20.48
เวเนซูเอลล่า 4,432 22,236 3,898 19,182 -12.05 -13.73
มาเลเซีย 290 2,092 2,697 22,203 830.00 961.33
ไกยานา 2,653 8,368 2,003 7,117 -24.50 -14.95
บังคลาเทศ 1,150 11,935 1,967 20,326 71.04 70.31
ปานามา 1,115 6,614 1,342 8,243 20.36 24.63
บราซิล* 2,998 12,093 1,306 5,284 -56.44 -56.31
ฮอนดูรัส 2,159 11,813 1,163 6,520 -46.13 -44.81
อื่นๆ 7,956 46,288 8,256 47,067 3.77 1.68
รวม 149,319 952,090 112,400 777,361 -24.72 -18.35
ที่มา : NMF , INFOPESCA
หมายเหตุ : *ประเทศที่สหรัฐฯเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด

ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 ปริมาณการนำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้งของสหรัฐฯ เท่ากับ 112,400 ตัน มูลค่า 777.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วทั้งปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 24.7 และ 18.4 ตามลำดับ ทั้งนี้เนื่องจากประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้าหลักของสหรัฐฯ ซึ่งถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ไม่ว่าจะเป็นไทย จีน อินเดีย เวียดนาม และบราซิล มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯในช่วงไตรมาสแรกนี้ลดลง อย่างไรก็ตามมีเพียงเอกวาดอร์เท่านั้นที่ถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดแต่ยังคงสามารส่งออกไปยังสหรัฐฯได้เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า กล่าวคือ ปริมาณการนำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้งจากเอกวาดอร์ในช่วงไตรมาสแรกปี 2548 เท่ากับ 11,994 ตัน มูลค่า 65.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 และ 5.7 ตามลำดับ

สำหรับประเทศที่น่าจับตามองคือ อินโดนีเซีย เนื่องจากอินโดนีเซียนั้นได้รับประโยชน์อย่างมากจากการที่สหรัฐฯเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดจากประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้าหลัก โดยปริมาณการนำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้งจากอินโดนีเซียในช่วงไตรมาสแรกปี 2548 เท่ากับ 12,845 ตัน มูลค่า 90.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 95.8 และ 140.2 ตามลำดับ

สำหรับในช่วงไตรมาสแรกปี 2548 นี้การแข่งขันของกุ้งจากประเทศในอเมริกากลางลดลง เนื่องจากผลผลิตกุ้งในนิการากัว คอสตาริกา และฮอนดูรัสลดลง อันเป็นผลมาจากอากาศเย็นที่ยาวนานผิดปกติ เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในประเทศเหล่านี้เร่งจับกุ้งก่อนที่กุ้งจะโตเต็มที่ โดยเก็บผลผลิตไปแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปี 2547 ดังนั้นการเลี้ยงกุ้งรอบใหม่จะสามารถเก็บผลผลิตได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2548 ซึ่งเท่ากับว่าประเทศในอเมริกากลางเหล่านี้จะกลับเข้ามาเป็นคู่แข่งขันอีกครั้งหนึ่งในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2548

เมื่อพิจารณาแยกประเภทของผลิตภัณฑ์กุ้งที่นำเข้าของสหรัฐฯในช่วงไตรมาสแรกปี 2548 พบว่ากุ้งมีเปลือก(Shell-on)ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ากุ้งขนาดกลางและเล็ก โดยแหล่งนำเข้าหลักคือ อินเดีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และเม็กซิโก ในขณะที่การนำเข้าจากเวเนซูเอลา เอกวาดอร์ โคลัมเบีย และบราซิลนั้นลดลง อย่างไรก็ตามสำหรับการนำเข้ากุ้งขนาดกลางนั้นแหล่งนำเข้าหลัก คือ เวียดนาม ไทย อินโดนีเซีย อินเดีย และเอกวาดอร์นั้นราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปี 2547 สำหรับผลิตภัณฑ์กุ้งอื่นๆ เช่น กุ้งปอกเปลือก กุ้งแปรรูปแช่แข็ง เป็นต้นมีการนำเข้าลดลง โดยไทยและเวียดนามเป็นแหล่งนำเข้าหลักของกุ้งปอกเปลือก ซึ่งประเทศที่เป็นคู่แข่งสำคัญที่เข้ามาเบียดแย่งส่วนแบ่งตลาดคือ อินโดนีเซีย

อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาสแรกปี 2548 นี้ผลิตภัณฑ์กุ้งที่สหรัฐฯนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างน่าจับตามอง คือ กุ้งคลุกขนมปัง กล่าวคือ ปริมาณการนำเข้าในช่วงไตรมาสแรกปี 2548 เท่ากับ 10,012 ตัน มูลค่า 48.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 214.7 และ 197.4 ตามลำดับ ซึ่งแหล่งนำเข้าหลักของผลิตภัณฑ์กุ้งชนิดนี้คือ ไทยและจีน ปัจจัยหนุนประการสำคัญคือ ผลิตภัณฑ์กุ้งชนิดนี้มีอัตราภาษีร้อยละ 0

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติรายงานภาวะการค้าผลิตภัณฑ์กุ้งในตลาดสหรัฐฯว่าในช่วงไตรมาสแรก 2548 นี้มีแนวโน้มลดลงอย่างมาก เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันส่งผลให้คนอเมริกันหลีกเลี่ยงการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านและการซื้อสินค้าอาหารราคาแพงในซุปเปอร์มาร์เก็ต นอกจากนี้ราคาของเนื้อไก่และเนื้อวัวก็ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเนื้อปลาและกุ้ง รวมทั้งภาวะอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยโดยมีรายงานทั้งพายุฝนและหิมะ ซึ่งทำให้คนอเมริกันไม่ค่อยออกจากบ้าน นอกจากนี้ในตลาดสหรัฐฯยังคงมีสต็อกกุ้งคงค้างจากช่วงปลายปี 2547 ทำให้การนำเข้าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 ลดลง คาดการณ์ว่าในปี 2548 ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นจะยังคงเป็นอุปสรรคต่อการขยายตลาดผลิตภัณฑ์กุ้งในสหรัฐฯ

ประเด็นที่น่าจับตามองคือ การนำเข้ากุ้งขนาดใหญ่และเล็กของสหรัฐฯเริ่มมีแนวโน้มลดลง โดยประเทศที่ครอบครองตลาดกุ้งขนาดใหญ่ในสหรัฐฯคือ อินเดีย บังคลาเทศ ไทย และเวียดนาม ส่วนกุ้งขนาดเล็กประเทศที่ครอบครองตลาดคือ เอกวาดอร์ เวเนซูเอลลา ไทย และบราซิล ในขณะที่สหรัฐฯนำเข้ากุ้งขนาดกลางมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศที่ครอบครองตลาดกุ้งขนาดกลางในสหรัฐฯคือ ไทย อินโดนีเซีย และเม็กซิโก นอกจากนี้สินค้ากุ้งแปรรูปมีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกุ้งแปรรูปอื่นๆทั้งในลักษณะแช่แข็งและไม่ได้แช่แข็ง(Shrimp Frozen Other Preparations และ Others Preparations Non-frozen) และ กุ้งคลุกขนมปัง(Breaded Frozen) ส่วนกุ้งที่ปอกเปลือกการนำเข้ามีแนวโน้มลดลง

ตลาดญี่ปุ่น…แข่งขันรุนแรง เร่งปรับตัวเพื่อเจาะขยายตลาด

ตลาดญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดใหญ่ในการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยอีกตลาดหนึ่งกำลังเผชิญปัญหา เนื่องจากปริมาณการบริโภคกุ้งของคนญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดลงอันเป็นมาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณการบริโภคกุ้งจะเพิ่มขึ้นเฉพาะในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง และเทศกาลวันหยุดสำคัญของประเทศเท่านั้น

ผลิตภัณฑ์กุ้งนำเข้าของญี่ปุ่นที่มีการขยายตัวอย่างมากในช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่านมานี้คือ กุ้งแปรรูปและกุ้งกึ่งสำเร็จรูป ในขณะที่ความต้องการกุ้งสดและกุ้งแช่แข็งไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก อย่างไรก็ตามกุ้งแช่แข็งนับว่าเป็นผลิตภัณฑ์กุ้งที่มีส่วนแบ่งตลาดถึงร้อยละ 80 ของผลิตภัณฑ์กุ้งที่ญี่ปุ่นนำเข้าทั้งหมด ซึ่งผู้ส่งออกกุ้งของไทยเข้าไปแข่งขันกับประเทศต่างๆในการแย่งส่วนแบ่งตลาดนี้ คู่แข่งขันสำคัญของไทยคือ อินโดนีเซีย เวียดนาม อินเดีย และจีน อย่างไรก็ตามการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของอินโดนีเซียไปยังตลาดญี่ปุ่นลดลงในช่วงปี 2547 ทั้งนี้เนื่องจากอินโดนีเซียมุ่งส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปยังตลาดสหรัฐฯ ทำให้อินเดียก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกกุ้งแช่แข็งอันดับหนึ่งในตลาดญี่ปุ่นในปี 2547 และญี่ปุ่นนำเข้าจากไทย จีน และเวียดนามเพิ่มขึ้นด้วย ประเทศคู่แข่งที่น่าจับตามอง คือ พม่า ซึ่งในปี 2547 ญี่ปุ่นนำเข้ากุ้งแช่แข็งจากพม่าเท่ากับ 7,630 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2546 แล้วเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 41.9 อย่างไรก็ตามในปี 2548 นี้คาดว่าญี่ปุ่นจะนำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้งจากอินเดียลดลง เนื่องจากญี่ปุ่นตรวจพบสารแอนตี้ไบโอติกในผลิตภัณฑ์กุ้งที่นำเข้าจากญี่ปุ่น รวมทั้งผลิตภัณฑ์กุ้งที่ส่งออกจากอินเดียมีปัญหาเรื่องกลิ่นโคลน เนื่องจากอินเดียทำการเลี้ยงตลอดทั้งปี และไม่มีการตากบ่อ ดังนั้นปัจจัยพึงระวังอย่างยิ่งในการเจาะขยายตลาดญี่ปุ่น คือ ความเข้มงวดในเรื่องสารตกค้างและสุขอนามัยในการผลิต

แหล่งนำเข้ากุ้งแช่แข็งของญี่ปุ่น
: ตัน
2543 2544 2545 2546 2547
อินเดีย 20,005 42,991 34,821 28,191 31,571
อินโดนีเซีย 49,795 55,617 53,608 52,392 48,623
ไทย 18,651 20,574 18,987 16,930 17,192
เวียดนาม 33,098 35,664 41,516 47,641 55,506
จีน 16,545 14,926 19,598 20,534 22,609
พม่า 4,464 4,148 5,568 5,377 7,630
ฟิลิปปินส์ 8,335 8,423 7,996 6,422 6,273
บังคลาเทศ 4,147 3,169 3,241 3,004 3,415
มาเลเซีย 3,057 3,848 4,481 3,262 3,173
ศรีลังกา 3,315 3,188 2,168 3,054 1,817
บราซิล 815 1,002 992 1,030 1,452
เอกวาดอร์ 2,609 1,990 1,733 1,134 916
ปากีสถาน 760 633 812 544 604
อื่นๆ 81,031 48,875 53,347 43,736 40,664
รวม 246,627 245,048 248,868 233,251 241,445
ที่มา : Japanese Customs

ตลาดญี่ปุ่นเป็นตลาดที่อ่อนไหวในเรื่องของราคา เนื่องจากคนญี่ปุ่นนิยมบริโภคปลาเป็นอันดับหนึ่ง และคนญี่ปุ่นส่วนหนึ่งหันไปเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีราคาถูก โดยจะเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์กุ้งเฉพาะในโอกาสเทศกาลเฉลิมฉลองสำคัญเท่านั้น อย่างไรก็ตามตลาดญี่ปุ่นนั้นนิยมบริโภคกุ้งขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกุ้งกุลาดำ และกุ้งขาวที่จับจากธรรมชาติมากกว่ากุ้งขาวที่ได้จากการเพาะเลี้ยง สำหรับกุ้งขนาดเล็กนั้นเป็นที่นิยมสำหรับร้านประเภทซูชิบาร์นั้นก็ยังนิยมกุ้งกุลาดำแม้ว่าในปัจจุบันจะมีกุ้งขาวราคาถูกให้เลือกนำเข้ามากขึ้นก็ตาม ผลิตภัณฑ์กุ้งที่มีแนวโน้มดีในตลาดญี่ปุ่น คือ ผลิตภัณฑ์กุ้งแปรรูปประเภทต่างๆ เช่น กุ้งแห้ง กุ้งแช่น้ำเกลือ กุ้งต้มสุกแช่แข็ง กุ้งกระป๋อง ข้าวปั้นหน้ากุ้ง เป็นต้น

สำหรับกุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทยที่ส่งไปยังตลาดญี่ปุ่นนั้นส่วนใหญ่เป็นกุ้งปอกเปลือกและมีหาง(Peeled Tail-on) ซึ่งคู่แข่งสำคัญของไทยในการส่งออกกุ้งประเภทนี้คือ เวียดนาม การเจาะขยายตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทยนั้นคงต้องพิจารณาแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคในญี่ปุ่นที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กล่าวคือ ตลาดญี่ปุ่นเริ่มมีความต้องการกุ้งขนาดกลางเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ต้องการเพียงกุ้งขนาดใหญ่ อันเป็นผลมาจากอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปในญี่ปุ่นต้องการกุ้งขนาดกลางเพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบในการทำซูชิและเทมปุระ รวมทั้งผู้บริโภคในญี่ปุ่นเริ่มนิยมบริโภคกุ้งขนาดกลางมากขึ้นด้วย นอกจากนี้มีแนวโน้มว่าตลาดญี่ปุ่นเริ่มนำเข้ากุ้งแปรรูปเพิ่มขึ้น และสัดส่วนการนำเข้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งมีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลง โดยเฉพาะกุ้งคลุกขนมปังป่น ซูชิ และผลิตภัณฑ์กุ้งแปรรูปประเภทอื่นๆ

บทสรุป

การที่อียูเลื่อนการคืนสิทธิจีเอสพีออกไปเป็นต้นปี 2549 จะส่งผลกระทบทำให้มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยในปี 2548 ลดลงเหลือเพียง 1,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับในปี 2547 แล้วลดลงร้อยละ 21.9 จากที่เคยมีการคาดการณ์มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งในช่วงต้นปี 2548 ว่าจะสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งได้เท่ากับ 1,803 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 ดังนั้นเท่ากับว่ามูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยในปี 2548 นี้หายไปถึง 523 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 20,000 ล้านบาท กอปรกับคาดการณ์ว่าการพิจารณางดการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดผลิตภัณฑ์กุ้งในสหรัฐฯเป็นการชั่วคราวที่จะมีการประกาศในราวเดือนตุลาคม 2548 จะไม่มีผลต่อการกระตุ้นการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งในช่วงปลายปี 2548 เนื่องจากการสั่งซื้อต้องเป็นการสั่งล่วงหน้า 2-3 เดือน

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาการแข่งขันในการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยในตลาดส่งออกหลัก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ อียู และญี่ปุ่น ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยต้องเผชิญกับปัญหาการแข่งขันที่รุนแรง ทั้งจากคู่แข่งขันรายเดิมและรายใหม่ที่หันมาเลี้ยงกุ้งเพื่อการส่งออก ดังนั้นทั้งรัฐบาลและผู้ประกอบการในธุรกิจผลิตภัณฑ์กุ้งต้องเร่งปรับประสิทธิภาพการผลิต ทั้งนี้เพื่อทำให้ต้นทุนการผลิตกุ้งของไทยลดลง เนื่องจากประเทศผู้นำเข้ากุ้งมีทางเลือกในการนำเข้ามากขึ้น ดังนั้นจึงพิจารณาถึงราคาเป็นปัจจัยเบื้องต้นในการนำเข้า นอกจากนี้ต้องเร่งเจาะขยายตลาดโดยการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของแต่ละตลาดเพื่อหาทางผลิตผลิตภัณฑ์กุ้งให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งการหาตลาดส่งออกใหม่ๆ โดยตลาดที่น่าสนใจ คือ แคนาดา เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย รวมไปถึงประเทศต่างๆในตะวันออกกลาง ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปยังประเทศเหล่านี้บ้างแล้วแต่ยังมีสัดส่วนการส่งออกไม่มากนัก ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งขยายตัว ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ช่วยทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในประเทศอยู่รอด เนื่องจากปริมาณการส่งออกกุ้งนั้นคิดเป็นร้อยละ 70 ของปริมาณการผลิตกุ้งทั้งหมด ส่วนการกระตุ้นการบริโภคกุ้งในประเทศให้เพิ่มขึ้นนั้นก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น่าจะส่งผลให้ราคากุ้งภายในประเทศมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นได้บ้าง