ธุรกิจยาง : อีก 5 ปีข้างหน้าไม่น่าห่วง …แต่ต้องเตรียมรับมือหลังจากปี 2552

ยางเป็นสินค้าเกษตรดาวเด่นมาตั้งแต่ปี 2547 และคาดว่ายางจะยังคงมีบทบาทที่โดดเด่นต่อไปจนถึงปี 2552 เนื่องจากคาดการณ์ว่าราคายางธรรมชาติจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่องไปอีก 5 ปี อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของผลผลิตยางนั้นจะเติบโตไม่ทันกับความต้องการใช้ยางที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กอปรกับภาวะที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้การหันไปใช้ยางสังเคราะห์ทดแทนนั้นทำได้ยาก เนื่องจากราคายางสังเคราะห์ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่บรรดานักวิเคราะห์ตลาดยางต่างคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวของความต้องการยางธรรมชาติจะอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าความต้องการใช้ยางสังเคราะห์

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องเตรียมรับมือคือ หลังจากปี 2552 ยางที่เริ่มมีการขยายพื้นที่ปลูกในช่วงตั้งแต่ปี 2547 เริ่มให้ผลผลิต ซึ่งคาดว่าอาจจะส่งผลทำให้ราคายางในตลาดโลกมีความผันผวนมากขึ้น และราคายางอาจจะกลับไปสู่วัฏจักรราคาตกต่ำในกรณีที่ปริมาณการผลิตขยายตัวมากกว่าความต้องการใช้

สถานการณ์ปี’48…ความต้องการใช้ขยายตัวมากกว่าการผลิต
การผลิตยางธรรมชาติในตลาดโลกในปี 2548 คาดว่าจะมีประมาณ 8.78 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการกรีดยาง อันเป็นผลมาจากราคายางที่อยู่ในเกณฑ์สูงอย่างต่อเนื่อง ประเทศที่ต้องจับตามองคือ มาเลเซีย เนื่องจากผลผลิตยางในปี 2547 เท่ากับ 1.24 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีการขยายปริมาณการผลิตทั้งในส่วนของสวนยางขนาดใหญ่และสวนยางรายย่อย ส่วนปริมาณการผลิตยางในอินโดนีเซียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการเปิดกรีดยางของสวนยางใหม่ โดยเฉพาะในเกาะสุมาตรา สำหรับไทยการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิตยางส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ปลูกยางในภาคตะวันออก ส่วนเวียดนามนั้นจะกลายเป็นประเทศที่มีการขยายพื้นที่การปลูกยางที่น่าจับตามอง โดยคาดว่าในปี 2548 เนื้อที่ปลูกยางของเวียดนามจะเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 เฮกตาร์(ประมาณ 3.13 ล้านไร่) แม้ว่าในปัจจุบันปริมาณการผลิตยางของเวียดนามเฉลี่ยในแต่ละปีประมาณ 3 ล้านตันเท่านั้น แต่ผลผลิตส่วนใหญ่นั้นจะส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ทำให้เวียดนามเป็นคู่แข่งสำคัญของการส่งออกยางไทยทั้งในตลาดจีนและมาเลเซีย ซึ่งในตลาดจีนนั้นปรากฏว่าเวียดนามเป็นคู่แข่งของไทยในการส่งออกยางแผ่นรมควัน ส่วนในมาเลเซียผลผลิตยางไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยเฉพาะน้ำยางข้นทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากไทยบางส่วน

การบริโภคยางในตลาดโลกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อปริมาณการบริโภคยางคือ การเพิ่มขึ้นของปริมาณความต้องการยางในอุตสาหกรรมยานยนต์ และความต้องการของอุตสาหกรรมยางอื่นๆ ซึ่งผลจากการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกและจำนวนประชากรที่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คาดการณ์ว่าในปี 2548 ความต้องการยางในตลาดโลกจะมีปริมาณ 8.69 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และคาดว่าในปี 2549 ความต้องการยางในตลาดโลกยังจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 6.0 เป็นประมาณ 9.21 ล้านตัน โดยคาดว่าความต้องการยางจะขยายตัวอย่างรวดเร็วในประเทศที่กำลังพัฒนากล่าวคือ ความต้องการยางในประเทศกำลังพัฒนามีอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 3.3 ต่อปี

อย่างไรก็ตามคาดว่าอัตราการขยายตัวจะมีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากการเติบโตของการบริโภคยางนั้นขึ้นอยู่กับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีการบริโภคยางอันดับหนึ่งของโลก ปัจจุบันรัฐบาลจีนมีนโยบายที่จะลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ ทำให้ความต้องการยางโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ลดลง จีนนั้นมีความต้องการยางที่มีคุณสมบัติเฉพาะ (Technical Specific Rubber : TSR) ซึ่งยางประเภทนี้มีสัดส่วนการผลิตในอินโดนีเซียร้อยละ 96 ของปริมาณการผลิตยางทั้งหมด ส่วนในมาเลเซียมีการผลิตร้อยละ 80 และในไทยมีการผลิตร้อยละ 50 อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางที่คาดว่ายังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในจีน คืออุตสาหกรรมรองเท้า โดย China Chemical Reporter (CCR) คาดว่าในปี 2548 จีนยังมีความต้องการยางธรรมชาติเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมรองเท้าประมาณ 167,000 ตัน

ประเทศนำเข้ายางที่น่าจับตามองคือ บราซิลซึ่งปริมาณการนำเข้ายางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา กล่าวคือ ในปี 2546 ปริมาณการนำเข้ายางของ บราซิลเพิ่มขึ้นเป็น 162,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และขยายตัวร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับการนำเข้าในช่วงปี 2542-2544 ในขณะที่ปริมาณการนำเข้าของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปนั้นค่อนข้างใกล้เคียงกับในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ประเทศในแถบยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะโปแลนด์ และสาธารณรัฐเช็กก็มีปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี

ส่วนประเทศนำเข้ายางในเอเชียที่น่าจับตามองคือ อินเดีย แม้ว่าอินเดียจะมีการขยายปริมาณการผลิตยางอย่างมากจนกระทั่งปัจจุบันอินเดียนั้นจัดเป็นประเทศที่มีการผลิตยางได้มากเป็นอันดับ 4 ของโลกรองจากไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียก็ตาม แต่ปริมาณความต้องการยางของอินเดียก็มีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน เนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ การปรับมาตรฐานการครองชีพ และการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในอินเดีย ปัจจุบันอินเดียมีอัตราการบริโภคยางเพียง 800 กรัมต่อคนต่อปี ในขณะที่อัตราการบริโภคยางในประเทศอุตสาหกรรมอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสห- ภาพยุโรปเฉลี่ยถึง 12-14 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นว่าโอกาสในการขยายตัวของความต้องการยางของอินเดียอยู่ในเกณฑ์สูง

อนาคตยางในช่วง 5 ปีข้างหน้า …ราคายังอยู่ในเกณฑ์สูง
นักวิเคราะห์ยางในตลาดโลกคาดการณ์ว่าผลผลิตยางธรรมชาติในตลาดโลกจะไม่สามารถเพิ่มขึ้นเกินกว่า 10 ล้านตันก่อนปี 2555 ถ้าประเทศผู้ผลิตยางรายสำคัญของโลกไม่มีนโยบายเร่งรัดขยายการผลิต ในขณะที่ความต้องการยางธรรมชาติในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นเกินกว่า 10 ล้านตันในระยะ 3-4 ปีข้างหน้า โดยคาดหมายว่าความต้องการยางธรรมชาติในตลาดโลกจะมีอัตราการขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 3.7 ในระยะ 5 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าในปี 2552 ปริมาณการผลิตยางธรรมชาติจะต่ำกว่าความต้องการยางในตลาดโลกถึง 0.23 ล้านตัน และภาวะการขาดแคลนยางธรรมชาติจะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ซึ่งทำให้คาดการณ์ว่าอนาคตราคายางธรรมชาติยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าราคายางจะยังคงอยู่ในเกณฑ์สูงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงปี 2548-2552 ปัจจัยสำคัญคือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศผู้บริโภคยางหลัก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป จีนและอินเดีย ปัจจัยสำคัญที่กำหนดราคายางในตลาดโลกคือ ปริมาณการผลิตของประเทศผู้ผลิตยางสำคัญ และปริมาณการบริโภคยาง โดยเฉพาะประเทศผู้นำเข้ายางรายใหญ่ของโลก คือ สหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น

ส่วนประเด็นในเรื่องราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นยังไม่ส่งผลทำให้ความต้องการยางธรรมชาติในอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ลดลง เนื่องจากราคายางธรรมชาติก็ยังถูกกว่ายางสังเคราะห์ประมาณ 200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน นอกจากนี้กระบวนการผลิตยางรถยนต์ ยังมีความจำเป็นต้องใช้ยางธรรมชาติที่มีความยืดหยุ่นสูงผสมกับยางสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติทนความร้อนสูง ดังนั้นความต้องการยางธรรมชาติในตลาดโลกจึงยังอยู่ในเกณฑ์สูง

หลังปี 2552 …เตรียมรับมือราคายางผันผวน
จากแนวโน้มราคายางที่ยังสูงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2547 และคาดการณ์ว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงไปจนถึงปี 2552 อันเป็นผลมาจากความต้องการยางในตลาดโลกยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกยางในหลายประเทศ คาดการณ์ว่าในปี 2552 หรือในระยะ 5 ปีข้างหน้าจะมีสวนยางที่เปิดกรีดใหม่เพิ่มขึ้นอีกมาก สำหรับประเทศที่น่าจับตามองว่ามีการขยายพื้นที่ปลูกยางอย่างมาก คือไทย จีน และเวียดนาม โดยประเทศเหล่านี้มีนโยบายขยายพื้นที่ปลูกยางในประเทศ กล่าวคือ

-ไทย รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการขยายพื้นที่ปลูกยางเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านไร่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนพื้นที่ปลูกยางเดิมก็มีนโยบายปลูกยางพันธุ์ดีทดแทนยางพันธุ์ดั้งเดิม คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าผลผลิตยางธรรมชาติของไทยเพิ่มขึ้นอีก 250,000 ตัน/ปี จากในปัจจุบันที่มีปริมาณผลผลิตยางธรรมชาติเฉลี่ยปีละ 3 ล้านตัน

-จีน คาดว่าในปี 2553 ผลผลิตยางธรรมชาติของจีนเท่ากับ 491,000 ตัน เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่จีนมีผลผลิตยางธรรมชาติประมาณ 468,000 ตัน เนื่องจากความต้องการยางในจีนตัวอย่างมาก ทำให้จีนเร่งขยายพื้นที่ปลูกยาง อย่างไรก็ตามนักธุรกิจจีนมีการขยายการลงทุนไปปลูกยางในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะลาว

-เวียดนาม คาดว่าในปี 2553 ปริมาณการผลิตยางจะเท่ากับ 520,000 ตัน และมีเนื้อที่ปลูกยางประมาณ 700,000 เฮกตาร์(ประมาณ 4.38 ล้านไร่) ซึ่งในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาเวียดนามมีอัตราการเพิ่มขึ้นของพื้นที่การปลูกยางมากเป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชีย เมื่อเทียบกับปัจจุบันผลผลิตยางของเวียดนามเท่ากับ 384,000 ตัน

นอกจากนี้ประเทศเหล่านี้ยังมีการเข้าไปลงทุนปลูกยางในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ซึ่งประเทศลาวนับว่าเป็นประเทศที่มีนักลงทุนจากต่างประเทศเข้าไปลงทุนขยายพื้นที่ปลูกยางมากที่สุดเริ่มต้นจากจีน เวียดนาม และไทยกล่าวคือการปลูกยางพาราของนักลงทุนจีนส่วนใหญ่อยู่ในแขวงทางภาคเหนือของลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแขวงหลวงน้ำทา โดยการทำสวนยางเริ่มมาตั้งแต่ปี 2537 ในเนื้อที่ประมาณ 10,000 ไร่ ปัจจุบันต้นยางพาราชุดแรกๆ ได้ให้น้ำยางแล้ว ขณะที่ชุดหลังๆ กำลังเติบโตอย่างเต็มที่ ทำให้มีการขยายพื้นที่สวนยางออกไปยังแขวงอื่นๆ ส่วนเวียดนามมีโครงการลงทุนทำสวนยางของบริษัท Vietnam-Laos Rubber Joint-Stock Company เป็นโครงการ 6 ปี เงินลงทุนประมาณ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื้อที่ปลูกยางทั้งหมด 10,000 เฮกตาร์(ประมาณ 62,500 ไร่) โดยจะเริ่มลงกล้ายางในพื้นที่เริ่มแรก 2,000 เฮกตาร์ (ประมาณ 12,500 ไร่) ในแขวงจำปาศักดิ์ และเริ่มลงทุนแล้วในเดือนมีนาคม 2548 สำหรับนักลงทุนไทยเข้าตั้งบริษัทร่วมทุน Lao Phara Rubber Thaihua Company ปลูกกล้ายาง โดยปัจจุบันดำเนินการปลูกกล้ายางแล้วในเนื้อที่กว่า 40 ไร่ โดยจัดจ้างเกษตรกรในท้องถิ่นเป็นผู้เพาะปลูก อีกทั้งได้แจกจ่ายกล้ายางพาราให้แก่เกษตรกรเจ้าของพื้นที่นำไปเพาะปลูกอีกกว่า 100 ไร่ นอกจากนี้ยังมีการลงทุนเพื่อปลูกยางพาราในส่วนนี้จะเป็นการลงทุนของบริษัทไทย ซึ่งจะต้องใช้พื้นกว่า 61,000 ไร่ในแขวงสะหวันนะเขต เงินลงทุนมากกว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจุบันเริ่มดำเนินการลงกล้ายางบนพื้นที่กว่า 70 ไร่

ในขณะที่ปริมาณการผลิตยางมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากการขยายเนื้อที่ปลูกยาง เนื่องจากแรงจูงใจในเรื่องราคาที่อยู่ในเกณฑ์สูง แต่เมื่อมาพิจารณาอัตราการขยายตัวของความต้องการใช้ยางแล้ว มีหลากหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง โดยเฉพาะการขยายตัวของอุตสาหกรรมยางวงล้อ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สำคัญของยาง คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ต่างๆไม่น่าจะเติบโตในอัตราก้าวกระโดดเช่นในช่วงระยะปี 2547-2552 โดยอัตราการขยายตัวน่าจะเริ่มชะลอตัวลง ดังนั้นจึงน่าจะมีแนวโน้มว่าภาวะการขาดแคลนยางจะลดความรุนแรงลง และในที่สุดอาจจะเกิดปัญหาผลผลิตยางล้นตลาด ทำให้ราคายางกลับมาสู่วัฎจักรราคาตกต่ำอีกครั้งหนึ่ง นับว่าเป็นสัญญาณเตือนที่บรรดาประเทศผู้ผลิตยางต้องระมัดระวัง และต้องเร่งเตรียมรับมือกับภาวะราคายางผันผวน สำหรับรัฐบาลไทยต้องเร่งผลักดันโครงการเมืองยางพารา ซึ่งจะเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบ ทั้งนี้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมยางพารา โดยส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางสำเร็จรูป แทนที่การส่งออกในลักษณะวัตถุดิบเช่นในปัจจุบัน จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศ นอกจากนี้รัฐบาลต้องเร่งผลักดันการดำเนินการบริษัทร่วมทุนยางระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการรักษาเสถียรภาพราคายางในตลาดโลก เนื่องจากเป็นการจัดตั้งขึ้นโดยประเทศผู้ผลิตยางสำคัญของโลก

บทสรุป
ยางจะยังคงเป็นสินค้าเกษตรที่มีบทบาทที่โดดเด่นต่อไปอีกในระยะ 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของความต้องการใช้ยางธรรมชาติมากกว่าการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิต ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการคาดหมายกันว่าอาจจะเกิดปัญหาขาดแคลนยางธรรมชาติในปี 2552 ถึง 0.23 ล้านตัน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องเตรียมรับมือคือ หลังจากปี 2552 ซึ่งในช่วงนั้นพื้นที่เปิดกรีดยางใหม่ของประเทศต่างๆก็จะเริ่มให้ผลผลิต ทำให้ปัญหาขาดแคลนอาจจะไม่รุนแรงมากนัก ซึ่งประเทศที่เป็นคู่แข่งของไทยที่มีการขยายพื้นที่ปลูกยางอย่างมาก คือ เวียดนามและจีน โดยนอกจากการขยายการปลูกในประเทศแล้วยังมีการเข้าไปลงทุนธุรกิจสวนยางในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะลาวอีกด้วย
รัฐบาลไทยและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจยางจึงต้องมีการเตรียมรับมือกับปริมาณการผลิตยางที่เพิ่มขึ้นในช่วงระยะ 5 ปีข้างหน้าโดยการส่งเสริมอุตสาหกรรมต่อเนื่องยางภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นการลดผลกระทบในกรณีที่ราคายางในตลาดโลกผันผวนได้เป็นอย่างดี และส่งเสริมการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนยางเพื่อรักษาเสถียรภาพยางในตลาดโลก