ตั๋วแลกเงิน หรือ Bill of Exchange เป็นตราสารหนี้ระยะสั้นชนิดหนึ่ง ซึ่งบุคคลที่เป็นผู้สั่งจ่ายสั่งให้ผู้จ่ายจ่ายเงินให้ผู้ถือตั๋วตามจำนวนและวันที่กำหนดหน้าตั๋ว โดยปกติแล้วตั๋วแลกเงินมักจะมีอายุไม่เกิน 270 วัน เเละมีทั้งแบบที่มีการค้ำประกันความรับผิดชอบของลูกหนี้และไม่มีการค้ำประกัน ในช่วงปีที่ผ่านมานั้น ผู้ประกอบการต่างๆทั้งที่เป็นบริษัทจดทะเบียนและบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ได้หันมาออกตั๋วแลกเงิน(B/E) กันมากขึ้น ทั้งเพื่อเป็นการระดมทุนในระยะสั้นหรือเพื่อนำไปใช้ชำระหนี้เดิม เนื่องจากต้นทุนในการออกที่ต่ำกว่าการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ อีกทั้ง การออกตั๋วแลกเงินสามารถกระทำได้สะดวกและรวดเร็วกว่าการออกหุ้นกู้ ส่งผลให้มูลค่าการเสนอขายตั๋วแลกระยะสั้นเงินปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยมียอดการออกเสนอขายถึง 1.81 แสนล้านบาทในไตรมาสแรกของปีนี้ เทียบกับ 1.48 แสนล้านในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 22 นอกจากนั้น ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้มียอดการเสนอขายตั๋วแลกเงินรวมแล้วสูงถึง 2.8 แสนล้านบาทโดยประมาณ และมียอดคงค้างในเดือน พ.ค.อยู่ที่ 1.18 แสนล้านบาท
ในปีที่ผ่านมาทางคณะกรรมการก.ล.ต.ก็ได้มีการเพิ่มความคุ้มครองให้กับนักลงทุนโดยเพิ่มความเข้มงวดในการออกตั๋วเงินมากขึ้นตามลำดับ เช่น การออกประกาศกำหนดลักษณะของตั๋วเงินที่เป็นหลักทรัพย์ การกำหนดเกณฑ์ในการขออนุญาตขายตั๋วแลกเงิน การยื่นและการยกเว้นแบบแสดงข้อมูลรายการเสนอขายหลักทรัพย์ เป็นต้น โดยเกณฑ์สำหรับตั๋วแลกเงินที่ออกขายให้กับประชาชนทั่วไปจะมีความเข้มงวดมากกว่าการเสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบันเพราะเป็นกลุ่มที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนและความเสี่ยงน้อยกว่า ทั้งนี้ ข้อกำหนดสำหรับการเสนอขายตั๋วแลกเงินระยะสั้น (มีกำหนดเวลาในการใช้เงินไม่เกิน 270 วันนับตั้งแต่วันที่ออกตั๋ว) แบ่งตามประเภทการเสนอขาย และผู้ออกตราสาร สรุปได้ดังนี้
บริษัทจดทะเบียน
กรณีเสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน- ยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายและร่างหนังสือชี้ชวนและการวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือ
กรณีเสนอขายต่อประชาชน- ยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายและร่างหนังสือชี้ชวน แต่ต้องมีการแจกจ่ายรายงานการวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือ ของตั๋วเงินระยะสั้น, บริษัทผู้ออกตั๋ว หรือของผู้รับอาวัล
บริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์
กรณีเสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน- ต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายและร่างหนังสือชี้ชวน แต่ไม่จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์
อันดับความน่าเชื่อถือ
กรณีเสนอขายต่อประชาชน- ต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายและร่างหนังสือชี้ชวน และมีการวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือของตั๋วเงินระยะสั้น, บริษัทผู้ออกตั๋ว หรือของผู้รับอาวัล
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลการออกและเสนอขายตั๋วแลกเงินที่เป็นหลักทรัพย์ดังกล่าวถือเป็นการช่วยคุ้มครองนักลงทุนรายย่อยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากการในกรณีที่เป็นการออกตั๋วแลกเงินเสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบัน ยังสามารถกระทำได้อย่างคล่องตัวโดยไม่ต้องผ่านการเปิดเผยข้อมูล หรือการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา กองทุนรวมถือเป็นนักลงทุนสถาบันกลุ่มที่ได้เข้าไปทำการซื้อขายในตั๋วแลกเงินมากที่สุดถึงกว่าร้อยละ 70 – 80 ของปริมาณตั๋วแลกเงินที่ออกใหม่ในระบบ จากการที่ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นในปีนี้ส่งผลให้บรรดาบริษัทจัดการกองทุนต่างๆหันมาออกตราสารหนี้ระยะสั้นมากขึ้น และมีการแข่งขันกันดึงดูดนักลงทุนในเรื่องสร้างอัตราผลตอบแทนที่จูงใจนักลงทุน โดยบลจ.หลายแห่งหันมาออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีการลงทุนในตั๋ว B/E เนื่องจากสามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ทำให้เมื่อเกิดปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทผู้ออกตั๋ว B/E จึงส่งผลกระทบไปถึงนักลงทุนรายย่อยซึ่งเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ตั๋ว B/E ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ บลจ.ต้องมีการตีมูลค่าการลงทุนในตั๋ว B/E ดังกล่าวเป็นศูนย์ไปก่อน ส่งผลให้มูลค่า NAV ของกองทุนที่เข้าไปลงทุนปรับตัวลดลง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ก.ล.ต.จึงได้ออกหลักเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับตั๋วB/E โดยให้ตั๋ว B/E ทุกรุ่นต้องลงทะเบียนกับศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้และให้มีการรายงานสำเนาราคาซื้อทุกครั้ง ตลอดจนมีการกำหนดเกณฑ์การลงทุนในตั๋ว B/E ของกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อควบคุมความเสี่ยงเกี่ยวกับการลงทุนในตราสารชนิดนี้ โดยกำหนดให้กองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพลงทุนในตั๋วแลกเงินหรือหุ้นกู้ระยะสั้นที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายในลักษณะทั่วไปซึ่งมีลักษณะ
– เป็นตั๋ว B/E หรือ หุ้นกู้ระยะสั้นที่ตัวตราสาร หรือผู้ออก,ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน ได้รับการ
จัดอันดับในระดับ Investment grade จากสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับจาก ก.ล.ต. หรือ
– กรณีที่ลงทุนในตราสารที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือได้รับการจัดอันดับต่ำกว่า
Investment Grade (ต่ำกว่า BBB+)นั้น จะต้องเป็นตราสารที่มีลักษณะ
1.ต้องขึ้นทะเบียนกับศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย
2.ในการเสนอขายแต่ละ issue ต้องมีผู้ซื้อเกินกว่า 10 ราย โดยมีบลจ.ร่วมซื้อเพื่อกองทุนภายใต้การจัดการไม่ต่ำกว่า 3 บริษัท
3.ผู้รับประกันการจำหน่าย หรือผู้จัดจำหน่ายสำหรับ issue นั้น จะต้องทำหน้าที่เสนอราคาพร้อมรับซื้อจริงอยู่เสมอ (bid price แบบ firm quote) ในจำนวนและวิธีการตามที่ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยกำหนด และส่งสำเนา bid price ให้ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยทุกครั้ง เพื่อที่จะทำให้มีราคาตลาดอ้างอิงและเป็นการช่วยส่งเสริมสภาพคล่องของตั๋ว B/E
นอกจากนั้น ยังกำหนดเกณฑ์ในกรณีที่เป็นการลงทุนในตั๋ว B/E หรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีอายุไม่เกิน 90 วัน ให้ตั๋วดังกล่าวจะต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในอันดับแรก (AAA)จากสถาบันที่ได้รับการยอมรับ หรือ ผู้ค้ำประกันจะต้องได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับ Investment Grade และเป็นบริษัทแม่ที่ถือหุ้นในผู้ออก 100% และเป็นการค้ำประกันแบบไม่มีเงื่อนไข หรือถ้ามีเงื่อนไขต้องเป็นการค้ำประกันโดยใช้กระแสเงินสดของการดำเนินธุรกิจของผู้ออกตราสารเท่านั้น ทั้งนี้ให้เกณฑ์ทั้งหมดดังกล่าว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2549 เพื่อให้ระยะเวลาผู้ออกตราสารและผู้ลงทุนในการปรับตัว โดยเปิดโอกาสให้กองทุนที่มีการลงทุนในตราสารที่ไม่มีคุณสมบัติตรงตามที่กล่าวข้างต้นก่อนที่จะออกเกณฑ์ดังกล่าวนี้ สามารถถือตราสารต่อไปได้จนครบอายุ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ต้องการลงทุนเพิ่มเติมในตราสารที่ไม่มีคุณสมบัติตามที่ระบุยังสามารถทำได้แต่จะต้องจำหน่ายตราสารนั้นๆออกไปก่อนวันที่ 1 ม.ค.2549
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นเกี่ยวกับผลกระทบของการปรับปรุงเกณฑ์การลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นดังกล่าว ทั้งตั๋ว B/E, หุ้นกู้ระยะสั้น และตั๋วสัญญาใช้เงินของกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพว่าน่าจะส่งผลดีต่อการพัฒนาตลาดทุนไทยโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ และการคุ้มครองนักลงทุน โดยแยกพิจารณาได้ดังนี้
ผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้
1.เป็นการช่วยควบคุมคุณภาพของตราสารระยะสั้นที่จะออกสู่ท้องตลาดมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในระยะต่อไปหากผู้ประกอบการต้องการให้ตั๋ว B/E ของตนเป็นที่สนใจจากนักลงทุนก็จะต้องมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตั๋วดังกล่าว
2.ทำให้ทราบข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับปริมาณตั๋วที่ออกใหม่ในตลาดที่แท้จริงในขณะนั้น มูลค่าของยอดคงค้างทั้งหมด และมีการเปิดเผยราคาตลาดที่ใช้อ้างอิง เป็นผลมาจากการกำหนดให้ตั๋ว B/E ทุกรุ่นต้องลงทะเบียนกับศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ และให้มีการรายงานสำเนาราคาซื้อทุกครั้ง แตกต่างจากในปัจจุบันที่ข้อมูลเกี่ยวกับตั๋ว B/E มีอยู่ค่อนข้างจำกัด เฉพาะที่มีการรายงานมาที่ ก.ล.ต.เท่านั้น
3.ทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของตั๋ว B/E กับตราสารหนี้รัฐบาลที่มีอายุเท่ากัน และระหว่างตั๋ว B/E ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงกับตั๋ว B/E ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าเพิ่มขึ้น ตามค่าความเสี่ยง(Risk Premium)ที่เพิ่มขึ้น โดยผู้ประกอบการที่ออกตั๋ว B/E ซึ่งมีระดับความน่าเชื่อถือน้อยคงจะพยายามจูงใจนักลงทุน โดยการเพิ่มอัตราผลตอบแทนมากขึ้น ในขณะที่ความต้องการลงทุนในตราสารหนี้รัฐบาลที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น คงจะส่งผลกดดันอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาครัฐให้ปรับตัวลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าการปรับตัวลดลงของอัตราผลตอบแทนดังกล่าวคงจะไม่มากนัก เนื่องจากยังมีปัจจัยหนุนจากการที่คาดว่าปริมาณตราสารหนี้ระยะสั้นของภาครัฐคงจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน,การทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาวของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และการคาดการณ์เกี่ยวกับปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งน่าจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนระยะสั้นของรัฐบาลยังคงปรับตัวสูงขึ้นได้ดังเช่นในช่วงที่ผ่านมา
ผลกระทบต่อผู้ระดมทุน การจัดอันดับความน่าเชื่อของตั๋ว B/E ทำให้ต้นทุนในการระดมทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ทำได้ค่อนข้างสะดวกรวดเร็ว ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ปริมาณของตั๋ว B/E ที่ออกใหม่จะลดลงไปจากระดับในปัจจุบัน โดยผู้ประกอบการอาจจะหันไปใช้ช่องทางระดมทุนอื่นๆแทน ซึ่งการปรับตัวของผู้ประกอบการแต่ละรายนั้น คงจะแตกต่างกันเป็นรายๆไปขึ้นอยู่กับสถานภาพทางการเงิน และความน่าเชื่อถือ
ผลกระทบต่อนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนการลงทุนของกองทุนรวมซึ่งเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่นั้น การปรับปรุงเกณฑ์การลงทุนในตั๋ว B/E น่าจะส่งผลกระทบในแง่บวกกับการดำเนินธุรกิจกองทุนรวม โดยจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและเป็นหลักประกันในระดับหนึ่งให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่มีการลงทุนในตราสารดังกล่าว จากความเสี่ยงด้านความสามารถการชำระหนี้ของผู้ประกอบการ ซึ่งนับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา กองทุนรวมตราสารหนี้และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีการลงทุนในส่วนของตั๋ว B/E, ตั๋วสัญญาใช้เงิน และเงินฝากในธนาคารเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก จาก 1.96 แสนล้านบาท เป็น 2.1 แสนล้านบาท และ 2.47 แสนล้านบาท ในไตรมาส 3/47, ไตรมาส 4/47 และไตรมาส 1/48 ตามลำดับ โดยการลงทุนในไตรมาส 1/48 นั้น คิดเป็นร้อยละ 49.6 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมตราสารหนี้และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาตัวเลขการลงทุนเฉพาะในตั๋ว B/E ณ.สิ้นเดือน เม.ย.พบว่า กองทุนรวมตราสารหนี้และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีการลงทุนเฉพาะในตั๋ว B/E รวมประมาณ 1.6 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 29 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า บลจ.ต่างๆจะยังคงทยอยออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นต่อไปในช่วงที่ยังเหลืออยู่ของปีนี้ จากความต้องการลดผันผวนของราคาตราสารหนี้เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นของนักลงทุน และการที่เป็นช่องทางลงทุนซึ่งสามารถให้ผลตอบแทนที่มากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (โดยล่าสุดนั้น อัตราผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังอายุ 1 เดือน และ 6 เดือนของได้ปรับตัวขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 2.5 และ 2.8 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำอายุ 1 ปีของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ยังคงอยู่ที่ร้อยละ 1 เท่านั้น) อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงเกณฑ์ดังกล่าวคงจะทำให้ บลจ.ส่วนใหญ่ต้องมีการปรับตัวโดย
1.เพิ่มน้ำหนักกับการออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่เน้นสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ของรัฐบาล เช่น ตั๋วเงินคลัง, พันธบัตรรัฐบาลหรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผลมาจากความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่อการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นของภาคเอกชนที่ยังคงมีอยู่ ประกอบกับปริมาณตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีคุณภาพในระดับ Investment Grade ของภาคเอกชนซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก
2.พยายามสร้างความแตกต่างระหว่างกองทุนของตนกับคู่แข่ง เนื่องจากการที่ บลจ.เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ของภาครัฐมากขึ้นจะทำให้อัตราผลตอบแทนที่แต่ละกองทุนนำเสนอให้กับนักลงทุนไม่แตกต่างกันมาก ทำให้ บลจ.แต่ละรายต้องแข่งขันกันมากขึ้น เพื่อดึงดูดนักลงทุน โดยชูจุดแข็งในด้านอื่นนอกจากด้านผลตอบแทน เช่น ด้านการอำนวยความสะดวกในเรื่องการให้บริการ การซื้อขายหน่วยลงทุน ความน่าเชื่อถือของการบริหารจัดการในช่วงที่ผ่านมา ตลอดจนอาจจะมีการปรับเปลี่ยนลักษณะของกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นจากกองทุนปิดเป็นกองทุนเปิด เพื่อให้นักลงทุนสามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนได้สะดวกขึ้น เป็นต้น พร้อมทั้งอาจจะมีการใช้การประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ และอาศัยการขายหน่วยลงทุนผ่านทางเครือข่ายของธนาคาร หรือสถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
3.ในกรณีที่กองทุนเข้าไปลงทุนในตั๋ว B/E ของภาคเอกชน ทำให้การบริหารจัดการต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยอาจจะต้องมีการเปิดเผยสัดส่วนการลงทุน และรายละเอียดของบริษัทผู้ออกตั๋วดังกล่าวอย่างชัดเจน พร้อมทั้งแสดงให้นักลงทุนมั่นใจว่าตั๋วดังกล่าวมีอันดับความน่าเชื่อถือตรงตามเกณฑ์ที่ก.ล.ต.กำหนด และทาง บลจ.ได้พิจารณาฐานะทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทที่ออกตั๋วอย่างรอบคอบแล้วก่อนตัดสินใจลงทุน อีกทั้ง การตัดสินใจลงทุนในกรณีที่ต้องการลงทุนในตั๋ว B/E ซึ่งไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือได้รับการจัดอันดับต่ำกว่า Investment Grade (ต่ำกว่า BBB+)นั้น คงจะมีความลำบากเพิ่มขึ้น เนื่องจากกำหนดให้ตั๋ว B/E ใน issue นั้นๆ จะต้องมีผู้ซื้อเกินกว่า 10 ราย และต้องมีบลจ.อื่นเข้ามาร่วมซื้อด้วยไม่ต่ำกว่า 3 บริษัท จากเดิมที่สามารถเข้าลงทุนได้ด้วยตนเองเลย
กล่าวโดยสรุปได้ว่า ในปีที่ผ่านมานั้น ผู้ประกอบการต่างๆทั้งที่เป็นบริษัทจดทะเบียนและบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ได้หันมาออกตั๋วแลกเงิน(B/E) กันมากขึ้น ทั้งเพื่อเป็นการระดมทุนในระยะสั้นหรือเพื่อนำไปใช้ชำระหนี้เดิม เนื่องจากต้นทุนในการออกที่ต่ำกว่าการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ อีกทั้ง การออกตั๋วแลกเงินสามารถกระทำได้สะดวกและรวดเร็วกว่าการออกหุ้นกู้ ส่งผลให้มูลค่าการเสนอขายตั๋วแลกเงินระยะสั้นปรับตัวสูงขึ้น โดยมียอดการออกเสนอขายถึง 1.81 แสนล้านบาทในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งรวมแล้วในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้มียอดการเสนอขายตั๋วแลกเงินรวมแล้วสูงถึง 2.8 แสนล้านบาทโดยประมาณ ทั้งนี้ เกณฑ์สำหรับตั๋วB/Eที่ออกขายให้กับประชาชนทั่วไปจะมีความเข้มงวดมากกว่าการเสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบันเพราะเป็นกลุ่มที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนและความเสี่ยงน้อยกว่า โดยกำหนดให้การออกตั๋ว B/E เพื่อการระดมทุนจากผู้ลงทุนทั่วไปต้องได้รับอนุญาตและมีการเปิดเผยข้อมูล อย่างไรก็ตาม ถือได้ว่าเป็นการช่วยคุ้มครองนักลงทุนรายย่อยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากการออกตั๋ว B/E เสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบัน ยังสามารถกระทำได้อย่างคล่องตัวโดยไม่ต้องผ่านการเปิดเผยข้อมูล หรือการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา กองทุนรวมถือเป็นนักลงทุนสถาบันกลุ่มที่ได้เข้าไปทำการซื้อขายในตั๋วแลกเงินมากที่สุดถึงกว่าร้อยละ 70 – 80 ของปริมาณตั๋วแลกเงินที่ออกใหม่ในระบบ ทำให้เมื่อปัญหาด้านสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทผู้ออกตั๋วB/E จึงส่งผลกระทบไปถึงนักลงทุนรายย่อยซึ่งเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ตั๋ว B/E ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ก.ล.ต.จึงได้ออกหลักเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับตั๋ว B/E โดยให้ตั๋ว B/E ทุกรุ่นต้องลงทะเบียนกับศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้และให้มีการรายงานสำเนาราคาซื้อทุกครั้งและมีการกำหนดเกณฑ์การลงทุนในตั๋ว B/E ของกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อควบคุมความเสี่ยงเกี่ยวกับการลงทุนในตราสารชนิดนี้
โดยกำหนดให้กองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพลงทุนในตั๋วแลกเงินหรือหุ้นกู้ระยะสั้นที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายในลักษณะทั่วไปซึ่งมีลักษณะเป็นตั๋ว B/E หรือ หุ้นกู้ระยะสั้นที่ตัวตราสารหรือผู้ออกหรือผู้รับอาวัลหรือผู้ค้ำประกัน ได้รับการจัดอันดับในระดับ Investment grade จากสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับจาก ก.ล.ต. หรือ กรณีที่ลงทุนในตราสารที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือได้รับการจัดอันดับต่ำกว่า Investment Grade (ต่ำกว่า BBB+)นั้น จะต้องเป็นตราสารที่ขึ้นทะเบียนกับศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย, ต้องมีผู้ซื้อเกินกว่า 10 ราย โดยมีบลจ.ร่วมซื้อเพื่อกองทุนภายใต้การจัดการไม่ต่ำกว่า 3 บริษัทในการเสนอขายแต่ละ issue อีกทั้ง ผู้รับประกันการจำหน่าย หรือผู้จัดจำหน่ายสำหรับ issue นั้น จะต้องทำหน้าที่เสนอราคาพร้อมรับซื้อจริงอยู่เสมอ (bid price แบบ firm quote) ในจำนวนและวิธีการตามที่ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยกำหนด พร้อมส่งสำเนา bid price ให้ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยทุกครั้ง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงเกณฑ์การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นดังกล่าวของกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพว่าจะเป็นผลดีต่อตลาดตราสารหนี้ไทยในภาพรวม โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาตลาดตราสารหนี้และการคุ้มครองนักลงทุน ผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้นั้น เป็นการช่วยควบคุมคุณภาพของตราสารระยะสั้นที่จะออกสู่ท้องตลาดมากยิ่งขึ้น ,ทำให้ทราบข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับปริมาณตั๋วที่ออกใหม่ในตลาดที่แท้จริงในขณะนั้น มูลค่าของยอดคงค้างทั้งหมด และมีการเปิดเผยราคาตลาดที่ใช้อ้างอิง เป็นผลมาจากการกำหนดให้ตั๋ว B/E ทุกรุ่นต้องลงทะเบียนกับศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ และให้มีการรายงานสำเนาราคาซื้อทุกครั้ง และทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของตั๋ว B/E กับตราสารหนี้รัฐบาลที่มีอายุเท่ากัน และระหว่างตั๋ว B/E ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงกับตั๋ว B/E ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าเพิ่มขึ้น ตามค่าความเสี่ยง(Risk Premium)ที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น ผลกระทบต่อผู้ระดมทุน การจัดอันดับความน่าเชื่อของตั๋ว B/E ทำให้ต้นทุนในการระดมทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ทำได้ค่อนข้างสะดวกรวดเร็ว ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ปริมาณของตั๋ว B/E ที่ออกใหม่จะลดลงไปจากระดับในปัจจุบัน โดยผู้ประกอบการอาจจะหันไปใช้ช่องทางระดมทุนอื่นๆแทน ซึ่งการปรับตัวของผู้ประกอบการแต่ละรายนั้น คงจะแตกต่างกันเป็นรายๆไปขึ้นอยู่กับสถานภาพทางการเงิน และความน่าเชื่อถือ ผลกระทบต่อนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนการลงทุนของกองทุนรวม การปรับปรุงเกณฑ์การลงทุนในตั๋ว B/E น่าจะส่งผลกระทบในแง่บวกกับการดำเนินธุรกิจกองทุนรวม โดยจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและเป็นหลักประกันในระดับหนึ่งให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมจากความเสี่ยงด้านความสามารถการชำระหนี้ของผู้ประกอบการ ซึ่งในไตรมาสแรกที่ผ่านมา กองทุนรวมตราสารหนี้และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีการลงทุนในส่วนของตั๋ว B/E, ตั๋วสัญญาใช้เงิน และเงินฝากในธนาคารค่อนข้างมากรวมแล้วประมาณ 2.47 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 49.6 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมตราสารหนี้และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนั้น ตัวเลขการลงทุนเฉพาะในตั๋ว B/E ณ.สิ้นเดือน เม.ย.พบว่า กองทุนรวมตราสารหนี้และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีการลงทุนในตั๋ว B/E รวมประมาณ 1.6 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 29
การปรับปรุงเกณฑ์ดังกล่าวคงจะทำให้ บลจ.ต้องมีการปรับตัวโดยเพิ่มน้ำหนักกับการออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่เน้นสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ของรัฐบาล เช่น ตั๋วเงินคลัง, พันธบัตรรัฐบาลหรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผลมาจากความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่อการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นของภาคเอกชนที่ยังคงมีอยู่ ประกอบกับปริมาณตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีคุณภาพในระดับ Investment Grade ซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก,พยายามสร้างความแตกต่างระหว่างกองทุนของตนกับคู่แข่ง เนื่องจากการที่บลจ.เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ของภาครัฐมากขึ้นจะทำให้อัตราผลตอบแทนที่แต่ละกองทุนนำเสนอให้กับนักลงทุนไม่แตกต่างกันมาก ทำให้ต้องแข่งขันกัน โดยชูจุดแข็งในด้านอื่นนอกจากด้านผลตอบแทน ในกรณีที่กองทุนเข้าไปลงทุนในตั๋ว B/E ของภาคเอกชน ทำให้การบริหารจัดการต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยอาจจะต้องมีการเปิดเผยสัดส่วนการลงทุน และรายละเอียดของบริษัทผู้ออกตั๋วดังกล่าวอย่างชัดเจน พร้อมทั้งแสดงให้นักลงทุนมั่นใจว่าตั๋วดังกล่าวมีอันดับความน่าเชื่อถือตรงตามเกณฑ์ที่ ก.ล.ต.กำหนด อีกทั้งการตัดสินใจลงทุนในตั๋ว B/E ซึ่งไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือหรือได้รับการจัดอันดับต่ำกว่า Investment Gradeนั้น คงจะมีความลำบากเพิ่มขึ้น เนื่องจากกำหนดให้ตั๋ว B/E ใน issue นั้นๆ จะต้องมีผู้ซื้อเกินกว่า 10 ราย และต้องมีบลจ.อื่นเข้ามาร่วมซื้อด้วยไม่ต่ำกว่า 3 บริษัท จากเดิมที่สามารถเข้าลงทุนได้ด้วยตนเองเลย


