ไข้หวัดสุกรในจีน : ส่งผลดี…ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์สุกรเพิ่ม

ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมจีนแจ้งให้องค์การสุขภาพสัตว์แห่งโลกทราบว่าเชื้อ สเตร็บโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus Suis) ระบาดในสุกรในฟาร์ม 8 แห่งที่มณฑลเสฉวนเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งห้องปฏิบัติการทดลองของจีนได้ยืนยันการระบาดของเชื้อดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2548 และมีสุกรป่วยด้วยโรคติดเชื้อดังกล่าวทั้งหมด 640 ตัว นอกจากนี้จากการตรวจก็ไม่พบเชื้อไว้รัสไข้หวัดนกและเชื้อไวรัสนิปาห์ด้วย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ทางการของจีนได้ออกมาตรการเข้มงวดในการควบคุมและกักกันสัตว์ รวมทั้งสั่งตรวจสอบและห้ามการเคลื่อนย้ายสัตว์ในพื้นที่เสี่ยงด้วย และขณะนี้จีนกำลังพิจารณาที่จะให้วัคซีนเพื่อควบคุมการระบาด ในวันที่ 8 สิงหาคม 2548 มีรายงานผู้ป่วยจากการติดเชื้อเพิ่มอีก 4 คน ทำให้จำนวนผู้ป่วยมีทั้งหมด 212 คนแล้ว ในจำนวนนี้ 134 คนยังต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่ง 14 คนมีอาการหนัก และเสียชีวิตไปแล้ว 38 คน การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดสุกรในจีนส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสุกรในจีน ซึ่งมีมูลค่าราว 10,000 ล้านหยวน หรือ 1,235 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี

ในปี 2548 ผู้ส่งออกเนื้อสุกรของไทยได้รับอานิสงส์จากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดสุกรในจีน ทำให้การส่งออกเนื้อสุกรสดแช่เย็นแช่แข็งของไทยฟื้นตัวจากการส่งออกที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2546-2547 ส่วนการส่งออกเนื้อสุกรปรุงสุกนั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากความต้องการนำเข้าจากญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น คาดการณ์ว่าในปี 2549 การส่งออกเนื้อสุกรยังคงอยู่ในเกณฑ์แจ่มใสจากปัจจัยเอื้อทั้งในตลาดฮ่องกงและญี่ปุ่น รวมทั้งการเจาะขยายตลาดใหม่ๆในภูมิภาคเอเชีย

จีน…เผชิญปัญหาส่งออกเนื้อสุกร

จีนนั้นเป็นประเทศที่มีการผลิตและบริโภคสุกรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก คาดว่าในปี 2548 ปริมาณสุกรในจีนจะเพิ่มขึ้นเป็น 49.7 ล้านตัน เมื่อเทียบกับในปี 2547 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 โดยอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรในจีนเริ่มเปลี่ยนจากการเลี้ยงในฟาร์มในครัวเรือนมาเป็นการเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากมีการเข้าไปลงทุนในธุรกิจฟาร์มสุกรของนักลงทุนชาวต่างประเทศ รวมทั้งความต้องการบริโภคเนื้อสุกรในจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากประชากรในชนบทอพยพเข้ามาทำงานในเมือง และมีรายได้สูงขึ้น ส่งผลให้ราคาเนื้อสุกรในจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับว่าเป็นแรงจูงใจให้มีการขยายการลงทุนธุรกิจฟาร์มสุกร ปัจจุบันเสฉวนเป็นมณฑลที่มีการเลี้ยงสุกรมากที่สุดในจีน สุกรที่ผลิตได้เกือบทั้งหมดใช้บริโภคในประเทศ โดยในปี 2548 คาดว่าปริมาณการบริโภคเนื้อสุกรในจีนเท่ากับ 47.19 ล้านตัน ซึ่งเท่ากับว่าจีนจะมีเนื้อสุกรส่งออกในปี 2548 ประมาณ 2.5 ล้านตัน

ปัจจุบันจีนนั้นจัดเป็นประเทศผู้ส่งออกเนื้อสุกรอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐฯ แคนาดา บราซิล และสหภาพยุโรป โดยตลาดส่งออกหลักคือ ตลาดเอเชีย โดยเฉพาะฮ่องกง เกาหลีเหนือ รัสเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย คาดการณ์ว่าการส่งออกเนื้อสุกรของจีนในปี 2548 เท่ากับ 450,000 ตัน เมื่อเทียบกับในปี 2547 ที่มีการส่งออก 383,000 ตันแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 อย่างไรก็ตามคาดว่าการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดสุกรจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกเนื้อสุกรของจีนในช่วงครึ่งหลังปี 2548 รวมทั้งจีนยังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในตลาดส่งออกหลักอีกด้วย

ในปี 2548 ตลาดฮ่องกงคาดการณ์ว่าการนำเข้าเนื้อสุกรของฮ่องกงจะเพิ่มขึ้นเป็น 335,000 ตัน เมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมาแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 คนฮ่องกงหันมารับประทานเนื้อสุกรมากขึ้น เนื่องจากฮ่องกงห้ามนำเข้าเนื้อไก่จากจีนเป็นการชั่วคราว อันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก รวมทั้งการห้ามนำเข้าเนื้อวัวจากสหรัฐฯจากปัญหาโรควัวบ้า ซึ่งส่งผลให้ฮ่องกงนำเข้าเนื้อสุกรมากขึ้น ปัจจุบันฮ่องกงมีการห้ามนำเข้าเนื้อสุกรสดจากจีน แต่ก็กำลังมีการเจรจาให้มีการนำเข้าเนื้อสุกรแช่เย็นจากจีน

ส่วนตลาดญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำเข้าเนื้อสุกรอันดับหนึ่งของโลก คาดว่าปริมาณการนำเข้าในปี 2548 เท่ากับ 1.3 ล้านตันซึ่งอยู่ในปริมาณที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยจีนนั้นเป็นแหล่งนำเข้า 1 ใน 5 อันดับแรกของญี่ปุ่น นอกนั้นคือ แคนาดา ชิลี เดนมาร์ก และสหรัฐฯ แม้ว่าเดิมนั้นญี่ปุ่นเข้มงวดในการนำเข้าเนื้อสุกรตามนโยบายข้อตกลงปกป้องฉุกเฉิน (Safeguard Trigger Level) และระบบการควบคุมราคา(Gate Price System) แต่ในปี 2548 นั้นญี่ปุ่นหันไปเข้มงวดการนำเข้าเนื้อวัวและเนื้อไก่ เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรควัวบ้าและไข้หวัดนก ทำให้ญี่ปุ่นต้องหันมานำเข้าเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นชดเชยการนำเข้าเนื้อวัวและเนื้อไก่ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม เม็กซิโกกลับมาเป็นคู่แข่งขันที่น่าจับตามองของจีน เนื่องจากญี่ปุ่นเปิดเขตการค้าเสรีกับเม็กซิโกตั้งแต่เดือนเมษายน 2548 ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นนำเข้าเนื้อสุกรจากเม็กซิโกเพิ่มขึ้น โดยญี่ปุ่นลดภาษีนำเข้าเนื้อสุกรจากเม็กซิโกเหลือร้อยละ 2.2 จากอัตราเดิมร้อยละ 4.3 นอกจากนี้การนำเข้าเนื้อสุกรจากเม็กซิโกนั้นไม่ได้นับรวมอยู่ในโควตาการนำเข้าตามนโยบายข้อตกลงปกป้องฉุกเฉิน

ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์สุกรเพิ่ม…อานิสงส์จากโรคไข้หวัดสุกรในจีน

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไข้หวัดสุกรในจีนนั้นส่งผลดีต่อไทย โดยคาดว่าจะทำให้ไทยสามารถส่งออกเนื้อสุกรไปยังตลาดฮ่องกงได้เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 เนื่องจากฮ่องกงประกาศระงับนำเข้าเนื้อสุกรและเนื้อชนิดอื่นๆจากมณฑลเสฉวนของจีนเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ในปี 2547 ฮ่องกงนำเข้าเนื้อสุกรจากจีน 200,000 ตัน คาดว่าอานิสงส์จากการส่งออกเนื้อสุกรสดแช่เย็นแช่แข็งไปยังตลาดฮ่องกงได้เพิ่มขึ้นในปี 2548 นี้จะทำให้การส่งออกเนื้อสุกรสดแช่เย็นแช่แข็งกลับมาสดใสขึ้นอีกครั้งหลังจากที่การส่งออกชะลอตัวในช่วงปี 2546-2547

นอกจากตลาดฮ่องกงแล้วคาดว่าในปี 2548 นี้การส่งออกเนื้อสุกรปรุงสุกไปยังตลาดญี่ปุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย อันเป็นผลมาจากโรงงานแปรรูปสุกรปรุงสุกของไทยได้รับการอนุมัติจากญี่ปุ่นให้ส่งออกได้ตั้งแต่ต้นปี 2548 การส่งออกเนื้อสุกรของไทยในช่วงครึ่งแรกปี 2548 ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก กล่าวคือในช่วงครึ่งแรกปี 2548 ไทยส่งออกเนื้อสุกรปรุงสุกไปยังตลาดญี่ปุ่นปริมาณ 6,880 ตัน มูลค่า 1,150 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณ 4,530 ตัน มูลค่า 644 ล้านบาทแล้วทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 51.8 และร้อยละ 78.6 ตามลำดับ

มูลค่าการส่งออกเนื้อสุกรสดแช่เย็นและแช่แข็ง และเนื้อสุกรปรุงสุกของไทย
ปริมาณ : ตัน
มูลค่า : ล้านบาท
ประเภท 2546* 2547* 2548**
ปริมาณ มูลค่า ปริมาณ มูลค่า ปริมาณ มูลค่า
เนื้อสุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง 9,493
(-15.5) 823
(-27.0) 5,520
(-41.9) 524
(-36.3) 7,800
(41.3) 620
(18.3)
เนื้อสุกรปรุงสุก 2,851
(50.9) 308
(42.6) 4,325
(51.7) 570
(85.0) 7,200
(66.5) 1,880
(229.8)
รวม 12,344
(-5.9) 1,131
(-15.8) 9,845
(-20.2) 1,094
(-3.3) 15,000
(52.4) 2,500
(128.5)
ที่มา : *กรมปศุสัตว์
**คาดการณ์โดยสมาคมผู้ผลิตและแปรรูปสุกรเพื่อการส่งออก

คาดว่าตลอดทั้งปี 2548 ไทยจะสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์สุกรได้ไม่น้อยกว่า 15,000 ตัน มูลค่า 2,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในปี 2547 ที่มีปริมาณการส่งออก 9,845 ตัน มูลค่า 1,094 ล้านบาทแล้วทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.4 และร้อยละ 128.5 ตามลำดับ และคาดว่าจะส่งออกได้ถึง 20,000 ตัน ในปี 2549 เนื่องจากผู้ส่งออกเนื้อสุกรของไทยยังได้รับอานิสงส์อย่างต่อเนื่องจากปัญหาไข้หวัดสุกรในจีน นอกจากนี้ญี่ปุ่นจะให้โควตาส่งออกเนื้อสุกรต้มสุกและผลิตภัณฑ์ปลอดภาษีแก่ไทยในปริมาณ 1,200 ตันเพื่อช่วยเหลือไทยที่ประสบปัญหาภัยแล้งและภัยจากสึนามินับว่าเป็นผลดีต่อไทย ในการเปิดเอฟทีเอกับญี่ปุ่นนับว่าเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกเนื้อสุกรต้มสุกของไทย

นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายที่จะผลักดันการส่งออกไปยังตลาดใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหากรัฐบาลสามารถจัดตั้งเขตปลอดโรคปากและเท้าเปื่อยได้สำเร็จ ซึ่งจะช่วยลดข้อกีดกันจากต่างประเทศได้ โดยจะทำให้เนื้อสุกรสดของไทยสามารถส่งออกไปยังหลากหลายประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะสิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ไต้หวัน เกาหลีใต้ และบรูไน ขณะที่องค์กรโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ(OIE)ยอมรับมาตรการ Compartment ให้ใช้เป็นมาตรการควบคุมโรคปากและเท้าเปื่อยได้ ซึ่งรัฐบาลไทยควรจะนำมาใช้พิจารณาเจรจากับญี่ปุ่นสำหรับการส่งออกเนื้อสุกรสดแช่เย็นแช่แข็งในรูปแบบการเลี้ยงตามมาตรการCompartment เพื่อเจาะขยายตลาดญี่ปุ่นด้วย นอกจากนี้รัฐบาลมีนโยบายผลักดันให้ธุรกิจสุกรต้องพัฒนาไปสู่การผลิตเนื้อและผลิตภัณฑ์ที่สะอาด ถูกหลักสุขอนามัย สำหรับในการผลิตทุกขั้นตอนตั้งแต่การเลี้ยงในฟาร์มไปจนถึงการส่งออกไปยังประเทศปลายทาง ส่วนตลาดที่น่าสนใจสำหรับการส่งออกเนื้อสุกรปรุงสุกนอกจากญี่ปุ่นแล้ว ได้แก่สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และจีน

บทสรุป

ในปี 2548 การส่งออกเนื้อสุกรทั้งประเภทเนื้อสุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง และเนื้อสุกรปรุงสุกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยการส่งออกเนื้อสุกรสดแช่เย็นแช่แข็งนั้นได้รับอานิสงส์จากการที่ฮ่องกงหันมานำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น ภายหลังจากที่เกิดโรคไข้หวัดสุกรระบาดในจีน ทำให้ฮ่อง กงงดนำเข้าเนื้อสุกรจากจีน ส่วนเนื้อสุกรปรุงสุกนั้นญี่ปุ่นมีแนวโน้มนำเข้าเพิ่มขึ้น ภายหลังจากโรงงานผลิตภัณฑ์สุกรของไทยผ่านการตรวจสอบจากญี่ปุ่น รวมทั้งการที่ญี่ปุ่นเพิ่มโควตาส่งออกปลอดภาษีให้กับไทยเพื่อเป็นการช่วยเหลือในกรณีที่ไทยประสบปัญหาภัยแล้งและสึนามิ

สำหรับในอนาคตคาดการณ์ว่าการส่งออกเนื้อสุกรจะยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในตลาดฮ่องกงและญี่ปุ่น รวมไปถึงการเจาะขยายตลาดใหม่ๆในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะสิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา เกาหลีใต้ ไต้หวัน บรูไน และจีน เนื่องจากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการพัฒนายกระดับมาตรฐานการเลี้ยง โรงฆ่าชำแหละ และโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งทำให้การผลิตผลิตภัณฑ์สุกรของไทยได้รับการยอมรับในระดับสากลมากยิ่งขึ้น