การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50%: ข้อสังเกตและผลกระทบ

ในวันที่ 7 กันยายน 2548 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (Monetary Policy Committee: MPC) ของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันอีก 0.50% จาก 2.75% มาเป็น 3.25% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยขนาดที่มากกว่าที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะปรับขึ้นเพียง 0.25% เท่านั้น
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีข้อสังเกตต่อการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ของธปท.ในการประชุมรอบที่ผ่านมา ดังต่อไปนี้ :-

– เหตุผลหลักที่ทำให้ธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% แทนที่จะเป็น 0.25% ในครั้งนี้ น่าจะมาจากการที่ธปท.เล็งเห็นว่าความเสี่ยงทางด้านอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอาจมีแนวโน้มจะดำรงอยู่ต่อเนื่องไปอีก 2-3 ไตรมาสข้างหน้า จากทิศทางอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เร่งสูงขึ้นอย่างชัดเจนในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม เมื่อเทียบกับในช่วงครึ่งแรกของปี ภายหลังการยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันขายปลีกดีเซลในประเทศของรัฐบาลในเดือนกรกฎาคม (แต่ยังคงอุดหนุนในส่วนของภาษีสรรพสามิต) ได้สะท้อนภาพความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางด้านอัตราเงินเฟ้อของไทยที่มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งประเด็นความเสี่ยงนี้ ยังมีแนวโน้มดำรงอยู่ต่อไปตราบเท่าที่ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงผันผวนอยู่ในระดับสูง และแม้ว่าราคาน้ำมันตลาดโลกอาจชะลอลงหลังผ่านพ้นฤดูหนาวในซีกโลกตะวันตก แต่แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของไทยก็อาจจะไม่ลดลงตาม เพราะราคาน้ำมันในประเทศยังมีแนวโน้มที่จะยืนสูงต่อเนื่อง จากการทยอยยกเลิกการอุดหนุนในส่วนของภาษีสรรพสามิต รวมทั้งจากการทยอยชดเชยภาระการขาดทุนของกองทุนน้ำมัน ซึ่งต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นดังกล่าว คงจะทำให้ระดับราคาสินค้าโดยรวมภายในประเทศปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยอาจขยับสูงถึง 5.5-6.5% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และมีแนวโน้มที่ค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 4.0-5.0% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 ทั้งนี้ จากประเด็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางด้านอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มว่าจะดำรงอยู่ต่อเนื่อง หรือไม่ลดลงจนกระทั่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ธปท.พิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยขนาดที่มากกว่าคาด

– เหตุผลสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ของธปท. สะท้อนความเชื่อมั่นของธปท.ต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะยังคงไปได้ดี โดยแม้ว่าราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อในประเทศจะเร่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ค่อนข้างแข็งแกร่งที่ 4.4% ในไตรมาส 2/2548 (ตัวเลข สศช.) รวมทั้งแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีที่น่าจะได้รับแรงหนุนสำคัญจากการปรับตัวดีขึ้นของภาคการต่างประเทศและการลงทุนของภาครัฐ (โดยธปท.เชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวเหนือ 4.0% ได้ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้) คงจะทำให้ธปท.ผ่อนคลายความกังวลลงต่อประเด็นเสถียรภาพทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ของธปท.ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา

– การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ของธปท. แทนที่จะเป็น 0.25% บ่งชี้ว่าธปท.ต้องการเห็นอัตราดอกเบี้ยโดยรวมภายในประเทศขยับสูงขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากเป้าหมายการรักษาเสถียรภาพของระดับราคาและอัตราเงินเฟ้อแล้ว การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยขนาดที่มากกว่าคาด ยังสะท้อนความมุ่งหวังของธปท.ที่จะเห็นอัตราดอกเบี้ยในประเทศขยับสูงขึ้นเพื่อผลักดันให้ระดับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเพิ่มขึ้นตามมา หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง มีค่าติดลบต่อเนื่องมา 19 เดือนแล้ว

– สัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจนของธปท.ในครั้งนี้ คาดว่าจะเพิ่มความเป็นไปได้ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามมาของระบบธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่เหลือของปี แม้ว่าสภาพคล่องโดยรวมจะยังมีเหลืออยู่กว่า 4 แสนล้านบาทในปัจจุบัน ก็ตาม โดยวัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์อาจเริ่มต้นจากการระดมทุนของธนาคารต่างประเทศที่มีแนวโน้มจะหันมาพึ่งพาเงินฝากจากประชาชนด้วยการเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าธนาคารแห่งอื่น แทนการระดมทุนด้วยการกู้ยืมในตลาดเงินซึ่งต้นทุนปรับสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ดังเช่นที่ได้ดำเนินการมาในช่วงครึ่งแรกของปี) ขณะที่การดึงเงินฝากของธนาคารต่างประเทศ แม้จะมีปริมาณไม่มาก แต่ก็คงจะส่งผลตามมาให้ธนาคารไทยจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของตนเพื่อรักษาฐานลูกค้า โดยเฉพาะสำหรับธนาคารไทยที่มีสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากค่อนข้างสูงหรือมีสภาพคล่องค่อนข้างตึงตัว ซึ่งทิศทางดังกล่าว คงจะทำให้เกิดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารไทยแห่งอื่นๆ ตามมาเป็นระลอก จนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทั้งระบบธนาคารปรับขึ้นเป็นการทั่วไปได้ในท้ายที่สุด อย่างไรก็ตาม ขนาดและประเภทของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก คงจะขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะทางด้านโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินซึ่งแต่ละธนาคารคงจะพิจารณาไปตามความเหมาะสมของตนเองเป็นหลักด้วย

ผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ของธปท.
•ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ของธปท.ในการประชุมวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา แม้จะมากกว่าที่คาด แต่ก็ยังนับเป็นการเพิ่มความเข้มงวดของนโยบายอัตราดอกเบี้ยในลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไป และคงจะไม่ส่งผลกระทบมากนักต่อทิศทางเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากคงจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ (โดยเฉพาะธนาคารเอกชนขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้นของตนตามมาโดยพร้อมเพรียงกัน อย่างไรก็ตาม สัญญาณนโยบายอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่ชัดเจนของธปท. อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชนภายในประเทศ ผ่านการรับรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชน โดยที่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจคงจะมีเพิ่มขึ้นเมื่อธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้นเป็นการทั่วไปแล้วในอนาคต

•ผลกระทบต่อตลาดเงินตลาดทุน ภายหลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยขนาดที่มากกว่าคาดของธปท. ตลาดเงินตลาดทุนไทยได้มีการปรับตัวตอบรับการดำเนินนโยบายดังกล่าวทันทีจากผลกระทบทางด้านจิตวิทยาในระยะสั้น โดยในตลาดเงิน ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 39% มาปิดที่ระดับ 40.95 บาท/ดอลลาร์ฯในวันที่ 7 ก.ย. จากระดับปิดที่ 41.11 บาท/ดอลลาร์ฯในวันก่อนหน้า ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดอินเตอร์แบงก์และตลาดซื้อคืนพันธบัตรก็ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนทางด้านตลาดทุนนั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารตอบรับข่าวนี้ในเชิงบวกด้วยระดับปิดที่เพิ่มขึ้น 1.72% จาก 250.94 จุดในวันที่ 6 ก.ย. มาเป็น 255.26 จุดในวันที่ 7 ก.ย. ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยขนาดที่มากกว่าคาด ส่งผลในเชิงลบต่อตลาดตราสารหนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับสูงขึ้นในทุกประเภทอายุ (14-24 จุด) สำหรับแนวโน้มทิศทางตลาดเงินตลาดทุนในระยะต่อไปนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทคงจะกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานโดยเฉพาะทิศทางค่าเงินสกุลหลักในภูมิภาค รวมทั้งเงินดอลลาร์ฯเป็นหลัก ในขณะที่ การปรับตัวของดัชนีหุ้นไทยคงจะขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการเลือกรับข่าวของนักลงทุน ส่วนตลาดตราสารหนี้นั้น ความไม่มั่นใจของตลาดที่มีมากขึ้นต่อขนาดหรืออัตราเร่งของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธปท.ในระยะข้างหน้า คงจะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวในลักษณะที่ค่อนข้างระมัดระวัง โดยคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรคงจะทยอยปรับสูงขึ้นรับการคาดการณ์แนวโน้มขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ขณะที่ความต้องการลงทุนในพันธบัตรระยะสั้นที่ยังมีอยู่มากอาจจะช่วยประคับประคองให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเร่งสูงขึ้นได้ไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
สำหรับการประชุม MPC 2 รอบที่เหลือในปีนี้ (วันที่ 19 ตุลาคม และ 14 ธันวาคม) นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า การตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ของธปท.ในการประชุมวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นการผูกมัดว่าธปท.จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยขนาดที่เท่ากันในการประชุมอีก 2 รอบที่เหลือของปีนี้ โดยเชื่อว่า ธปท.คงจะมีการติดตามและประเมินสถานการณ์แวดล้อมทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด (โดยเฉพาะทิศทางอัตราเงินเฟ้อ) ซึ่งธปท.ก็ยังคงมีทางเลือกในการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยไปตามความเหมาะสมกับจังหวะและสถานการณ์แวดล้อมทางเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาวะที่เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีตามที่คาดหวังได้ (โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯได้รับผลกระทบที่จำกัดจากพายุ เฮอริเคนแคทรินา) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ธปท.คงจะยังเดินหน้าเพิ่มความเข้มงวดของนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อเป้าหมายการรักษาเสถียรภาพของระดับราคาและอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งเพื่อผลักดันระดับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงให้กลับมามีค่าเป็นบวก โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันของไทยอาจมีแนวโน้มเคลื่อนเข้าสู่ระดับ 4.00-4.25% ณ ปลายปี 2548 นี้ เพิ่มขึ้นจาก 3.50% ตามประมาณการเดิม