พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ มองแนวโน้มธุรกิจอสังหายังไปได้สวย

พลัส ฟันธงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังสดใส แต่ต้องอยู่บนปัจจัยในเรื่องทำเลและราคาเป็นหลักเชื่อระบบขนส่งมวลชน ยังคงเป็นปัจจัยในการชี้ทิศทางการเติบโตของทำเลอยู่อาศัยใหม่ที่พร้อมจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามนโยบายรัฐ พร้อมวางกลยุทธ์เดินหน้าเปิดโครงการทาวน์เฮ้าส์แบรนด์พลัส ซิตี้พาร์ค และคอนโดมิเนียมระดับกลางในรูปแบบแนวคิดใหม่ที่เน้นความเป็นชุมชนที่มากด้วยคุณภาพชีวิตอย่างต่อเนื่อง หลังไตรมาส 3 มีคอนโดเหลือขายรวมเพียง แค่ 10 ยูนิต จาก 900 ยูนิต

นายเมธา จันทร์แจ่มจรัส ประธานอำนวยการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด หนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบสนองชีวิตของคนยุคปัจจุบัน เปิดเผยว่า แม้ว่าหลายฝ่ายจะออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาภาพรวมการชะลอตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น แต่อีกมุมมองหนึ่งในฐานะผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ก็ยังคงเชื่อมั่นว่าภาพรวมในปี 48 และเชื่อมต่อถึงปี 49 จะยังคงเป็นไปในด้านบวก ล่าสุดสามารถปิดยอดขายคอนโดมิเนียมได้อีก 1 โครงการ คือ เดอะ โฟตี้ไนน์ พลัส 2 มั่นใจในไตรมาส 4 สามารถปิดได้อีก 2 โครงการแน่นอน คือ สุขุมวิทพลัส และสาธร พลัส ออนเดอะพอนด์ ยืนยันหากผู้ประกอบการจับจุดถูกและพัฒนาโครงการบนพื้นฐานข้อมูลด้านการตลาดที่แม่นยำ มีการเลือกทำเลที่ตั้งของโครงการที่ดี พร้อมกำหนดราคาขายที่เหมาะสม การพัฒนาโครงการยังคงสดใสแน่นอน

ในส่วนของ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ ก็ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าทยอยเปิดอีก 6 โครงการ มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท เริ่มจากในเดือนตุลาคมเปิด พลัส ซิตี้พาร์ค 101/1 และมุ่งทยอยเปิดอีก 5 โครงการ ทั้งทาวน์เฮ้าส์ แบรนด์ “พลัส ซิตี้พาร์ค” และคอนโดมิเนียมระดับกลาง ซึ่งจะฉีกรูปแบบไปจากโครงการที่พัฒนาก่อนหน้านี้และเชื่อว่าคอนโดมิเนียมในรูปแบบดังกล่าวจะสามารถตอบโจทย์ด้านการอยู่อาศัยของยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัวที่สุด

“ใน 8 เดือน ที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จมากจากการขายโครงการทั้งทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียม เห็นได้จากคอนโดของเราปีนี้ 900 ยูนิต เหลือขายอีกเพียงแค่ 10 ยูนิตเท่านั้น และสามารถโอนได้แล้วกว่า 80% เช่น พลัส 38,พลัส 67 โอนหมดแล้ว และจัดงานขึ้นบ้านใหม่ให้กับลูกบ้านเรียบร้อย ส่วนโครงการ 49 พลัส นั้นโอนไปแล้วกว่าครึ่ง ส่วนทาวน์เฮ้าส์โครงการที่ปิดการขายไปแล้วคือ พลัส ซิตี้พาร์ค เกษตร-นวมินทร์ และโครงการที่กำลังเปิดขายอยู่ เช่น พลัส ซิตี้พาร์ค ลาดพร้าว 71 , พลัส ซิตี้พาร์ค พระราม9-หัวหมาก และพลัส ซิตี้พาร์ค เอกมัย-รามอินทรา มียอดขายเข้ามาทุกวัน ดังนั้น เราจึงได้นำกลยุทธ์การพัฒนาโครงการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในปี 49 อย่างต่อเนื่อง และคงต้องรอบคอบยิ่งขึ้น เพราะภาพรวมปัจจัยภายนอกที่เข้ามามีอิทธิพล อาทิ ปัจจัยเรื่องค่าวัสดุ ค่าก่อสร้าง ค่าแรง และอื่นๆ ซึ่ง พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ เองได้มีการวางยุทธศาสตร์ในการรองรับปัญหาดังกล่าวไว้อย่างดี โดยเรามีแผนการรองรับในระยะยาว เพื่อให้ลูกค้าของเรามั่นใจในตัวบริษัทฯ และโครงการ ซึ่งที่ผ่านมาเราสามารถขายโครงการได้อย่างต่อเนื่อง และทยอยโอนให้แก่ลูกค้าตามกำหนด ส่งผลให้จำนวนยูนิตรวมทั้งหมดของบริษัทฯ เหลืออยู่น้อย และในช่วงปลายปี เราจะเริ่มเปิดตัวโครงการของเราเองอย่างต่อเนื่อง โดยจะยังเน้นพัฒนาโครงการทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมเป็นหลัก” ประธานอำนวยการ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ กล่าว

เกี่ยวกับความเห็นเรื่องอิทธิพลของระบบคมนาคมมีความสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้ามากหรือไม่นั้น นายเมธา กล่าวว่า “ในปัจจุบันระบบคมนาคมถือเป็นปัจจัยหลักที่ผู้ซื้อให้ความสำคัญ ดังจะเป็นได้ว่าโครงการอสังหาริมทรัพย์แบรนด์ต่างๆ ล้วนแต่สร้างโครงการตามแนวระบบคมนาคมเป็นหลัก และจากการขยายระบบคมนาคมของรัฐส่งผลให้ภาพรวมของตลาดอสังหาฯ กระจายตัวตามไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะประชาชนจะได้มีโอกาสเลือกโครงการในทำเลต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น”

บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด ผู้นำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรของไทย ทุนจดทะเบียน (ชำระแล้ว) 600 ล้านบาท ให้บริการด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, บริหารงานขายโครงการอสังหาริมทรัพย์, ให้คำปรึกษาเรื่องการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์, การบริหารอาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัย และให้บริการเป็นตัวแทนนายหน้าด้านอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันมีโครงการที่พัฒนาเองทั้งสิ้น 14 โครงการ และโครงการที่รับบริหาร (Property Management) รวมกว่า 90 โครงการ ซึ่งถือเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทยในปัจจุบัน