กากน้ำตาล : ทวีบทบาท…มากคุณค่าทางเศรษฐกิจ

ปัจจุบันกากน้ำตาลได้ทวีบทบาทความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้นอกจากใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมการผลิตอาหารและเครื่องดื่มต่างๆประมาณ 1 ล้านตันแล้ว ในขณะเดียวกันไทยยังถือเป็นประเทศผู้ส่งออกกากน้ำตาลรายใหญ่อันดับหนึ่งของโลกโดยมีการส่งออกกากน้ำตาลไปยังตลาดต่างประเทศในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยปีละประมาณ 1.4-1.5 ล้านตันคิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยต่อปีกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

นอกจากนี้ ผลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นยังส่งผลให้มีการนำกากน้ำตาลไปใช้ประโยชน์ในด้านการผลิตเอทานอลเพื่อใช้ผสมกับน้ำมันเบนซินเป็นพลังงานทางเลือกที่เรียกว่าแก๊สโซฮอล์ซึ่งมีราคาต่ำกว่าน้ำมันเบนซินออกเทน95 ถึง ลิตรละ 1.50 บาท อีกทั้งยังช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศได้อีกด้วย ส่งผลให้ปริมาณความต้องการกากน้ำตาลในประเทศเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.53 ล้านตันต่อปี ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ภาครัฐมีแนวคิดที่จะห้ามการส่งออกกากน้ำตาลเพื่อสงวนไว้ใช้ในประเทศภายหลังจากที่ผู้ผลิตเอทานอลเรียกร้องขอปรับราคาเอทานอลที่จำหน่ายให้กับโรงกลั่นน้ำมันให้สอดคล้องกับราคากากน้ำตาลที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวทางฝ่ายโรงงานน้ำตาลมีความเห็นว่าหากควบคุมการส่งออกจะทำให้ราคากากน้ำตาลปรับตัวลดลงและส่งผลกระทบต่อรายได้ของระบบอ้อยและน้ำตาลทรายซึ่งยังมีภาระหนี้เงินกู้ระหว่างกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกับสถาบันการเงินถึงประมาณ 18,000 ล้านบาท

กากน้ำตาล(MOLASSES) เป็นผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาลดังนั้นปริมาณการผลิตกากน้ำตาลของไทยจึงขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตอ้อยในแต่ละปี โดยอ้อย 1 ตันจะได้ปริมาณกากน้ำตาลประมาณ 46.8 กิโลกรัม ทั้งนี้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ฤดูการผลิตปี 2542/43 ถึงฤดูการผลิตปี 2546/47 ไทยมีปริมาณการผลิตกากน้ำตาลอยู่ที่ระดับเฉลี่ยประมาณปีละ 2.8 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม สำหรับในฤดูการผลิต 2547/48 นี้เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกอ้อยได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นทั่วประเทศทำให้ปริมาณผลผลิตอ้อยลดลงเหลือเพียง 47.8 ล้านตันลดลงร้อยละ 25.8 และส่งผลต่อเนื่องไปถึงปริมาณกากน้ำตาลที่ผลิตได้ในปีนี้มีเพียง 2.26 ล้านตันลดลงร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับฤดูการผลิตปีก่อน

เป็นที่น่าสังเกตว่าปัจจุบันกากน้ำตาลได้ทวีบทบาทความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ ทั้งในส่วนของการจำหน่ายไปยังกลุ่มผู้ใช้ในประเทศและส่งออกโดยมีรายละเอียดดังนี้

กลุ่มผู้ใช้ในประเทศ เนื่องจากกากน้ำตาลประกอบไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารต่างๆหลายชนิด ส่งผลให้กากน้ำตาลถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมผลิตสุราและแอลกอฮอล์ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ผลิตผงชูรส น้ำส้มสายชู เป็นต้น รวมการใช้กากน้ำตาลประมาณ 1 ล้านตัน ซึ่งในจำนวนนี้จะใช้ในอุตสาหกรรมผลิตสุราเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันได้มีการนำกากน้ำตาลมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตเอทานอลเพื่อใช้ผสมกับน้ำมันเบนซินใช้เป็นพลังงานทดแทนที่เรียกว่าแก๊สโซฮอล์ จำนวน 4 โรงงานรวมกำลังการผลิตเอทานอลประมาณ 460,000 ลิตรต่อวัน ซึ่งกากน้ำตาล 1 ตันสามารถผลิตเอทานอลได้ประมาณ 260 ลิตร ทำให้ความต้องการกากน้ำตาลของโรงงานเอทานอลอยู่ที่ประมาณ 530,000 ตันต่อปี(คิดจากวันผลิต 300 วัน) รวมเป็นปริมาณการใช้กากน้ำตาลในประเทศประมาณ 1.53 ล้านตัน

กลุ่มผู้ใช้ต่างประเทศ ปัจจุบันประเทศต่างๆมีความต้องการกากน้ำตาลเพื่อนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมสุรา อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ รวมทั้งนำไปผลิตเป็นเอทานอลเช่นเดียวกับไทย และเนื่องจากไทยถือเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำตาลรายสำคัญของโลก ส่งผลให้ปัจจุบันไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกรองจากบราซิล และออสเตรเลีย

สำหรับในส่วนของกากน้ำตาลนั้น เนื่องจากปริมาณการผลิตที่มีมากกว่าความต้องการใช้ในประเทศ ดังนั้น โรงงานน้ำตาลจึงต้องเร่งผลักดันการส่งออกกากน้ำตาลส่วนที่เหลือจากการใช้ในประเทศซึ่งคิดเป็นปริมาณเฉลี่ย 1.4-1.5 ล้านตันต่อปี ส่งผลให้ปัจจุบันไทยถือเป็นประเทศผู้ส่งออกกากน้ำตาลรายใหญ่อันดับหนึ่งของโลกโดยมีสหรัฐอเมริกาและกัวเตมาลาเป็นผู้ส่งออกกากน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 2 และ 3 ของโลกตามลำดับ

สำหรับประเทศผู้นำเข้ากากน้ำตาลจากไทยรายใหญ่ได้แก่ประเทศในเอเชียได้แก่ เวียดนาม เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และอินเดีย ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าการส่งออกกากน้ำตาลของไทย และเป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่จะพึ่งพาการนำเข้ากากน้ำตาลจากไทยมากที่สุด โดยคู่แข่งทางด้านการส่งออกกากน้ำตาลที่สำคัญของไทยในภูมิภาคเอเชียได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย เป็นต้น

ทั้งนี้มูลค่าการส่งออกกากน้ำตาลของไทยได้ปรับตัวลดลงมาเป็นลำดับจาก 62.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2545 ลงมาเหลือ 46.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯและ 41.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2546 และปี 2547 ตามลำดับ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากราคากากน้ำตาลที่ปรับตัวลดลงดังจะเห็นได้จากราคาส่งออกกากน้ำตาลของไทยเฉลี่ยในปี 2545 ซึ่งอยู่ที่ 45.78 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ลดลงมาเหลือเพียง 34.96 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตันและ 27.72 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตันในปี 2546 และปี 2547 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ผลจากปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นทั่วโลกส่งผลให้ปริมาณผลผลิตกากน้ำตาลปรับตัวลดลง ประกอบกับความต้องการกากน้ำตาลเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆโดยเฉพาะการผลิตเอทานอลมีสูง ผลักดันให้ราคากากน้ำตาลทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นด้วย โดยในช่วง 7 เดือนแรกปี 2548 ไทยมีการส่งออกกากน้ำตาลปริมาณ 1.02 ล้านตันคิดเป็นมูลค่า 54.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 107.6 ในขณะที่ราคาส่งออกกากน้ำตาลก็ปรับเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 53.84 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตันเพิ่มขึ้นร้อยละ 120.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลจากปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นจนส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตอ้อยและน้ำตาลตลอดจนถึงกากน้ำตาลที่ลดลงในปี 2548 ในขณะที่ปริมาณความต้องการใช้ภายในประเทศและตลาดส่งออกกลับเพิ่มขึ้น จนส่งผลให้ราคาจำหน่ายกากน้ำตาลปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ภาครัฐมีแนวคิดที่จะควบคุมการส่งออกกากน้ำตาล ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้มีการนำกากน้ำตาลมาผลิตเป็นเอทานอลป้อนให้กับโรงกลั่นน้ำมันนำไปใช้ผลิตเป็นแก๊สโซฮอล์จำหน่ายในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป อีกทั้งมาตรการดังกล่าวยังเป็นการป้องกันปัญหาการขาดแคลนกากน้ำตาลในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากแนวคิดควบคุมการส่งออกกากน้ำตาลดังกล่าวปรากฏออกมาในส่วนของโรงงานน้ำตาลซึ่งเป็นผู้ผลิตกากน้ำตาลไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าปริมาณกากน้ำตาลที่มีอยู่ในปัจจุบันประมาณ 2.26 ล้านตันเพียงพอต่อปริมาณความต้องการใช้ในประเทศที่มีอยู่ประมาณ 1.53 ล้านตันอีกทั้งหากภาครัฐควบคุมด้านการส่งออกก็จะส่งผลกระทบต่อราคากากน้ำตาลรวมทั้งรายได้ของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลที่จะปรับลดลง ซึ่งท้ายที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลรวมทั้งกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายที่มีภาระหนี้เงินกู้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรซึ่งได้กู้มาเพื่อใช้พยุงราคาอ้อยตกต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมารวมเงินต้นและดอกเบี้ยซึ่งต้องใช้คืนระหว่างปี 2548-2555 ประมาณ 18,000 ล้านบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าประเด็นการควบคุมการส่งออกกากน้ำตาลมาจากปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นทั่วประเทศส่งผลให้ปริมาณผลผลิตอ้อยลดลงจากปีก่อนๆมาก ทั้งนี้หากปริมาณอ้อยอยู่ในระดับปกติประมาณปีละ 60-70 ล้านตันดังเช่นปีก่อนๆประเทศไทยจะมีผลผลิตกากน้ำตาลประมาณ 2.8-3.3 ล้านตัน ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงปริมาณการใช้ในประเทศซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.53 ล้านตันแล้วจะทำให้มีกากน้ำตาลเหลือเพื่อส่งออกประมาณ 1.3-1.8 ล้านตัน แต่เนื่องจากภัยแล้งที่เกิดขึ้นส่งผลให้ปริมาณผลผลิตกากน้ำตาลในปีการผลิต 2547/48 ลดลงมาเหลือเพียง 2.26 ล้านตันทำให้ภาครัฐกังวลว่าปริมาณกากน้ำตาลจะไม่เพียงพอใช้ในประเทศหากมีการเร่งส่งออกกากน้ำตาลมากเกินไป

และเป็นที่น่าสังเกตว่าประเด็นปัญหาเกี่ยวกับกากน้ำตาลนั้นมีทีท่าว่าจะต่อเนื่องไปในปี 2549 ภายหลังจากที่มีการคาดการณ์ว่าปริมาณผลผลิตอ้อยในประเทศจะได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งเช่นเดียวกับปี 2548 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะสร้างความกดดันแก่ทั้งฝ่ายภาครัฐเองรวมทั้งฝ่ายอุตสาหกรรมน้ำตาลเป็นอย่างมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขข้อขัดแย้งเช่นเดียวกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคตภาครัฐควรมีการวางแผนร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการเอทานอลกับชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลถึงปริมาณความต้องการกากน้ำตาลในระยะยาวว่าเป็นเท่าใดพร้อมกับเร่งส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตอ้อยให้สอดคล้องกันซึ่งจะช่วยให้มีปริมาณกากน้ำตาลเพียงพอใช้ในประเทศโดยไม่ต้องมีมาตรการควบคุมการส่งออกกากน้ำตาลออกมาบังคับ