บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย : แนวโน้มในปี 2549-2551

จำนวนผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะหลัง โดยการเข้าถึงเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 12 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศหรือมีจำนวนประมาณ 7.6 ล้านรายในปี 2548 แม้ว่าการเติบโตของจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะชะลอตัวลง แต่ปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตนั้นมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความกว้างของช่องสัญญาณรับส่งข้อมูลมีการขยายตัวเพื่อรองรับกับความต้องการ ในขณะที่เทคโนโลยีการเชื่อมต่อได้รับการพัฒนาให้มีความเร็วมากขึ้น โดยการขยายบริการจากอินเทอร์เน็ตความเร็วปกติไปสู่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงซึ่งเริ่มมีผู้ใช้บริการเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ราคาค่าบริการอินเทอร์เน็ตก็มีแนวโน้มลดต่ำลงกว่าเดิม ประกอบกับการพัฒนาคอนเทนท์หรือเนื้อหาที่มีความหลากหลายด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามสำหรับธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการประกอบธุรกิจภายหลังจากที่ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ กทช. ได้เริ่มให้ใบอนุญาตใหม่แก่ผู้ประกอบการยิ่งเป็นการกระตุ้นให้ภาพรวมของบริการอินเทอร์เน็ตมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ภาพรวมบริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย

– จำนวนผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต หลังจากเปิดให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการในปี 2539 โดยการให้สัมปทานกิจการกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือ Internet service providers จำนวน 18 ราย ของ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (บมจ. กสท. โทรคมนาคม ในปัจจุบัน) และการส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตในสถานศึกษาและสถานที่ราชการ ทำให้จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณว่า จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในปี 2548 จะมีจำนวนประมาณ 7.6 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 12 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ

– จำนวนผู้ให้บริการ เดิมมีจำนวนผู้ให้บริการที่ได้รับสัมปทานจำนวน 18 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีเงื่อนไขที่จะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กับ กสท. ร้อยละ 32 ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย ในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมามีผู้ให้บริการเพียง 5-6 รายเท่านั้นที่สามารถดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และมีการควบรวมกิจการของผู้ให้บริการ อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่สัญญาสัมปทานบางรายได้หมดอายุลง ในขณะเดียวกันที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม ได้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทที่ 3 (กิจการโทรคมนาคมที่มีไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเองและให้บริการให้กับบุคคลทั่วไป) แก่ผู้ให้บริการรายเดิมที่หมดสัญญาและผู้ให้บริการรายใหม่ที่ยื่นขออนุญาตประกอบกิจการจำนวน 10 ราย

– รูปแบบการใช้บริการ ผู้ใช้บริการการสามารถแบ่งออกเป็นประเภทบุคคลและผู้ใช้บริการประเภทองค์กร โดยระบบการเชื่อมต่อส่วนใหญ่มักจะใช้บริการจากการหมุนโทรศัพท์ผ่านโมเด็ม (dial up) ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการมากที่สุดถึงร้อยละ 39.9 รองลงมาเป็นการเชื่อมต่อแบบสายตรงแบบสายเช่า (leased line) ร้อยละ 31.5 และที่ระบบการเชื่อมต่อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากคือ ADSL (Asymmetric Digital Subscriber Line) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.6 ในปี 2546 เป็นร้อยละ 19.3 ในปี 2547 นอกจากนี้เป็นการเชื่อมต่อแบบอื่นๆ เช่น ISDN, Cable Modem, IP Star, Satelliteและ Mobile Internet

– ผู้ให้บริการสื่อสารระหว่างประเทศ (International Carrier) เช่น Global One, MCI และ TeleGlobe ฯลฯ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ ปัจจุบัน กสท. กำหนดให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ได้รับสัมปทานทุกรายจะต้องเชื่อมโครงข่ายระหว่างประเทศ (international internet gateway) ผ่าน กสท. แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นความแพร่หลายของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยระดับความแพร่หลาย (penetration rate ) ของการอินเทอร์เน็ตสามารถวัดได้จากจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเทียบกับจำนวนประชากรของประเทศ ซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับต่างประเทศได้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สรุปข้อมูลที่สามารถอธิบายความแพร่หลายของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ดังนี้

– ความแพร่หลายของการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ
โดยข้อมูลในปี 2547 พบว่าไทยมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตประมาณร้อยละ 11.9 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งต่ำกว่าอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ และ อังกฤษ ที่มีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตประมาณร้อยละ 55 ของประชากรทั้งประเทศ และหากเทียบกับประเทศในแถบเอเชียด้วยกันอย่างเกาหลีใต้ซึ่งมีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 60 ของจำนวนประชากร หรือ เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียก็มีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตประมาณร้อยละ 34.41 ของจำนวนประชากรแล้ว

– มีการกระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองมาก นอกเหนือจากการเปรียบเทียบอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตต่อประชากรกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ยังพบว่าการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศก็ยังมีการกระจุกตัวในเขตกรุงเทพฯ มาก จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติจะพบว่า ในปี 2547 ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลนั้นมีการกระจุกตัวของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 26.6 รองลงมาเป็นภาคเหนือ ร้อยละ 11.4 ภาคกลางร้อยละ 11.2 ภาคใต้ร้อยละ 9.9 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 7.7 ทั้งนี้เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของการให้บริการมีการกระจุกตัวภายในเขตกรุงเทพฯ และการยอมรับของเทคโนโลยีของคนเมืองมีค่อนข้างสูง

– ปริมาณการไหลเวียนของข้อมูลสูงขึ้นและความเร็ว (bandwidth) ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เพิ่มขึ้น โดยในปี 2543 ความเร็วของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นถึง 209% หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่าจากช่วงเดียวกันในปี 2542 อย่างไรก็ตามความเร็วในการเชื่อมต่อในระยะต่อมามีอัตราการขยายตัวที่ลดต่ำลงเนื่องมาจากการเทียบจากฐานที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นแล้ว สำหรับอัตราการไหลเวียนของข้อมูลในประเทศ ก็มีอัตราการเพิ่มสูงถึงประมาณ 3 เท่าในปี 2542-2543 และชะลอตัวลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามตัวเลขรวมของทั้งความเร็วของการเชื่อมต่อและการไหลเวียนข้อมูลจำนวนมากในปี 2547 ได้สะท้อนภาพการขยายตัวของการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศว่ามีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา

– กลุ่มผู้ใช้บริการ
ส่วนใหญ่อายุ 15-24 ปี โดยมีสัดส่วนถึงร้อยละ 52 ของจำนวนผู้ใช้รวมทั้งประเทศ รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 25-34 ปี คิดเป็นร้อยละ 19.8 กลุ่มอายุ 35-49 ปี ร้อยละ 15 เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มที่มีอายุเพิ่มสูงขึ้นจะมีแนวโน้มของการใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง ทั้งนี้เป็นเพราะส่วนหนึ่งไม่มีความชำนาญในการใช้คอมพิวเตอร์ ประกอบกับการยอมรับเทคโนโลยียังอยู่ในวงจำกัด

– การใช้อินเทอร์เน็ตในสถานประกอบการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการสำรวจการใช้อินเทอร์เน็ตจากสถานประกอบการทั่วประเทศของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ในปี 2547 นั้นมีสถานประกอบการร้อยละ 8 ทั่วประเทศใช้อินเทอร์เน็ตในการทำธุรกิจและการติดต่อสื่อสารอื่นๆ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีเพียงร้อยละ 4 ในปี 2545 โดยหมวดธุรกิจที่มีการใช้อินเทอร์เน็ตมาก 3 อันดับแรก คือหมวดกิจกรรมทางด้านคอมพิวเตอร์ รองลงมาเป็นหมวดวิจัยและพัฒนา และหมวดการก่อสร้าง ตามลำดับ และมีแนวโน้มว่าองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่จะมีสัดส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตในองค์กรสูงกว่าองค์กรขนาดเล็ก
บริการอินเทอร์เน็ต : แนวโน้มในปี 2549-2551

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้คาดการณ์แนวโน้มของบริการอินเทอร์เน็ตในระยะปานกลางนับจากนี้ (2549-2551) ในประเด็นต่างๆ ดังนี้
– จำนวนผู้ใช้บริการใน 3 ปีข้างหน้า แนวโน้มการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการตัวเลขผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยจะสูงถึงประมาณ 10.1 ล้านคนในปี 2551 มีอัตราการเติบโตประมาณร้อยละ 10 ต่อปี (2549-2551) และมีแนวโน้มเคลื่อนตัวไปในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น ปัจจัยที่ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการขยายตัวนั้นส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของพื้นที่ให้บริการและราคาค่าบริการที่มีแนวโน้มต่ำลง อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงของจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นจะมากหรือน้อยยังมีนัยสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับนโยบายการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.) ด้วยโดยเฉพาะเรื่องการกำหนดค่าเชื่อมโยงเครือข่ายในการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตร่วมกัน ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปยังการกำหนดราคาค่าบริการอินเทอร์เน็ตด้วย

– กลุ่มที่มีการใช้อินเทอร์เน็ตมาก ยังคงเป็นกลุ่มนักเรียน/นักศึกษาและกลุ่มคนทำงาน คิดเป็นร้อยละ 60-70 ของผู้ใช้ทั้งหมด โดยเป้าหมายของการใช้จะมุ่งไปที่อินเทอร์เน็ตสำหรับการเรียน ค้นคว้า และการสื่อสาร ซึ่งกลุ่มนี้จะมีความคุ้นเคยต่อเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตค่อนข้างมาก และกลุ่มผู้ใช้ในต่างจังหวัดจะมีจำนวนมากขึ้น เนื่องจากการขยายเครือข่ายการให้บริการที่ครอบคลุมและการผลักดันจากนโยบายรัฐบาล เช่น การใช้อินเทอร์เน็ตตำบลที่เป็นโครงการต่อเนื่องและกลุ่มข้าราชการมีความคุ้นเคยกับการใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีโครงการอินเทอร์เน็ตโรงเรียน (school net) ที่มีจำนวนโรงเรียนที่เข้ามาร่วมในโครงการมากขึ้น หรืออาจครอบคลุมทั้งประเทศ

– จำนวนผู้ให้บริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการให้ใบอนุญาตประกอบการใหม่ของ กทช. ทดแทนสัญญาการให้บริการซึ่งไอเอสพี จำนวน 18 รายที่ทำไว้กับ กสท. ซึ่งหมดอายุลงในปี 2548-2553 นอกจากนี้ยังมีผู้ให้บริการรายใหม่ที่ยังไม่เคยให้บริการเข้ามาขอใบอนุญาตเพิ่มเติมด้วย ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตแล้ว 10 ราย การออกใบอนุญาตโดย กทช. นั้นทำให้ไอเอสพีหมดภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ร้อยละ 32 ให้กับ กสท. แต่ ไอเอสพีที่ได้ใบอนุญาตใหม่จะต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 20,000 บาทต่อปี ค่าบริการโครงข่ายโทรคมนาคมสาธารณะร้อยละ 4 ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายให้กับ กทช. ทดแทน ซึ่งทำใหม่มีผู้สนใจที่จะลงทุนในธุรกิจให้บริการอินเทอรเน็ตเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การเปิดเสรีกิจการโทรคมนาคมตามเงื่อนไขขององค์การการค้าโลกในปี 2549 และการเปิดการเจรจาเขตการค้าเสรีกับประเทศสหรัฐ (FTA) กิจการประเภทนี้ก็กำลังอยู่ในความสนใจของผู้ประกอบการต่างชาติด้วย อย่างไรก็ตามจำนวนผู้ประกอบกิจการจะมีมากหรือน้อยเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ กทช. ที่จะกำหนดจำนวนใบอนุญาตในอนาคต

– การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี มีความเป็นไปได้มากว่า เทคโนโลยีการเชื่อมต่อโครงข่ายอินเทอร์เน็ตจะมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงระยะ 3-5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในส่วนของความเร็วในการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะกลายเป็นการเชื่อมต่อที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น การเปลี่ยน mode ของการเชื่อมต่อจากเดิมแบบหมุนโทรศัพท์และความเร็วปกติมาสู่เทคโนโลยี ADSL หรืออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านคู่สายโทรศัพท์ในช่วงระยะ 2 ปีที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของตลาดเติบโตอย่างมากเมื่อราคาค่าบริการมีแนวโน้มต่ำลง ในช่วงระยะ 3 ปี เทคโนโลยี ADSL จะยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ในขณะที่เทคโนโลยีอื่นๆ ก็จะเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ที่จะเริ่มแผนการตลาดอย่างจริงจังในปี 2549 การเชื่อมผ่านเครือข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber to Home) หรือ การเชื่อมผ่านเครือข่ายสายไฟฟ้า (Power line Broadband) หรือการเชื่อมต่อความเร็วสูงแบบวิทยุ (WiMax) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด สำหรับการส่งผ่านสัญญาณข้อมูล และภาพในระยะทางไม่น้อยกว่า 10 กิโลเมตร ให้สามารถสื่อสารถึงกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้สาย และกำลังเป็นที่นิยมในประเทศที่พัฒนาแล้วเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญถือเป็นสิ่งใหม่ที่จะช่วยกระจายบริการการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้เข้าถึงทุกครัวเรือนได้มากขึ้นอีกทาง อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพการใช้งานที่ดีแต่ยังมีข้อจำกัดในด้านการลงทุนที่ค่อนข้างสูงและอุปกรณ์ยังมีราคาแพง อาจจะต้องใช้เวลาอีก 3-5 ปีในการเข้าถึงประชาชนในราคาที่ถูกลง

– การประยุกต์ใช้บริการอินเทอร์เน็ต การเติบโตของการใช้อินเทอร์เน็ตและการพัฒนาให้อินเทอร์เน็ตมีความเร็วเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆมากมาย ทั้งในด้านการค้า ด้านการสื่อสาร ด้านการศึกษา และด้านความบันเทิง เป็นต้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาการเติบโตของบริการต่างๆ นั้นมีอย่างต่อเนื่อง และสำหรับแนวโน้มในระยะ 3 ปีข้างหน้านั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สรุปประเด็นต่างๆ ไว้ดังนี้

บริการ e- government หรือ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในการให้บริการต่างๆ ของภาครัฐ จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น และมีประสิทธิภาพในการบริการที่สูงขึ้น มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารได้สะดวก และลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจการต่างๆ ได้

บริการ e-Business หรือดำเนินธุรกิจผ่านทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งการติดต่อสื่อสาร การให้ความรู้กับคู่ค้า การติดต่อสื่อสาร การลดระยะเวลาในกระบวนการธุรกิจ การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานผ่านทางซอฟท์แวร์ที่สามารถซื้อหรือเช่าผ่านเครือข่าย การฝากข้อมูลไว้กับศูนย์รับฝากข้อมูล หรือการหาพันธมิตรทางธุรกิจผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือบริการอินเทอร์เน็ตในองค์กร (intranet) เป็นต้น

บริการ e-commerce หรือการซื้อขายสินค้าผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น ทั้งในรูปแบบของ business to consumer (b2c) , business to business (b2b) , government to business (g2b) ซึ่งนอกจากจะมีการใช้บริการเพิ่มขึ้น เว็บไซต์ที่ให้บริการมากขึ้นแล้วการพัฒนารูปแบบการชำระเงินในแบบออนไลน์จะช่วยให้มูลค่าตลาดของอี-คอมเมิร์ซเติบโตขึ้นด้วย

บริการ e-learning เป็นการศึกษาทางไกลโดยใช้เทคโนโลยีสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่างๆ ทั้งในแบบออนไลน์และถ่ายทอดสด หรือแบบบันทึกการสอนไว้ล่วงหน้า ซึ่งผู้เรียนจะสามารถเข้าเรียนและเรียกดูบทเรียนได้ตลอดเวลา ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้รับการพัฒนาขึ้นมาได้ระดับหนึ่งจากสถานศึกษาหลายแห่ง และในอนาคตคาดว่าจะสามารถให้บริการได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสามารถช่วยพัฒนาระบบการศึกษาได้ดีขึ้นลดข้อจำกัดในด้านเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

บริการ e-Health หรือการให้บริการทางการแพทย์ และการตรวจรักษาผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในต่างประเทศ และคาดว่าจะมีการนำมาใช้ในประเทศไทย เพื่อให้บริการทางการแพทย์เป็นไปอย่างกว้างขวาง การวินิจฉัยโรคผ่านทางเครือข่ายออนไลน์จะช่วยในการพัฒนาคุณภาพสาธารณสุขในที่ห่างไกล หรือการติดต่อแลกเปลี่ยนกันระหว่างแพทย์ในสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ

บริการบันเทิงและสันทนาการ บริการบันเทิงทางอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง รองจากการค้นคว้า การพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้มีความเร็วเพิ่มขึ้นและสามารถโอนถ่ายข้อมูลได้เป็นจำนวนมากทั้งข้อมูล ภาพ เสียง และวิดีโอ จะทำให้รูปแบบของบริการทางบันเทิงมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น บริการที่คาดว่าจะได้รับความนิยมในอนาคตอันใกล้นี้ได้แก่ โทรทัศน์ดิจิทัล (digital TV) ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การเลือกชมภาพยนตร์ตามที่ต้องการ การเล่นเกมออนไลน์ได้รวดเร็วขึ้น การสั่งซื้อเพลงจากต่างประเทศ การดาวน์โหลดวิดีโอคลิฟต่างๆ ซึ่งความนิยมในสิ่งเหล่านี้ทำให้ธุรกิจต่อเนื่อง คือ นักพัฒนาเนื้อหาหรือ ผู้ให้บริการเนื้อหาเติบโตขึ้นด้วย
บทสรุปและข้อคิดเห็น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า บริการอินเทอร์เน็ตนั้นจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2551 นั้น จำนวนผู้ใช้บริการน่าจะสูงถึงกว่า 10 ล้านคน หรือมีการเติบโตประมาณร้อยละ 10 ต่อปี จากปี 2548-2551 อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวยังคงเป็นตัวเลขประมาณการณ์เบื้องต้นเท่านั้น การเติบโตของบริการอินเทอร์เน็ตยังต้องอาศัยปัจจัยเกื้อหนุนอีกหลายประการคือ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ราคาค่าบริการ การใช้อินเทอร์เน็ตไปในทางที่ไม่เหมาะสม ความพร้อมของเทคโนโลยี และมาตรการในการส่งเสริมการให้บริการอินเทอร์เน็ตเป็นไปอย่างทั่วถึง

– ภาวะเศรษฐกิจ การเติบโตของเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศได้ ทั้งนี้หากเศรษฐกิจมีการขยายตัวไม่มากนัก การเข้าถึงเทคโนโลยีหรือการหาซื้ออุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โมเด็ม การซื้อชั่วโมงอินเทอร์เน็ตย่อมทำได้จำกัด

– ราคาค่าบริการ เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของการใช้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศ ที่ผ่านมาการปรับลดราคาค่าบริการมีส่วนอย่างมากที่ทำให้จำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นทั้งในการเชื่อมต่อแบบหมุนโทรศัพท์และการใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีการปรับลดลงเหลือเหมาจ่ายรายเดือนต่ำสุด 500 บาท ทำให้จำนวนผู้ใช้เติบโตจากประมาณ 5,000 ราย ในปี 2546 เป็น 250,000 รายในปี 2547 หรือเติบโตขึ้นถึง 50 เท่าจากเดิม

– ความครอบคลุมของเครือข่าย เนื่องจากการเหลื่อมล้ำของการใช้เทคโนโลยี (Digital Divide) ในประเทศมีค่อนข้างสูง หรือการกระจุกตัวของบริการอินเทอร์เน็ตหรือบริการสื่อสารใดๆ อยู่ในกรุงเทพหรือเมืองใหญ่ค่อนข้างมาก การกระจายพื้นที่การให้บริการที่ครอบคลุมมากขึ้นกว่าเดิมนั้นจะช่วยทำให้จำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นแต่เนื่องจากพื้นที่ห่างไกลไม่สามารถสร้างกำไรในการประกอบธุรกิจทำให้ไม่มีการลงทุนในภูมิภาคมากเท่าที่ควร อย่างไรก็ตามการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการให้บริการอย่างทั่วถึง (USO) จากผู้ประกอบการของ กทช. น่าจะเป็นการช่วยทำให้มีผู้ใช้บริการได้ แต่ก็ยังต้องรอให้การดำเนินงานมีความเรียบร้อยในระยะหนึ่ง

– การใช้อินเทอร์เน็ตไปในทางที่ไม่เหมาะสม ซึ่งทำให้การใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพและอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านสังคมตามมา เช่น การเล่นเกมออนไลน์มากจนเกินไป หรือการเผยแพร่ข้อมูลอนาจาร การใช้เป็นช่องทางในการกระทำผิดกฎหมาย เป็นต้น ทั้งนี้อาจส่งผลให้ภาครัฐต้องนำมาตรการที่จะควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตเข้ามาแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

– การโจมตีเครือข่าย หรือการบุกรุกเครือข่ายจากคอมพิวเตอร์ไวรัส ปัญหาอี-เมล์ขยะ การล่อลวงทางอินเทอร์เน็ตและอาชญากรรมคอมพิวเตอร์รูปแบบต่างๆ ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้เกิดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการป้องกันหรือการก่อให้เกิดความความเสียหายและนำมาซึ่งความไม่น่าเชื่อถือต่อการนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ

– มาตรการในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีของภาครัฐ ทั้งในด้านการส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตในโรงเรียนทั่วประเทศ การใช้บริการอินเทอร์เน็ตของชุมชน การส่งเสริมการใช้รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ยังต้องมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น

– บทบาทในการกำกับดูแลการให้บริการ หลังจากที่มีการจัดตั้ง กทช. ขึ้นเพื่อกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม ซึ่งรวมถึงบริการอินเทอร์เน็ต การออกใบอนุญาตประกอบการกับเอกชนผู้ให้บริการรายใหม่ๆ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการให้บริการและการกำหนดค่าเชื่อมโครงข่ายของบริการจะมีส่วนสำคัญต่อโครงสร้างการให้บริการอินเทอร์เน็ตนับจากนี้ ดังนั้นบทบาทและหน้าที่สำคัญของ กทช. จะมีผลต่อการเติบโตของบริการอินเทอร์เน็ตในประเทศเป็นอย่างมาก หาก กทช. มีแนวทางการดำเนินงานที่ดี ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ส่งเสริมให้เกิดการบริหารและจัดการแก่ธุรกิจบริการมีต้นทุนการให้บริการที่ต่ำ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องส่งเสริมการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อให้เครือข่ายให้บริการครอบคลุมและทั่วถึง และมีราคาที่เป็นธรรมทั่วประเทศ ย่อมทำให้บริการอินเทอร์เน็ตมีการเติบโตและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศได้อย่างเต็มที่