ผงซักฟอก นับเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ใช้เพื่อการชำระล้างสิ่งสกปรกจากเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และภาชนะต่างๆ ตลอดจนเครื่องมือเครื่องจักรกลในโรงงาน โดยทั้งนี้พบว่าอุตสาหกรรมผงซักฟอกในเมืองไทยเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ขณะที่มีการนำเข้าและส่งออกน้อย ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ผลิตผงซักฟอกจำหน่ายในตลาดประมาณ 4 ราย และมียี่ห้อผงซักฟอกภายในประเทศรวมกันประมาณ 20 – 25 ยี่ห้อ โดยบางรายที่เป็นบริษัทร่วมทุนในระดับโลกหรือบริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนในไทยได้ถูกวางตัวให้เป็นศูนย์กลางการผลิตผงซักฟอกในส่วนภูมิภาคอาเซียนด้วย
และเนื่องจากผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ทั้งเงินลงทุนสูง และเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย อีกทั้งยังต้องใช้เวลาในการสร้างภาพลักษณ์และแบรนด์ของสินค้าและบริษัทในระยะเวลาที่ค่อนข้างนานหลายปี จึงก่อให้เกิดอุปสรรคค่อนข้างสูงต่อการเข้าสู่ตลาดผงซักฟอกของผู้ประกอบการรายใหม่ๆ และส่งผลให้โครงสร้างตลาดผงซักฟอกภายในเมืองไทยจวบจนปัจจุบันเป็นลักษณะของตลาดผู้ขายน้อยรายที่มีการแข่งขันทวีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นทุกขณะเพื่อช่วงชิงการถือครองส่วนแบ่งการตลาด โดยตลาดผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกในเมืองไทยนับเป็นตลาดขนาดใหญ่ (Mass Market) ที่มีมูลค่าสูงสุดสินค้าหนึ่งในบรรดาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยคาดว่าในปี 2548 ผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกน่าจะมีมูลค่าการตลาดรวมภายในประเทศใกล้เคียง 10,000 ล้านบาท เติบโตประมาณร้อยละ 5 และสามารถส่งออกคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50
ทั้งนี้ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกที่มีคุณสมบัติเฉพาะและมีความแตกต่างที่หลากหลายในตลาดนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 สูตรด้วยกันคือ
1.สูตรมาตรฐาน (Standard) เป็นผงซักฟอกชนิดผงและชนิดน้ำ ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคโดยทั่วไป แต่นับวันจะมีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากผู้ประกอบการผงซักฟอกหลายรายหันมาทำตลาดสูตรเข้มข้นมากขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า นอกจากนี้สูตรเข้มข้นที่มีคุณสมบัติในการสลายคราบสกปรกได้เร็วกว่าสูตรมาตรฐาน แต่ใช้ในปริมาณที่น้อยกว่ายังสามารถรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ต้องทำงานนอกบ้านมากขึ้น และมีเวลาในการซักผ้าหรือความพิถีพิถันในการซักผ้าลดลงได้อย่างเหมาะสมมากขึ้นด้วย
2.สูตรเข้มข้น (Concentrate) เป็นผงซักฟอกชนิดผงและชนิดน้ำที่มีปริมาณสารซักฟอกในปริมาณมากกว่าสูตรมาตรฐาน และยังเพิ่มสารเพิ่มแรงซัก(Bleaching Enyzme) ลงไปด้วย ซึ่งผู้บริโภคสามารถใช้ผงซักฟอกในปริมาณที่น้อยลง และลดเวลาในการซักฟอกลงด้วย ทำให้ในปัจจุบันสูตรเข้มข้นได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นตามลำดับ
นอกจากนี้หากแบ่งผงซักฟอกตามประเภทของการใช้งานแล้ว พบว่าผงซักฟอกที่วางจำหน่ายภายในประเทศจำแนกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ
1.ผงซักฟอกสำหรับซักด้วยมือ ซึ่งมีจำหน่ายทั้งสูตรมาตรฐานและสูตรเข้มข้น อีกทั้งยังมีทั้งชนิดผงและชนิดน้ำด้วย โดยสูตรมาตรฐานจะมีปริมาณฟองมากและใช้เวลาในการแช่ผ้านาน ส่วนราคาจำหน่ายสูตรมาตรฐานจะถูกกว่าสูตรเข้มข้น แต่ทั้งนี้ด้วยเหตุผลทางการตลาด ทำให้ผู้ผลิตบางรายได้ผลิตผงซักฟอกสำหรับใช้ร่วมกันได้ทั้งสำหรับซักด้วยมือและซักด้วยเครื่องซักผ้าด้วย โดยผงซักฟอกสำหรับซักผ้าด้วยมือนั้น พบว่าผู้ผลิตส่วนใหญ่มักจะชูประสิทธิภาพในการถนอมมือเพื่อไม่ให้ระคายเคืองมือขณะซักเป็นหลักควบคู่กับประสิทธิภาพด้านการขจัดคราบสกปรกและคราบฝังแน่น
2.ผงซักฟอกสำหรับใช้กับเครื่องซักผ้า ปัจจุบันมีจำหน่ายทั้งสูตรมาตรฐานและสูตรเข้มข้น ทั้งในรูปแบบของชนิดผงและชนิดน้ำ อีกทั้งยังมีการแยกผลิตภัณฑ์สำหรับใช้กับเครื่องซักผ้าทั้ง 2 แบบด้วย คือ ผงซักฟอกสำหรับเครื่องซักผ้าที่ฝาอยู่ด้านหน้า และผงซักฟอกสำหรับเครื่องซักผ้าที่ฝาอยู่ด้านบน ซึ่งจำหน่ายในระดับราคาที่แตกต่างกันไป โดยผงซักฟอกสำหรับเครื่องซักผ้าฝาหน้าจะมีราคาแพงกว่าเนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สูงกว่า เพราะผงซักฟอกสำหรับเครื่องซักผ้าชนิดนี้จะต้องเป็นผงซักฟอกที่มีปริมาณฟองน้อยเพื่อไม่ให้ฟองล้นออกมาทางด้านหน้าของเครื่อง
สำหรับสถานการณ์ภาพรวมของตลาดผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกภายในประเทศในปี 2548 พบว่าด้วยภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่สดใสเท่าที่ควรเช่นปัจจุบันเนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใดส่งผลกระทบในด้านบวกต่อเศรษฐกิจอย่างชัดเจนมากนัก ในขณะที่ปัจจัยลบกลับส่งผลกระทบอย่างชัดเจนกว่า ไม่ว่าจะเป็นระดับราคาบริการสาธารณูปโภคโดยรวมที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และระดับอัตราดอกเบี้ยของไทยที่มีแนวโน้มจะปรับตัวตามแนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของอัตราดอกเบี้ยโลก รวมถึงความผันผวนของระดับราคาน้ำมันทั้งภายในประเทศ และตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวในระดับสูงเช่นกัน โดยมีความเป็นไปได้ว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2548 สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังมีแนวโน้มทรงตัวในระดับที่สูงกว่า 60 ดอลลาห์ต่อบาร์เรล ส่งผลต่อเนื่องให้กำลังซื้อที่แท้จริงของผู้บริโภคลดลงตามมา
โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงรากหญ้า อีกทั้งยังส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าที่วัตถุดิบในการผลิตเป็นผลพลอยได้จากการกลั่นน้ำมันมีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้บรรดาผู้ประกอบการผงซักฟอกต่างต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งหลังปี 2548 อย่างเข้มข้นมากกว่าช่วงเดียวกันในปี 2547 โ
ดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการบริหารแผนการตลาดที่ดีน่าจะเป็นแนวทางสำคัญ 2 ประการในกลยุทธ์เชิงรุกที่มีบทบาทต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการในยุคค่าครองชีพแพงเช่นปัจจุบัน โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์จะเป็นแนวทางที่จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถเข้าถึงความต้องการของตลาดได้มากขึ้นและมีอำนาจกำหนดราคาเหนือคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ การเพิ่มตราผลิตภัณฑ์ การพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ อาทิเช่นความสามารถในการขจัดคราบสกปรกและคราบฝังลึกให้หลุดออกง่ายดาย ความสามารถในการป้องกันคราบสกปรกคืนสู่ใยผ้าเพื่อให้ซักผ้าขาวได้ขาวหมดจด และสามารถซักผ้าสีให้สะอาดแต่ยังคงไว้ซึ่งสีสันที่สดใส
รวมถึงการเพิ่มส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดคุณสมบัติเฉพาะ เช่น สารทำให้ผ้านุ่ม สารต้านไฟฟ้าสถิต สารที่ช่วยให้ผ้าไร้กลิ่นอับแม้ตากในที่ร่ม สารที่ช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นอับชื้นจนทำให้สามารถแช่ผ้าได้นานถึง 2-3 วันโดยไม่มีกลิ่นเหม็น รวมทั้งกลิ่นน้ำหอมที่สามารถติดทนนานในเสื้อผ้า เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคและเป็นการขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ขณะที่แผนการตลาดนั้นจะช่วยส่งเสริมการรับรู้ข้อมูลและสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ผลิตในระยะยาวด้วย
โดยเฉพาะการโฆษณาผ่านสื่อและการจัดกิจกรรมทางการตลาดที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด รวมถึงกลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management : CRM) ซึ่งเป็นการสร้างความพอใจให้แก่ลูกค้าจากการศึกษาพฤติกรรมในการใช้จ่ายและความต้องการของลูกค้าแล้วนำมาวิเคราะห์และใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ลูกค้าเกิดความภักดีต่อสินค้าของกิจการในที่สุด
ส่วนการแข่งขันทางด้านราคา และโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมนั้นก็น่าจะยังคงมีบทบาทเช่นเดิมเพื่อรองรับภาวะค่าครองชีพแพงเช่นปัจจุบัน และแม้ว่าต้นทุนการผลิตจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่การปรับขึ้นราคาสินค้าโดยตรงนั้นน่าจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ผู้ประกอบการจะนำมาดำเนินการ เพราะนอกจากกระทรวงพาณิชย์จะได้ขอความร่วมมือให้ผู้ผลิตสินค้าตรึงราคาสินค้าตั้งแต่ต้นปีแล้ว สินค้าผงซักฟอกยังเป็นสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันที่สามารถใช้ทดแทนกันได้ค่อนข้างสมบูรณ์และการแข่งขันในตลาดผงซักฟอกภายในประเทศก็ยังรุนแรงด้วย ทั้งจากบรรดาผู้ผลิตสินค้าผงซักฟอกด้วยกันเอง และบรรดาผู้ค้าปลีกรายใหญ่หรือดิสเคานท์สโตร์ที่หันมาผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเองหรือสินค้าเฮ้าส์แบรนด์(House Brand) กันมากขึ้นและมักจะจำหน่ายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าตลาดอยู่แล้ว ซึ่งหากผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งปรับขึ้นราคาก็อาจจะทำให้ผู้บริโภคหันไปบริโภคสินค้าแบรนด์อื่นทดแทน และส่งผลให้ยอดขายและส่วนแบ่งตลาดของกิจการปรับตัวลดลงได้ในที่สุด
แต่ทั้งนี้ก็พบว่าในช่วงต้นปี 2548 ผู้ประกอบการบางรายได้ดำเนินกลยุทธ์การปรับขึ้นราคาโดยอ้อมด้วยการลดปริมาณสินค้าลง แต่จำหน่ายสินค้าในราคาเดิม ทำให้ล่าสุดทางกระทรวงพาณิชย์ประกาศให้สินค้าแชมพู สบู่ และผงซักฟอกเป็นสินค้าควบคุมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2548 เป็นต้นมา จากเดิมที่เป็นสินค้าเฝ้าระวังติดตาม ทั้งนี้เพื่อควบคุมการขึ้นราคาหรือลดขนาดปริมาณสินค้าผงซักฟอกลง ทำให้การขึ้นราคาสินค้าผงซักฟอกในลักษณะดังกล่าวเป็นไปอย่างลำบากมากขึ้นเพราะผู้ผลิตจะต้องขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ก่อนจึงจะสามารถดำเนินการได้ โดยผู้ประกอบการจะต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงราคาจำหน่ายและเงื่อนไขการค้าล่วงหน้าก่อนการเปลี่ยนแปลงไม่น้อยกว่า 15 วัน อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าหากราคาน้ำมัน และต้นทุนวัตถุดิบยังคงมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมากในช่วงครึ่งหลังปี 2548 ก็มีความเป็นไปได้ว่าผู้ประกอบการอาจจะมีการปรับขึ้นราคาสินค้าในที่สุด และอาจเป็นไปได้ว่าผู้บริโภคจะหันไปซื้อผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกที่มีขนาดเล็กลงจากขนาดเดิมที่เคยบริโภคเป็นประจำด้วย
ขณะที่ในส่วนของกลยุทธ์ในเชิงรับนั้น ผู้ประกอบการต้องสรรหาแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการลดต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายต่างๆลง เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันด้วยการหันไปให้ความสำคัญต่อการวางแผนการผลิตร่วมกับซัพพลายเออร์เพื่อลดสต็อกวัตถุดิบ การรวมยอดสั่งซื้อวัตถุดิบเพื่อสร้างอำนาจในการต่อรองราคา การวางแผนการผลิตในกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน การปรับปรุงระบบลอจิสติก และระบบการจัดจำหน่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าให้เป็นไปอย่างทั่วถึงและรวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นปี 2548 จึงนับเป็นปีที่ไม่ราบรื่นนักสำหรับบรรดาผู้ประกอบการสินค้าผงซักฟอกภายในประเทศในการกำหนดกลยุทธ์ต่างๆ แต่ทั้งนี้หากผู้ประกอบการรายใดสามารถปรับตัวได้เร็วกว่าก็จะสามารถชิงความได้เปรียบไปได้ในสุด ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าสถานการณ์การแข่งขันของตลาดผงซักฟอกภายในประเทศในปี 2548 น่าจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าในขณะที่สถานการณ์การเติบโตของตลาดผงซักฟอกภายในประเทศในปี 2548 มีแนวโน้มค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว เนื่องจากการใช้ผงซักฟอกได้เข้าถึงทุกครัวเรือนและมีการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง แต่สถานการณ์การส่งออกสินค้าผงซักฟอกในปี 2548 กลับมีแนวโน้มการเติบโตที่ค่อนข้างสดใสอย่างชัดเจน โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าในปี 2548 ไทยน่าจะสามารถส่งออกผงซักฟอกคิดเป็นมูลค่าใกล้เคียง 1,000 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 (ขณะที่ปี 2547 การส่งออกผงซักฟอกของไทยเติบโตเพียงร้อยละ 6.03) ซึ่งตามรายงานของกรมเจรจาการค้า พบว่าในช่วง 7 เดือนแรกปี 2548 ไทยสามารถส่งออกผงซักฟอกเป็นมูลค่าค่อนข้างสูงมากถึง 576.7 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 72.66 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2547
โดยตลาดส่งออกหลักคือตลาดอาเซียนที่คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 78.3 ของมูลค่าการส่งออกผงซักฟอกของไทยโดยรวมในช่วงเวลาดังกล่าว และคิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมาเลเซียนับเป็นประเทศในอาเซียนที่ไทยส่งออกผงซักฟอกไปมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 46.1 ของมูลค่าการส่งออกผงซักฟอกของไทยไปยังตลาดอาเซียนโดยรวมในช่วงเวลาดังกล่าว ตามมาด้วยกัมพูชา(สัดส่วนร้อยละ19.8) ลาว(สัดส่วนร้อยละ 16.4) และเวียดนาม(สัดส่วนร้อยละ 9.8) ส่วนตลาดส่งออกรองลงมาคือตลาดเอเชียตะวันออกในสัดส่วนร้อยละ 20.5 ของมูลค่าการส่งออกผงซักฟอกของไทยโดยรวมในช่วง 7 เดือนแรกปี 2548 ด้วยระดับการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,407.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
โดยไทยส่งออกไปยังญี่ปุ่นมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.4 ของมูลค่าการส่งออกผงซักฟอกของไทยไปยังตลาดเอเชียตะวันออกโดยรวมในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนฮ่องกง ไต้หวัน และจีนมีสัดส่วนร้อยละ 39.7 ร้อยละ 7.0 และร้อยละ 0.88 ของมูลค่าการส่งออกผงซักฟอกของไทยไปยังตลาดเอเชียตะวันออกโดยรวมในช่วงเวลาดังกล่าวตามลำดับ ทั้งนี้จากแนวโน้มความต้องการของตลาดในต่างประเทศที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ประกอบกับตลาดภายในประเทศที่เข้าสู่ภาวะอิ่มตัว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าบรรดาผู้ผลิตผงซักฟอกหลายรายในเมืองไทยต่างจะต้องเร่งขยายกำลังการผลิตอย่างแน่อน เพราะการที่ผู้ผลิตมีการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น ย่อมก่อให้เกิดความได้เปรียบต่อขนาด และคุ้มค่าต่อการลงทุนในเครื่องจักรและแรงงานยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่กำไรต่อหน่วยที่เพิ่มมากขึ้นในที่สุด
ดังนั้น สถานการณ์การส่งออกผงซักฟอกของไทยในปี 2548 จึงน่าจะมีแนวโน้มที่ค่อนข้างสดใสอย่างแน่นอน โดยตลาดอาเซียนยังน่าจะเป็นตลาดที่สำคัญของไทยเช่นเดิม โดยเฉพาะลาว เวียดนาม และกัมพูชาที่น่าจะก้าวขึ้นมามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เนื่องจากผงซักฟอกนับเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ประเทศดังกล่าวยังต้องการอีกมาก นอกจากนี้การเร่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในแถบนี้จะส่งผลให้ประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งรวมทั้งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเกื้อหนุนต่อการขยายตลาดผงซักฟอกของไทยในประเทศแถบดังกล่าว
สำหรับการเปิดเกมบุกในตลาดต่างประเทศนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าผู้ประกอบการแต่ละรายจะต้องพยายามมองหาจุดอ่อนและจุดแข็งที่แท้จริงของกิจการเพื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่างจริงจัง ควบคู่กับกระตุ้นการดำเนินกลยุทธ์การตลาดอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นยิ่งขึ้น โดยอาศัยส่วนผสมทางการตลาดหลายๆรูปแบบเข้าด้วยกัน อีกทั้งผู้ประกอบการควรเร่งศึกษาและวิจัยความต้องการและพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียดและต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเลือกใช้กลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสมท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่คาดว่าจะทวีความเข้มข้นเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอนในยุคที่ตัวแปรที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคมีทั้งที่สามารถคาดการณ์ได้และไม่สามารถคาดการณ์ได้เพิ่มมากขึ้นตามลำดับในตลาดโลก
บทสรุป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าท่ามกลางภาวะตลาดที่อิ่มตัวของตลาดผงซักฟอกภายในประเทศ แต่ดีกรีความรุนแรงของการแข่งขันน่าจะมีแนวโน้มทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน อันเนื่องมาจากปัจจัยด้านต้นทุนการผลิตโดยรวมที่เพิ่มขึ้น ผู้บริโภคมีความรู้และความต้องการมากขึ้น อีกทั้งพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคภายในประเทศในปี 2548 ก็เป็นไปในลักษณะของการประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น รวมถึงคู่แข่งแต่ละรายต่างก็มีการวางแผนการตลาดกันอย่างเข้มข้นมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคที่ไม่มีความภักดีต่อตราสินค้าหรือยี่ห้อ (Brand Loyalty) สามารถเปลี่ยนไปซื้อยี่ห้อสินค้าอื่นที่ผู้บริโภคเห็นว่าคุ้มค่ากว่าได้เสมอ (Switching Brand) ทำให้ผู้ผลิตหลายค่ายต่างต้องปรับตัวทั้งเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อปกป้องส่วนแบ่งการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์เพื่อสร้างภาพลักษณ์และความภักดีในตราสินค้า การโฆษณาที่แปลกใหม่ รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพราะการสร้างนวัตกรรมใหม่เพียงอย่างเดียวไม่น่าจะเพียงพอต่อการทำตลาดผงซักฟอกนับจากนี้แล้ว
ขณะที่ในส่วนของภาวะตลาดต่างประเทศนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าสถานการณ์ตลาดผงซักฟอกส่งออกโดยภาพรวมในปี 2548 น่าจะมีแนวโน้มที่ค่อนข้างสดใส เพราะนอกจากความต้องการโดยเฉพาะในตลาดเพื่อนบ้านอย่างลาว เวียดนาม และกัมพูชา รวมถึงประเทศในแถบเอเชียตะวันออกด้วยที่ยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกแล้ว ผู้ประกอบการตลาดผงซักฟอกในไทยหลายรายมีนโยบายบุกตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะการแข่งขันและภาวะตลาดอิ่มตัวภายในประเทศ อีกทั้งผู้ประกอบการบางรายที่เป็นบริษัทร่วมทุนในระดับโลกยังได้ถูกวางตัวให้เป็นศูนย์กลางการผลิตผงซักฟอกในส่วนภูมิภาคด้วย จึงมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตอันใกล้ตลาดส่งออกผงซักฟอกของไทยน่าจะก้าวขึ้นมามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอนสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตผงซักฟอกโดยรวมของไทย


