เหตุการณ์แผ่นดินไหวในปากีสถาน อินเดีย และอัฟกานิสถาน วันที่ 8 ตุลาคม 2548 ทำให้ปากีสถานได้รับความเสียหายสูงสุด คาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมดประมาณ 30,000 ราย รวมทั้งผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะเมืองมูซัฟฟาราบัด เมืองเอกของแคว้นแคชเมียร์ ดินแดนปกครองของปากีสถาน บรรดาอาคาร/สิ่งก่อสร้างกว่า 70% ของเมืองมูซัฟฟาราบัดได้รับความเสียหาย รวมทั้งกรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของปากีสถาน นับว่าเป็นความหายนะทางธรรมชาติครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของปากีสถาน นับตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวในปี 2478 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 60,000 คน
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่ประสบเหตุแผ่นดินไหวไม่ใช่เมืองสำคัญทางธุรกิจของประเทศ เมืองสำคัญทางเศรษฐกิจของปากีสถาน ได้แก่ เมืองการาจี (Karachi) ซึ่งเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางเศรษฐกิจทางใต้ของประเทศ และเมืองละฮอร์ (Lahore) ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางทางธุรกิจ อุตสาหกรรมทางเหนือของประเทศ ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ จึงคาดว่าความเสียหายจากแผ่นดินไหวไม่น่าจะกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของปากีสถานมากนัก อย่างไรก็ตาม ความเสียหายของเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่องบประมาณค่าใช้จ่ายของประเทศ และก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมที่รัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไข ดังนี้
– ขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น – ภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวครั้งนี้คาดว่าจะทำให้ปากีสถานต้องใช้งบประมาณของประเทศจำนวนมากเป็นค่าใช้จ่ายในการบูรณะสิ่งก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ ไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีงานทำ แม้ว่าจะมีเงินช่วยเหลือจากองค์การระหว่างประเทศ ได้แก่ องค์การสหประชาชาติ ธนาคารโลก และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) และเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี และรัสเซีย แต่คาดว่าค่าใช้จ่ายในการบรรเทาภัยพิบัติจาก เหตุแผ่นดินไหวจะทำให้งบประมาณของปากีสถานขาดดุลเพิ่มมากขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 3.3% ของ GDP ในปี 2548 และ 3.8% ของ GDP ในปี 2549 เทียบกับยอดขาดดุล 2.3% ของ GDP ในปี 2547 เนื่องจากปากีสถานใช้นโยบายขาดดุลด้านการคลังเพื่อพัฒนาประเทศ
– ปัญหาทางสังคม – การที่ประชาชนจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบจากภัยแผ่นดินไหวครั้งนี้ต้องอพยพไปอยู่เมืองอื่นๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง อาจทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัย การว่างงาน ก่อให้เกิดแหล่งชุมชนแออัด และปัญหาสุขอนามัยตามมา ซึ่งจะซ้ำเติมให้การแก้ไขปัญหาความยากจนของปากีสถานยุ่งยากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ประชาชนปากีสถานราว 1 ใน 3 ของประชากรปากีสถานทั้งหมด 155 ล้านคน จัดเป็นกลุ่มประชาชนที่มีฐานะยากจน (ต่ำกว่าระดับ poverty line ขององค์การสหประชาชาติ) และจากการจัดอันดับด้านการพัฒนาประชากร (Human Development) ขององค์การสหประชาชาติ พบว่าปากีสถานจัดอยู่ในอันดับที่ 135 จากทั้งหมด 177 ประเทศ ดังนั้นปากีสถานยังคงมีความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและมีระดับการกระจายรายได้ของประชาชนที่ไม่เท่าเทียมกัน เพราะชนชั้นกลางของปากีสถานซึ่งมีอำนาจซื้อค่อนข้างสูงราว 30 ล้านคน มีรายได้ประมาณ 8,000-10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี ในขณะที่ประชาชนอีกราว 50 ล้านคน ที่มีฐานะยากจน มีรายได้ประมาณ 300-400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี
เศรษฐกิจปากีสถาน 2548-2549
ปากีสถานเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในเอเชียใต้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยมีอัตราเฉลี่ยราว 6% ต่อปี ในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของปากีสถานเติบโต 6.4% เป็นอันดับที่ 5 ของเอเชีย รองจากจีน สิงคโปร์ ฮ่องกง และอินเดีย เนื่องจากความต้องการบริโภคภายในประเทศอยู่ในระดับสูง สำหรับในปีนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของปากีสถานอาจเติบโต (Real GDP) ประมาณ 7.4% ในปี 2548 แม้ว่าจะมีปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจปากีสถานไม่มากนักในปีนี้ เนื่องจากเป็นช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ประกอบกับความช่วยเหลือจากนานาชาติอาจช่วยบรรเทาภาวะวิกฤตลงในระดับหนึ่ง
– ปัจจัยเกื้อหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของปากีสถานปี 2548
– – ภาคเกษตรกรรม – ภาคเกษตรกรรมของปากีสถานเติบโตต่อเนื่องจากปี 2547 เนื่องจากการขยายตัวของการผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญของปากีสถาน ได้แก่ ฝ้าย ซึ่งมีอัตราการขยายตัว 45.5% ข้าวสาลี เพิ่มขึ้น 8.3% และข้าวขยายตัว 2.9% เป็นต้น
– – ภาคอุตสาหกรรม – ภาคอุตสาหกรรมยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปี 2547 โดยการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ สิ่งทอ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ซีเมนต์ และปุ๋ย รวมถึงภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ขยายตัวจากการก่อสร้างที่อยู่อาศัย และโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ
– – ภาคบริการ – ภาคบริการมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจปากีสถานโดยคิดเป็นสัดส่วน 52.4% ของ GDP ซึ่งมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการเติบโตของภาคการเงิน การค้าส่งและค้าปลีก และบริการโทรคมนาคม
– – การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ – ปากีสถานดำเนินนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ โดยใช้นโยบายเปิดเสรีทางการค้า ลดกฎเกณฑ์/กฎระเบียบต่างๆ และการ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ทำให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง ดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้ามาในปากีสถานมากกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2547 เทียบกับ 5-6 ปีที่ผ่านมาที่เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำ
– ข้อพึงระวัง : ภาคการค้าระหว่างประเทศ & ขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด
– – ปัจจัยจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและความต้องการภายในประเทศที่สูง ทำให้การนำเข้าของปากีสถานเพิ่มขึ้น 32.3% (มูลค่านำเข้า 20,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในระหว่างเดือนกรกฎาคม 2547 – มิถุนายน 2548 ขณะที่การส่งออกในช่วงเดียวกันของปากีสถานเพิ่มขึ้น 17% (มูลค่าส่งออก 14,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ส่งผลให้ดุลการค้าของปากีสถานขาดดุลเพิ่มขึ้น 3 เท่า เป็น 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงกรกฎาคม 2547 – มิถุนายน 2548
– – ดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงเดือนกรกฎาคม 2547 – มิถุนายน 2548 ขาดดุล 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (คิดเป็น 1.4% ของ GDP) หลังจากเกินดุลมา 3 ปีติดต่อกัน ดุลบริการขาดดุลเพิ่มขึ้น 152% มูลค่าขาดดุลภาคบริการ 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากค่าขนส่งทางทะเลที่สูงขึ้นมาก
ในปี 2549 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของปากีสถานยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยขยายตัว 6.5% ในปี 2549 ซึ่งปรับตัวลดลงจาก 7.4% ในปี 2548 เนื่องจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การส่งออกของปากีสถานอาจชะลอตัวลง ขณะที่การนำเข้ายังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากความต้องการภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ดี ทำให้ดุลการค้าขาดดุลเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าการเติบโตภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาจชะลอตัวลง เนื่องจากความต้องการสินค้าจากต่างประเทศมีแนวโน้มลดความร้อนแรงลงในปี 2549 เป็นผลพวงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ส่วนภาคบริการคาดว่ายังคงเข้มแข็งในภาคโทรคมนาคม ภาคการธนาคาร และการก่อสร้าง ทั้งนี้ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.3% ของ GDP เนื่องจากราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ ดุลการค้าและดุลบริการขาดดุลเพิ่มขึ้น
นโยบาย Look East ของปากีสถาน & ความสัมพันธ์กับไทย
ปากีสถานใช้นโยบาย “Look East Policy” คือ เสริมสร้างความสัมพันธ์กับเอเชียมากขึ้น เพื่อกระตุ้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมทั้งส่งเสริมการค้าและการลงทุนกับประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในเดือนพฤษภาคม 2548 นายกรัฐมนตรีชอกัต อาซิซ ของปากีสถานได้ เดินทางเยือนประเทศอาเซียน 4 ประเทศอย่างเป็นทางการ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย บรูไน และสิงคโปร์ โดยปากีสถานกับมาเลเซียได้ลงนามความตกลงทางการค้าซึ่งจะพัฒนาไปสู่การจัดทำ FTA ระหว่างกันต่อไป ส่วนไทยกับปากีสถานตกลงที่จะศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำ FTA ซึ่งการจัดทำ FTA ถือเป็นหนึ่งในนโยบายทางเศรษฐกิจของปากีสถานที่ต้องการ ผลักดันการจัดทำ FTA กับประเทศเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศ
การค้าไทยกับปากีสถาน – ไทยกับปากีสถานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันการที่ผู้นำทั้งสองเห็นชอบให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำเขตการค้าเสรี คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้การค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้น แม้ว่าปัจจุบันมูลค่าการค้าไทย-ปากีสถาน (ส่งออก+ นำเข้า) ค่อนข้างน้อย (ไม่ถึง 1% ของการค้าระหว่างประเทศของไทยทั้งหมด) แต่มูลค่าการค้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับปากีสถานมาโดยตลอด ทั้งนี้ ปากีสถานเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ รองจากอินเดีย ในปี 2547 มูลค่าการค้าไทย-ปากีสถานราว 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่มูลค่าการค้าไทย-อินเดียในปี 2547 ราว 2,050 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2548 ไทยส่งออกไปปากีสถานเพิ่มขึ้น 40% จาก 275.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปี 2547 เป็น 386.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่การ นำเข้าเพิ่มขึ้น 63% จาก 38.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปี 2547 เป็น 63.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และไทยเกิน ดุลการค้ากับปากีสถานเพิ่มขึ้นจาก 236.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2547 เป็น 323 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่งเสริมการท่องเที่ยว – แม้ว่าปากีสถานเป็นประเทศมุสลิม แต่มีโบราณสถานทางพุทธศาสนาจำนวนมาก โดยเฉพาะที่เมืองตักศิลา ตอนเหนือของประเทศ ปากีสถานจึงมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ จึงต้องการร่วมมือกับไทยในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในลักษณะดังกล่าว ล่าสุดต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีปากีสถานได้แวะหารือกับนายกรัฐมนตรีของไทยระหว่างการเดินทางกลับปากีสถาน โดยขอให้ไทยส่งผู้เชี่ยวชาญไปขุดค้นประวัติศาสตร์ที่เมืองตักศิลาซึ่งเกี่ยวกับประวัติพระพุทธเจ้า และต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางพุทธศาสนา ซึ่งที่ผ่านมาไทยได้ให้ความร่วมมือด้านการช่วยเหลือทางวิชาการแก่ปากีสถาน ถือเป็นสัญญาณความร่วมมือที่ดีระหว่างเมืองพุทธและอิสลามทั้งด้านการส่งเสริมท่องเที่ยวและด้านการเผยแพร่พระพุทธศาสนา คาดว่าไทยและปากีสถานจะขยายความร่วมมือด้านท่องเที่ยวระหว่างกันมากขึ้น และจะทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวไป-มาระหว่างไทยกับปากีสถานมากขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2547 มีชาวปากีสถานเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยจำนวน 37,633 คน เพิ่มขึ้น 21.8% นับว่าปากีสถานเป็นประเทศในเอเชียใต้ที่เดินทางมาไทยมากเป็นอันดับ 3รองจากอินเดียและบังคลาเทศ โดยคิดเป็นสัดส่วน 8% ของจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศในเอเชียใต้ทั้งหมดที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยที่มีจำนวนรวม 468,316 คนในปีที่ผ่านมา สำหรับช่วง 3 เดือนแรกของปี 2548 ชาวปากีสถานเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย 8,530 คน เพิ่มขึ้น 2.8% จากช่วงเดียวกันของปี 2547
สำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปปากีสถานในปี 2547 เพิ่มขึ้น 23.26% จาก 1,754 คน ในปี 2546 เป็น 2,162 คน ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเอเชียใต้ที่คนไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวรองจากอินเดีย ศรีลังกา เนปาล บังคลาเทศ ตามลำดับ โดยคิดเป็นสัดส่วน 4.27% ของนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปเอเชียใต้ทั้งหมดซึ่งมีจำนวนรวม 50,548 คน ส่วนช่วง 3 เดือนแรกของปี 2548 นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปปากีสถานเพิ่มขึ้น 19.5% จาก 446 คน ในช่วงเดียวกันปี 2547 เป็น 533 คน
– เหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิถล่มประเทศไทย อินโดนีเซียและอินเดียในเดือนธันวาคม 2547 ให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากภัยธรรมชาติในภูมิภาคอื่นๆ เช่น พายุถล่มในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง และล่าสุดเกิดโคลนถล่มในกัวเตมาลา และแผ่นดินไหวในปากีสถาน อินเดียและอัฟกานิสถาน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากเป็นสัญญาณเตือนภัยให้ชาวโลกอยู่ด้วยความไม่ประมาท และเตรียมพร้อมรับกับเหตุการณ์ทางธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถกำหนดได้


