เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2548 เวลาประมาณ 13.00 น. ตามเวลาในสหรัฐฯ ประธานาธิบดีจอร์ช ดับเบิ้ลยู บุช ของสหรัฐฯ ได้ประกาศเสนอชื่อนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของทำเนียบขาว ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แทนนายอลัน กรีนสแปน ซึ่งจะหมดวาระลงในวันที่ 31 มกราคม 2549 ทั้งนี้ ในวันที่ 24-25 ตุลาคมที่ผ่านมา ตลาดเงินและตลาดทุนสหรัฐฯมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อข่าวดังกล่าวในทิศทางที่ค่อนข้างจะหลากหลาย โดย
– ตลาดเงิน : ในช่วง 2 วัน (วันที่ 24-25 ตุลาคม) เงินดอลลาร์ฯปรับตัวอ่อนค่าลงต่อเนื่องประมาณ 0.81% และ 1.35% เมื่อเทียบกับเงินเยนและเงินยูโร ตามลำดับ จากระดับปิดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม
– ตลาดทุน : ตลาดหุ้นสหรัฐฯตอบรับข่าวนี้ในเชิงบวกในวันที่ 24 ตุลาคม โดยดัชนีหุ้น Dow Jones ปิดปรับขึ้น 169.78 จุด ดัชนีหุ้น Nasdaq ปิดปรับขึ้น 33.62 จุด และดัชนีหุ้น S&P 500 ปิดปรับขึ้น 19.79 จุด แต่แรงขายทำกำไรทางด้านเทคนิคก็ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดลดลงในวันที่ 25 ตุลาคม โดยดัชนีหุ้น Dow Jones, Nasdaq และ S&P 500 ปิดลดลงจากวันที่ 24 ตุลาคม 7.13, 6.38 และ 2.84 จุด ตามลำดับ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 2 และ 10 ปี มีระดับสูงขึ้นต่อเนื่องในวันที่ 24-25 ตุลาคม เทียบกับวันที่ 21 ตุลาคม ประมาณ 0.12% และ 0.14% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีข้อคิดเห็นต่อข่าวการเสนอชื่อประธานเฟดคนใหม่ และปฏิกิริยาตอบสนองของตลาดเงินและตลาดทุนสหรัฐฯ ดังต่อไปนี้ :-
– ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ปฏิกิริยาตอบสนองของตลาดเงินและตลาดทุนสหรัฐฯที่ออกมาในทิศทางที่ค่อนข้างหลากหลาย (แม้อาจจะไม่ได้เป็นเพราะปัจจัยการเสนอชื่อประธานเฟดคนใหม่เพียงปัจจัยเดียวก็ตาม) อาจเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนว่าตลาดมีความกังวลหรือไม่มั่นใจต่อจุดยืนของประธานเฟดคนใหม่ว่าจะดำเนินนโยบายการเงินโดยโน้มเอียงไปที่เป้าหมายใดมากกว่ากันระหว่างเป้าหมายการรักษาเสถียรภาพของอัตราเงินเฟ้อและเป้าหมายการขยายตัวของเศรษฐกิจซึ่งจะสนับสนุนให้อัตราการว่างงานมีระดับต่ำ โดยจากการที่นายเบอร์นันเก้เป็นประธานที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลบุช ทำให้ตลาดมองว่า นายเบอร์นันเก้อาจมีความโน้มเอียงที่จะให้น้ำหนักกับเป้าหมายการขยายตัวของเศรษฐกิจมากกว่า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เฟดก็อาจจะหยุดนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่เข้มงวดมากขึ้นด้วยจังหวะเวลาที่เร็วกว่าที่คาดไว้เดิม ดังนั้น เงินดอลลาร์ฯจึงตอบรับข่าวนี้ในทิศทางที่อ่อนค่าลง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯตอบรับข่าวนี้ในเชิงบวก ด้านตลาดพันธบัตรสหรัฐฯกลับเลือกรับข่าวนี้ด้วยแง่มุมที่ต่างออกไปโดยมองว่าการที่นายเบอร์นันเก้เคยระบุว่าเขาไม่มีความวิตกมากนักต่อภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐฯ (ต่างกับความเห็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดท่านอื่นๆ) ทำให้ตลาดตีความว่านายเบอร์นันเก้อาจจะไม่สนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงเพื่อสกัดกั้นแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อ ประกอบกับ การที่นายเบอร์นันเก้เป็นผู้สนับสนุนนโยายการเงินตามกรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วน่าจะเป็นผลดีต่อการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ แต่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯกลับเลือกให้น้ำหนักกับข้อวิจารณ์ที่มีต่อการทำ Inflation Targeting ในประเด็นที่ว่าการดำเนินนโยบายในลักษณะดังกล่าวพึ่งพิงข้อมูลเงินเฟ้อในอดีต ซึ่งอาจทำให้มีความคลาดเคลื่อนในการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ทำให้การประมาณแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้ามักจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง นอกจากนี้ ตลาดยังมีความไม่มั่นใจหากประธานเฟดคนใหม่จะนำนโยบาย Inflation Targeting มาใช้ เพราะจะมีความแตกต่างไปจากนโยบายของนายกรีนสแปนที่แม้จะมีกรอบอัตราเงินเฟ้อในการดำเนินนโยบายการเงิน แต่นายกรีนสแปนก็จะหลีกเลี่ยงการกำหนดกรอบอัตราเงินเฟ้อออกมาเป็นตัวเลขที่ชัดเจนลงไป เพราะต้องการให้เฟดมีความยืดหยุ่นโดยเฉพาะหากมีการเปลี่ยนแปลงของประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) ในระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ
– ในระยะสั้นแล้ว การที่นายกรีนสแปนจะยังคงอยู่ในตำแหน่งประธานเฟดสำหรับการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee) ในอีก 3 รอบการประชุม (1 พฤศจิกายน 2548, 13 ธันวาคม 2548 และ 31 มกราคม 2549) รวมทั้ง การที่นายเบอร์นันเก้ระบุว่าจะยังคงรักษาความต่อเนื่องด้านนโยบายของนายกรีนสแปนไว้ ตลอดจน การที่เฟดน่าจะอยากให้การปรับตัวของตลาดเงินและตลาดทุนเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่ผันผวนจนเกินไปในช่วงการเปลี่ยนผ่านของตำแหน่งประธานเฟด ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟดในระยะ 3 เดือนข้างหน้า คงจะมีทิศทางที่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากการคาดการณ์เดิมของตลาดที่คาดว่าเฟดจะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็คงจะส่งผลตามมาให้ตลาดเงินและตลาดทุนของสหรัฐฯหันกลับมาให้น้ำหนักกับประเด็นแวดล้อมทางเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ ข้อมูลเศรษฐกิจหลักต่างๆ ของสหรัฐฯ โดยที่ตลาดก็คงจะยังจับตาท่าทีหรือมุมมองของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดอย่างใกล้ชิดต่อไป
– สำหรับในระยะปานกลางและระยะยาวนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า นอกเหนือจากปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศแล้ว แนวโน้มการปรับตัวของตลาดเงินและตลาดทุนของสหรัฐฯ คงจะขึ้นอยู่กับ การสร้างความน่าเชื่อถือในนโยบายหรือจุดยืนของประธานเฟดคนใหม่ว่าจะสามารถนำพาให้เฟดเป็นสถาบันที่มีความโปร่งใสและมีอิสระจากการแทรกแซงทางการเมืองได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งคงจะต้องใช้เวลาอีกยาวนานในการพิสูจน์บทบาทของประธานเฟดคนใหม่นี้ว่าจะตอบสนองต่อวัฏจักรธุรกิจในแต่ละรอบ, ประเด็นเศรษฐกิจสำคัญ ตลอดจนแรงกดดันทางการเมือง (อาทิ ประเด็นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินหยวนของจีน เป็นต้น) ในทิศทางเช่นไร เฉกเช่นเดียวกับการเข้ามารับตำแหน่งนี้ของประธานเฟดท่านก่อนๆ ที่ต้องอาศัยเวลาไม่น้อยกว่าที่ตลาดจะให้การยอมรับและไว้วางใจในการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ดังนั้น ในช่วงระหว่างกาล ทิศทางตลาดเงินและตลาดทุนของสหรัฐฯอาจมีแนวโน้มที่จะปรับตัวในลักษณะค่อนข้างอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็คงจะหลีกไม่พ้นที่ตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย จะได้รับอิทธิพลจากการปรับตัวดังกล่าวไปด้วย


