ผู้นำ 5 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า ไทย และเวียดนาม มีกำหนดหารือกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิระวดี เจ้าพระยา แม่โขง (Ayeyawady – Chao Phraya – Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ในวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2548 ณ ประเทศไทย ซึ่งเป็นการหารือระดับผู้นำครั้งที่ 2 นับตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกลุ่ม ACMECS ในเดือนพฤศจิกายน 2546
โดยความริเริ่มของประเทศไทยที่ต้องการพัฒนาความร่วมมือเพื่อยกระดับความเจริญทางเศรษฐกิจร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาพร้อมๆ กับไทย ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับกลุ่มอาเซียนที่ต้องการลดความ เหลื่อมล้ำของระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกใหม่อาเซียน ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม กับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ (ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน)
เมื่อเริ่มก่อตั้งกลุ่ม ACMECS มีสมาชิก 4 ประเทศ และเวียดนามได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเพิ่มอีก 1 ประเทศ ในเดือนพฤษภาคม 2547 นับว่า กลุ่ม ACMECS เป็นกลุ่มความร่วมมือ อนุภูมิภาคที่มีประชากรรวมกัน 5 ประเทศ ราว 215 ล้านคน (ราว 43% ของประชากรทั้งหมดของอาเซียน) และพื้นที่รวมกันราว 1.906 ล้านตารางกิโลเมตร
ยุทธศาสตร์ ACMECS
? ส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามแนวชายแดนของประเทศสมาชิก
? สนับสนุนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการเคลื่อนย้ายภาคอุตสาหกรรม การเกษตรและการผลิตไปยังบริเวณที่มีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (comparative advantage)
? สร้างโอกาสในการจ้างงาน ลดความแตกต่างของรายได้ ส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่ง ร่วมกันอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันกลุ่ม ACMECS มีความร่วมมือ 6 ด้าน โดยการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่ม ACMECS ในเดือนสิงหาคม 2548 ไทยเสนอให้เพิ่มสาขาความร่วมมือของกลุ่ม ACMECS อีกหนึ่งด้าน คือ ด้านสาธารณสุข จากเดิมที่มีความร่วมมือ 5 ด้าน ได้แก่ การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน ความร่วมมือทางด้านเกษตรและอุตสาหกรรม การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม การท่องเที่ยว และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
การดำเนินงานความร่วมมือของ ACMECS
สาขาความร่วมมือ และ การดำเนินงาน
1. การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน
– ไทยยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรบางรายการให้กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม เช่น มันฝรั่ง ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เมล็ดละหุ่ง ไม้ยูคาลิปตัส และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ และลูกเดือย
– ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งตลาดค้าส่งสำหรับส่งออกตามชายแดน
– ให้เงินช่วยเหลือทั้งในรูปเงินให้เปล่า และเงินกู้โดยมีเงื่อนไขผ่อนปรน
2. ความร่วมมือด้านเกษตรและ อุตสาหกรรม
– จัดทำ contract farming สำหรับสินค้าเกษตร
3. การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม
– ร่วมมือโครงการก่อสร้างถนนและสะพานเชื่อมประเทศสมาชิก ACMECS
– ศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มเส้นทางระหว่างประเทศสมาชิก ACMECS กับประเทศใกล้เคียง เช่น จีนและอินเดีย
4. การท่องเที่ยว
– โครงการ “Five Countries One Destination”
– อำนวยความสะดวกการเดินทาง เช่น การใช้วีซ่าร่วมกัน (ACMECS Single Visa)
5. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
– จัดหลักสูตรอบรมเกี่ยวกับความร่วมมือของ ACMECS ด้านต่างๆ
– ให้ทุนการศึกษาสำหรับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย
6. ความร่วมมือด้านสาธารณสุข
– ร่วมมือป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคระบาดร้ายแรง โดยเฉพาะโรคไข้หวัดนก
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เห็นว่า การดำเนินงานความร่วมมือของกลุ่ม ACMECS จะก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศสมาชิกในกลุ่ม รวมทั้งไทย ดังนี้
1. ส่งเสริมการค้าภายในกลุ่ม ACMECS & ยกระดับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม – ประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนามยังมีความเจริญทางเศรษฐกิจต่างจากไทยค่อนข้างมาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของลาวมีมูลค่า 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กัมพูชา 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พม่า 8.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเวียดนาม 45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ GDP ของไทย 163.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้รายได้ต่อหัวต่อปีของประชากรกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนามยังอยู่ในระดับต่ำกว่าของคนไทยค่อนข้างมาก ประชากรพม่า กัมพูชา ลาว และเวียดนามมีรายได้ต่อคนต่อปีอยู่ในระดับ 177, 325, 402, 550 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ ในขณะที่รายได้ของประชากรไทยต่อคนต่อปีประมาณ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ
การดำเนินโครงการความร่วมมือของกลุ่ม ACMECS จะก่อให้เกิดการกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจจากไทยไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ดังนี้
– สนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศเพื่อนบ้าน – การที่ไทย ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรหลายรายการจากกัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด มันฝรั่ง และไม้ยูคาลิปตัส จะทำให้สินค้าเกษตรจากประเทศเหล่านี้แข่งขันกับสินค้าของประเทศอื่นในตลาดไทยได้มากขึ้น เป็นผลดีต่อประเทศเพื่อนบ้านในการส่งออกสินค้าเกษตรมาไทย สร้างรายได้เข้าประเทศและประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน เป็นการส่งเสริมให้การค้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับไทยเข้าสู่ระบบการค้าสากลมากขึ้น นอกจากนี้ การลดภาษีสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปและสินค้าอุตสาหกรรมของไทย เป็นผลดีต่อไทย เพราะทำให้ต้นทุนการผลิตของไทยต่ำลง
– โครงการ Contract Farming ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรของกลุ่ม ACMECS ทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรในการผลิตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ การสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปร่วมส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรกับประเทศเพื่อนบ้านและรับซื้อสินค้าเกษตรเหล่านั้น จากประเทศเพื่อนบ้านในราคายุติธรรมในระบบ Contract Farming และส่งออกสินค้ามาไทยโดยได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรจากไทย ทำให้เกิดการผลิตสินค้าโดยมีต้นทุนต่ำ เพราะค่าแรงและต้นทุนการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านต่ำกว่าไทย เช่น จังหวัดอุบลราชธานีของไทย ร่วมมือกับแขวงจำปาสักและแขวงสาละวันของลาว ตกลงทำ Contract Farming โดยจังหวัดอุบลราชธานีซื้อสินค้าเกษตรจากลาว 7 รายการ ซึ่งยกเว้นภาษีนำเข้าให้ลาว ได้แก่ กะหล่ำปลี กล้วยน้ำว้า เม็ดละหุ่ง ถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วลิสง และมะขามเปียก มูลค่ารวม 800 ล้านบาท
ไทยจะได้รับประโยชน์จากการนำเข้าวัตถุดิบราคาถูก มีหลักประกันในด้านปริมาณสินค้าเกษตรที่ใช้เป็นวัตถุดิบที่แน่นอน และลดปัญหาจากการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายเข้าไทย ขณะเดียวกัน ส่งผลดีต่อประเทศเพื่อนบ้านจากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรของประเทศเพื่อนบ้าน
ในการประชุม ACMECS ครั้งนี้ ไทยจะเสนอให้ประเทศเพื่อนบ้านปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น มันสำปะหลัง และอ้อย ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ไทยจะรับซื้อสำหรับใช้ผลิตพลังงานชีวภาพในไทย เป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างรายได้ให้เกษตรกรของประเทศเพื่อนบ้าน
2. ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวภายในภูมิภาค – โครงการใช้วีซ่าร่วมกันของกลุ่ม ACMECS (ACMECS Single Visa) เป็นการอำนวยความสะดวกกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในภูมิภาค และโครงการ “Fives Countries One Destination” เป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติจากการโปรโมตสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์/จุดเด่นของแต่ละประเทศเข้าด้วยกัน เช่น ทัวร์วัฒนธรรมที่รวมแหล่งวัฒนธรรมของแต่ละประเทศไว้ในโปรแกรมเดียวกัน รวมทั้งส่งเสริมการเดินทางไป-มาระหว่างกันของนักท่องเที่ยวภายในภูมิภาค ACMECS จากการออกใบผ่านแดนสำหรับนักท่องเที่ยว (Tourist Border Pass) คาดว่าความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว และโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกลุ่ม ACMECS จะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้มากขึ้น รวมทั้งกระตุ้นให้การเดินทางท่องเที่ยวภายในภูมิภาคมากขึ้นด้วย
ในปี 2547 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังประเทศสมาชิกกลุ่ม ACMECS รวมกัน 17,272,204 คน เพิ่มขึ้น 11.56% จาก 14,445,234 คนในปี 2546 หลังจากที่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศสมาชิก ACMECS ในปี 2546 ลดลงราว 5% จากปี 2545 เนื่องจากในช่วงต้นปี 2546 เกิดโรคระบาดซาร์ ทำให้นักท่องเที่ยวชะลอการเดินทางท่องเที่ยว ส่วนนักท่องเที่ยวของกลุ่ม ACMECS ที่เดินทางไป-มาภายในกลุ่มกันเองในปี 2547 มีจำนวน 1,352,636 คน
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศสมาชิก ACMECS
ประเทศ 2547 2546 % เปลี่ยนแปลง
2547/2546 2545 % เปลี่ยนแปลง2546/2545
ไทย 11,737,413 10,082,109 16.42 10,872,976 -7.27
เวียดนาม 2,927,873 2,428,735 20.55 2,627,988 -7.58
กัมพูชา 1,055,202 701,014 50.53 786,524 -10.87
ลาว 894,806 636,361 40.61 735,662 -13.50
พม่า 656,910 597,015 10.03 217,212 174.80
รวม 17,272,204 14,445,234 11.56 15,240,362 -5.21
ที่มา : ASEAN Secretariat
3. พัฒนาเส้นทางขนส่งสินค้าสะดวกขึ้น – หากพิจารณาจากที่ตั้งของประเทศไทย ถือว่าไทยเป็นศูนย์กลางของอินโดจีน โดยมีชายแดนติดกับพม่า ลาว และกัมพูชา ซึ่งไทยจะได้ประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าในภูมิภาค การร่วมมือในกลุ่ม ACMECS ที่มีโครงการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน และเส้นทางคมนาคมในประเทศเพื่อนบ้าน จะอำนวยความสะดวกให้การขนส่งสินค้าภายในกลุ่ม รวมทั้งการขนส่งไปยังประเทศนอกภูมิภาคใกล้เคียงได้สะดวกขึ้น โดยมีต้นทุนการขนส่งต่ำลง
นอกจากนี้ ลาวซึ่งเป็นประเทศที่ไม่มีพรมแดนติดทะเล อีกทั้งตลาดภายในประเทศมีขนาดเล็ก เพราะมีประชากรราว 5.8 ล้านคน การสร้างโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงนี้จะอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าให้ลาว ช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาการขนส่งด้วย คาดว่า หากโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกกลุ่ม ACMECS จะส่งเสริมให้การขนส่งสินค้าของกลุ่ม ACMECS สะดวกมากขึ้น ได้แก่
– การอนุญาตให้รถบรรทุกสินค้าจากแหล่งผลิตสามารถขนส่งสินค้าผ่านแดนได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายรถ
– การสร้างระบบขนส่งทางรถไฟและถนนเชื่อมต่อระหว่างท่าเรือน้ำลึกทวายในพม่ากับท่าเรือแหลมฉบังของไทย เพื่อลดค่าขนส่งจากการที่ไม่ต้องเดินเรืออ้อมแหลมมะลายู
4. ป้องกันการระบาดของโรคไข้หวัดนก – ความร่วมมือด้านสาธารณสุขโดยการป้องกันและแก้ไขการระบาดของโรคภายในกลุ่ม ACMECS โดยเฉพาะโรคไข้หวัดนกที่อยู่ระหว่างการควบคุมการแพร่เชื้อในขณะนี้ ถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สมาชิกลุ่ม ACMECS ต้องให้ความสำคัญ เพราะการแพร่กระจายของเชื้อในประเทศหนึ่งอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง เนื่องจากประเทศอยู่ใกล้เคียงกัน ซึ่งการระบาดของโรค นอกจากจะส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คน ยังกระทบต่อเศรษฐกิจการค้า และการท่องเที่ยวของภูมิภาคด้วย นอกจากนี้การป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อในสัตว์ปีกต้องอาศัยความพร้อมด้านสาธารณสุข รวมทั้งการป้องกันการกลายพันธุ์ของเชื้อที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น การหารือเรื่องวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดนกและการควบคุมโรคจะส่งผลดีต่อการควบคุมโรคภายในกลุ่มให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-กลุ่ม ACMECS
ไทยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกกลุ่ม ACMECS ด้วยพื้นที่ตั้งใกล้กัน มีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน สำหรับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของไทยกับประเทศสมาชิกกลุ่ม ACMECS ในด้านการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน สรุปได้ดังนี้
? การค้าไทย-ประเทศสมาชิก ACMECS
การค้าไทยกับกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม 4 ประเทศ (ส่งออก+นำเข้า) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2545-2547) มูลค่าเฉลี่ยรวมกันราว 184,000 ล้านบาท ต่อปี และมูลค่าการค้าไทยกับ 4 ประเทศนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นสัดส่วนราว 3% ของการค้าระหว่างประเทศของไทยทั้งหมด และ 16.38% ของการค้าของไทยกับอาเซียน ที่ผ่านมา ไทยเกินดุลการค้ากับกัมพูชา ลาว และเวียดนาม แต่เป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับพม่า เนื่องจากไทยนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่าเป็นมูลค่าสูงใน แต่ละปี (43,472 ล้านบาท ในปี 2547) คิดเป็นสัดส่วนถึงราว 80% ของการนำเข้าของไทยทั้งหมดจากพม่า คาดว่าความร่วมมือด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าภายในกลุ่ม ACMECS จากการลดภาษีสินค้าเกษตรของไทยให้ประเทศเพื่อนบ้าน และโครงการ Contract Farming จะทำให้การค้าภายในกลุ่มขยายตัวมากขึ้น
การค้าระหว่างไทยกับเวียดนาม พม่า กัมพูชาและลาว
ช่วง 9 เดือนแรกปี 2548
มูลค่า : ล้านบาท
ไทย-ลาว ไทย-กัมพูชา ไทย-พม่า ไทย-
เวียดนาม รวม สัดส่วนต่อการค้าไทยทั้งหมด (%) สัดส่วนต่อการค้ากับอาเซียน
ทั้งหมด (%)
มูลค่าการค้ารวม 27,198.6 28,007.2 72,748.3 94,973.2 222,927.3 3.26 16.38
การส่งออก 22,144.8 27,315.7 20,941.8 69,093.4 139,495.7 4.28 19.46
การนำเข้า 5,053.7 691.5 51,806.5 25,879.8 83,431.5 2.33 12.94
ดุลการค้า 17,091.1 26,624.1 -30,864.7 43,213.6 56,064.1 – –
ที่มา : กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
ช่วง 9 เดือนแรกปี 2548 (มกราคม-กันยายน) การค้าของไทยกับ 4 ประเทศสมาชิก ACMECS มีมูลค่ารวม 222,927.3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.26% ของการค้าระหว่างประเทศของไทย ทั้งหมด เพิ่มขึ้น 34.37% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547 การส่งออกของไทยไป 4 สมาชิก ACMECS มูลค่า 139,495.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.3% จากช่วงเดียวกันของปี 2547 คิดเป็นสัดส่วนราว 4.28% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ขณะที่การนำเข้าของไทยจาก 4 ประเทศมูลค่า 83,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.4% คิดเป็นสัดส่วนราว 2.33% ของการนำเข้าทั้งหมดของไทย
การค้าของไทยกับสมาชิก ACMECS 4 ประเทศใน 9 เดือนแรกของปีนี้ เกินดุลเพิ่มขึ้นจาก 54,991.2 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 2547 เป็น 56,064.1 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 77.7% ของมูลค่าเกินดุลการค้าของไทยกับอาเซียนที่มีมูลค่า 72,140 ล้านบาท นับว่า การค้าไทยกับกลุ่ม ACMECS ที่ไทยเป็นฝ่ายเกินดุลโดยรวม มีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาการขาดดุลการค้าทั้งหมดของไทยขณะนี้ที่มีมูลค่าขาดดุลการค้าช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ 313,107 ล้านบาท
การค้าชายแดนระหว่างไทย-พม่า ไทย-กัมพูชา และไทย-ลาว
ช่วง 8 เดือนแรกปี 2548
มูลค่า : ล้านบาท
ไทย-กัมพูชา ไทย-ลาว ไทย-พม่า รวม สัดส่วนต่อการค้าชายแดนของไทยทั้งหมด (%)
มูลค่าการค้า 20,344.0 24,520.8 56,331.6 101,196.4 36.7
การส่งออก 19,369.4 20,862.8 15,207.8 55,440.0 31.7
การนำเข้า 974.5 3,658.0 41,123.8. 45,756.3 45.4
ดุลการค้า 18,394.8 15,523.5 -25,916.2 8,002.1 10.8
ที่มา : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
จากข้อมูลล่าสุดของกรมการค้าต่างประเทศ การค้าชายแดนของไทยกับพม่า กัมพูชา และลาว มีมูลค่ารวมกัน 101,196.4 ล้านบาท ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2548 คิดเป็นสัดส่วน 36.7% ของการค้าชายแดนของไทยทั้งหมด ที่เหลือ 63.3% เป็นการค้าชายแดนไทยกับมาเลเซีย โดยมีมูลค่าการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย 174,167.64 ล้านบาท การค้าชายแดนระหว่างไทยกับพม่า กัมพูชาและลาว นับว่ามีความสำคัญ เพราะคิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% ของการค้าระหว่างประเทศทั้งหมดของไทยกับทั้ง 3 ประเทศนี้ โดยไทยเกินดุลการค้าชายแดนกับกัมพูชา และลาว มูลค่า 18,394.8 ล้านบาท และ 15,523.5 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ขาดดุลการค้าชายแดนกับพม่ามูลค่า 25,916.2 ล้านบาท ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2548
อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงเกินดุลการค้าชายแดนโดยรวมกับกลุ่ม ACMECS ราว 8,002 ล้านบาท คิดเป็น 10.8% ของมูลค่าเกินดุลการค้าชายแดนของไทยทั้งหมด 74,158.9 ล้านบาท ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548 คาดว่ามูลค่าการค้าชายแดนไทยกับพม่า ลาว และกัมพูชามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากความร่วมมือเพื่อการอำนวยความสะดวกทางการค้าของกลุ่ม ACMECS และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน
? การท่องเที่ยวไทย-ประเทศสมาชิก ACMECS
แม้นักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางมาไทยช่วง 3 เดือนแรกปี 2548 ซึ่งมีจำนวน 2,673,732 คน ลดลงราว 10% จากช่วงเดียวกันของปี 2547 แต่นักท่องเที่ยวจากกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนามเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้น 5.43% 30.38% 19.58% และ 0.38% ตามลำดับ โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวจาก 4 ประเทศที่เดินทางมาไทยช่วง 3 เดือนแรกปี 2548 รวมกัน 107,735 คน คิดเป็นสัดส่วน 15.67% ของนักท่องเที่ยวจากอาเซียนทั้งหมดที่เดินทางมาไทย และราว 4% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในไทย
ส่วนนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปกัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม มีจำนวนรวมราว 79,628 คน ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2548 เพิ่มขึ้น 62% จาก 49,083 คนในช่วงเดียวกันของปี 2547 คนไทยเดินทางไปลาวมากที่สุด โดยอัตราขยายตัวมากที่สุด 136.8% จากจำนวน 23,559 คน ช่วงเดียวกันของปี 2547 เป็น 55,795 คน สำหรับนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเวียดนาม พม่า และกัมพูชาในช่วง 3 เดือนแรกปี 2548 มีจำนวน 9,809 คน 7,930 คน และ 6,094 คน ตามลำดับ
? การลงทุนไทย-ประเทศสมาชิก ACMECS
ความสัมพันธ์ด้านการลงทุนกับสมาชิก ACMECS ส่วนใหญ่ไทยเข้าไปลงทุนในประเทศลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม มากกว่า อย่างไรก็ตาม ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2548 ปรากฏว่ามีโครงการของพม่าเข้ามาลงทุนในไทย โดยเป็นโครงการลงทุนเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มูลค่า 120 ล้านบาท ส่วนปี 2547 โครงการของพม่าที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนมีมูลค่า 96 ล้านบาท
สำหรับนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในลาว พม่า กัมพูชา และเวียดนาม สรุปได้ดังนี้
ลาว -ไทยเป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนในลาวเป็นอันดับ 1 โดยช่วง 9 เดือนแรกปี 2548 โดยโครงการของไทยที่ได้รับอนุมัติการลงทุนจากลาวมีมูลค่า 450.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับปี 2547 ไทย ลงทุนในลาวมูลค่า 57.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 20.75% คิดเป็นสัดส่วน 10.6% ของมูลค่าการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศทั้งหมดในลาว โดยธุรกิจที่นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุน เช่น ปลูกมะเขือเทศเพื่อเป็นวัตถุดิบผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปส่งออก และโครงการปลูกอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาล เป็นต้น
พม่า – นักลงทุนไทยส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนในธุรกิจสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การประมง และธุรกิจด้านการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม นอกจากนี้ภาครัฐของทั้งสองประเทศอยู่ระหว่างร่วมกันศึกษาพื้นที่ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนสาละวิน ทั้งนี้ จีนเป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนในพม่ามากเป็นอันดับ 1 ในปี 2547 โดยมีมูลค่าการลงทุนกว่า 66 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมดในพม่าในปี 2547
กัมพูชา – ภาครัฐของไทยและกัมพูชาร่วมมือกันด้านพลังงาน โดยอยู่ระหว่างศึกษาที่ตั้งของเขื่อนและโรงไฟฟ้าสตึงนัม ซึ่งอยู่บริเวณลุ่มน้ำสตึงนัมติดชายแดนจังหวัดตราด เพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าให้เกาะกงของกัมพูชาและจังหวัดตราดของไทย
เวียดนาม – นักลงทุนไทยส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนในนครโฮจิมินห์ สาขาสำคัญที่นักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุน ได้แก่ ด้านการท่องเที่ยวและโรงแรม เคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมด้านเกษตร อาหารสัตว์ อุตสาหกรรมพลาสติกชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ เป็นต้น
? การประชุมผู้นำกลุ่ม ACMECS ครั้งนี้ ไทยจะมีบทบาทนำในการผลักดันให้การดำเนินงานความร่วมมือของกลุ่ม ACMECS เกิดผลความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก ลดความแตกต่างของระดับการพัฒนาภายในกลุ่ม ACMECS ซึ่งถือเป็นกลุ่มอนุภูมิภาคของกลุ่มอาเซียน นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้การดำเนินการตามพันธกรณีของกลุ่มอาเซียนด้านการเปิดเสรีการค้าสินค้า การค้าภาคบริการ และการลงทุน รวมทั้งความร่วมมือด้านต่างๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมายสุดท้ายของการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี 2563 ที่ต้องการให้อาเซียนมีตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน โดยการเปิดเสรีทั้งการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานที่มีทักษะ รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรี
การยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม ACMECS จะส่งผลดีต่อไทย เพราะคาดว่าจะกระตุ้นให้การส่งออกสินค้าไปตลาดเหล่านี้ขยายตัว นอกจากนี้ ทำให้ไทยมีแหล่งนำเข้าวัตถุดิบที่มีศักยภาพสำหรับผลิตสินค้าส่งออก และที่สำคัญการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านจะส่งเสริมให้ภูมิภาคอาเซียนเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน


