ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นก็เป็นแรงผลักดันให้มีการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเพิ่มขึ้นด้วย แม้ว่าไทยจะสามารถผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรใช้ได้เองในประเทศ และส่งออกบางส่วน แต่ไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าเครื่องจักรกลทางการเกษตร โดยเฉพาะเครื่องกลการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตขั้นสูง ปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายเร่งปรับปรุงโครงสร้างการผลิตของอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร ทั้งนี้เพื่อผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรทดแทนการนำเข้า และขยายตลาดส่งออก ซึ่งจะทำให้การขาดดุลการค้าในอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรลดลง อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการในธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตรต้องจับตาจีน ซึ่งมีบทบาทมากขึ้นทั้งในฐานะที่เป็นแหล่งนำเข้าของไทยและเป็นคู่แข่งที่สำคัญในตลาดโลก
ตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรไทย…ร้อยละ 90 ผลิตใช้เองในประเทศ
คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรและอุปกรณ์ของไทยสูงถึง 20,000 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 7-8 ต่อปี ซึ่งแยกเป็นมูลค่าของเครื่องจักรกลการเกษตรที่ผลิตเพื่อใช้ในประเทศ 18,000 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 90.0 ของมูลค่าตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักรกลการเกษตรที่ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ส่วนที่เหลือเป็นเครื่องจักรกลการเกษตรที่ผลิตเพื่อส่งออก 1,700 ล้านบาท และเครื่องจักรกลการเกษตรนำเข้า 4,000 ล้านบาท ปัจจุบันโรงงานผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรในประเทศที่จัดได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมผลิตในเชิงพาณิชย์ ซึ่งหมายถึงมีเครือข่ายด้านการตลาด และบริการหลังการจำหน่ายอย่างกว้างขวางทั่วประเทศนั้นมีไม่เกิน 50 แห่ง หรือเพียงร้อยละ 20 ของจำนวนโรงงานผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรทั้งหมด ซึ่งโรงงานที่มีขีดความสามารถและศักยภาพในการแข่งขันกับเครื่องจักรกลการเกษตรที่นำเข้า หรือการส่งออกไปแข่งขันในต่างประเทศนั้นมีเพียงโรงงานกลุ่มนี้เท่านั้น ส่วนโรงงานที่เหลือนั้นส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็กกระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ
การนำเข้า-ส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตร…ขาดดุลเฉลี่ยเกือบ 2,000 ล้านบาทต่อปี
แม้ว่าไทยจะสามารถผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรได้เองเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าเครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องจักรกลการเกษตรที่นำเข้าส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักรกลการเกษตรที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิต หรือเป็นเครื่องจักรกลการเกษตรที่ได้รับการพัฒนาทางด้านเทคนิคให้มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นผลสำเร็จจากการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มูลค่าการนำเข้ามีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าในปี 2548 มูลค่าการนำเข้าเครื่องจักรกลการเกษตรและอุปกรณ์เท่ากับ 4,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2547 ที่มีมูลค่าการนำเข้า 3,532.53 ล้านบาทแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 โดยประเภทของเครื่องจักรกลการเกษตรที่มีมูลค่าการนำเข้าเป็นอันดับหนึ่งคือ เครื่องจักรในอุตสาหกรรมปรุงแต่งอาหารและเครื่องดื่ม รองลงมาคือ เครื่องจักรสำหรับทำความสะอาดและแยกขนาด เครื่องจักรสำหรับเก็บเกี่ยวหรือนวด และเครื่องใช้กลสำหรับฉีดพ่นของเหลวหรือผงในการเกษตร
ส่วนการส่งออกเครื่องจักรกลทางการเกษตรมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน คาดว่ามูลค่าการส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตรในปี 2548 เท่ากับ 1,700 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในปี 2547 ที่มีมูลค่าการส่งออก 1,355.69 ล้านบาทแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.4 ประเภทของเครื่องจักรกลการเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกมากที่สุดคือ รถไถเดินตาม เครื่องจักรในอุตสาหกรรมปรุงแต่งอาหารและเครื่องดื่ม และเครื่องจักรสำหรับทำความสะอาดและแยกขนาด ซึ่งเครื่องจักรกลการเกษตรทั้ง 3 ประเภทนี้มีอัตราการขยายตัวอยู่ในเกณฑ์สูง
เมื่อพิจารณาถึงสถิติการนำเข้า-ส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยพบว่าในธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรไทยขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ไทยขาดดุลการค้าเฉลี่ยเกือบ 2,000 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2547 การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยอยู่ในเกณฑ์สูงกว่าอัตราการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้า กล่าวคือ ในปี 2547 การขยายตัวของมูลค่าส่งออกเท่ากับร้อยละ 28.8 ขณะที่มูลค่านำเข้าขยายตัวเพียงร้อยละ 2.2 คาดว่าในปี 2548 การขยายตัวของการส่งออกเท่ากับร้อยละ 25.4 และการนำเข้าร้อยละ 18.2 การส่งออกนั้นตลาดสำคัญของไทยนั้นค่อนข้างกระจายตัว แต่แหล่งตลาดสำคัญยังคงเป็นประเทศเพื่อนบ้าน และตลาดที่น่าสนใจคือ ประเทศในตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งมีแนวโน้มการส่งออกสดใส
เร่งผลิตทดแทนนำเข้า ผลักดันส่งออก…แต่ต้องจับตาจีน
จากการที่ไทยยังต้องพึ่งพิงการนำเข้าเครื่องจักรกลการเกษตร ซึ่งส่งผลให้ไทยยังคงขาดดุลการค้าในธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตร ทำให้รัฐบาลมีนโยบายเร่งสนับสนุนการปรับปรุงและพัฒนาอุตสาหกรรมประเภทนี้ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร โดยมีวัตถุประสงค์ในการผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อทดแทนการนำเข้า การส่งออกไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้าน และสนองความต้องการของศูนย์เครื่องจักรกลเกษตรชุมชน การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรจะเป็นแนวทางกระตุ้นให้ใช้เครื่องจักรการเกษตรที่ผลิตในประเทศเพิ่มกว่าร้อยละ 10 ต่อปี รวมทั้งลดการนำเข้าเครื่องจักรกลการเกษตรที่มีเทคโนโลยีระดับสูงได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ต่อปี นอกจากนี้ยังส่งออกเครื่องจักรกลได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ต่อปี ซึ่งจากการวิเคราะห์ศักยภาพการผลิตพบว่าเครื่องจักรกลการเกษตรผู้ประกอบการมีความสามารถในการผลิต และมีคุณภาพดีได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซล เครื่องยนต์เบนซิน รถไถเดินตาม และเครื่องตัดหญ้าสะพายหลัง ส่วนความต้องการตลาดในประเทศ ปรากฏว่ารถแทรกเตอร์ รถอีแต๋น และเครื่องเกี่ยวนวดขนาดเล็กมีแนวโน้มเติบโตในเกณฑ์ดีทั้งตลาดในประเทศ และส่งออกไปยังตลาดประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างไรก็ตามประเด็นในการส่งเสริมการผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อทดแทนการนำเข้าและเร่งผลักดันการส่งออกนั้นไทยต้องเผชิญการแข่งขันกับจีน โดยปัจจุบันจีนเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญของเครื่องจักรกลการเกษตรหลายประเภท โดยมูลค่าการนำเข้าเครื่องจักรกลการเกษตรจากจีนแซงหน้าแหล่งนำเข้าสำคัญเดิมของไทยคือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สหรัฐฯและประเทศต่างๆในยุโรป อย่างไรก็ตาม เครื่องจักรกลการเกษตรของจีนเริ่มเข้ามาตีตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรในประเทศไทย นอกจากนี้จีนยังเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในการแย่งชิงตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรในตลาดโลกที่ไทยกำลังพยายามผลักดันการส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตร เนื่องจากบทบาทของจีนในการส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตรของจีนเริ่มทวีความสำคัญมากขึ้น โดยปัจจุบันจีนเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตรมากที่สุดของโลก และถ้าจะพิจารณาเฉพาะประเทศในเอเชียแล้วจีนนั้นอยู่ในอันดับหนึ่งของประเทศที่ส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องจักรกลการเกษตรของจีนเริ่มแย่งชิงสัดส่วนในตลาดโลกได้มากขึ้น
จากเดิมนั้นผู้ส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตรที่สำคัญของโลกคือ สหรัฐฯ และประเทศในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีและอิตาลี ดังนั้นการที่ไทยต้องการเร่งผลักดันการส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตรนั้นก็เท่ากับว่าไทยต้องเข้าไปแข่งขันกับจีนด้วย เนื่องจากตลาดเป้าหมายในการส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตรที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง คือ ตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรปตะวันออก และแอฟริกา ซึ่งในปัจจุบันจีนประสบความสำเร็จในการเจาะขยายตลาด ในขณะที่ไทยก็ต้องการขยายตลาดในประเทศเหล่านี้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเครื่องจักรกลการเกษตรที่ไทยสามารถแข่งขันกับจีนคือ รถไถเดินตาม กล่าวคือ มูลค่าการส่งออกรถไถเดินตามในตลาดโลกในปี 2547 เท่ากับ 150.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จีนครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 31.1 รองลงมาคือ อิตาลีร้อยละ 16.8 และไทยร้อยละ 9.7
บทสรุป
ความต้องการเครื่องจักรกลการเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก เนื่องจากเกษตรกรต้องการใช้เพื่อเป็นเครื่องทุ่นแรง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร รวมทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และใช้ในการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรในกลุ่มสหกรณ์การเกษตรกร และกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ในปัจจุบันแม้ว่าไทยจะสามารถผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรใช้เองในประเทศและส่งออกได้บางส่วน แต่ไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าเครื่องจักรกลการเกษตรโดยเฉพาะเครื่องจักรกลการเกษตรที่ต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตในระดับสูง ทำให้ไทยขาดดุลการค้าในธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตรอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร โดยมีวัตถุประสงค์ในการผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อทดแทนการนำเข้า การส่งออกไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้าน
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเร่งติดตามและเร่งแก้ไขคือ จีนเริ่มมีบทบาทในตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรมากขึ้น ทั้งในฐานะเป็นแหล่งนำเข้าของไทยที่เริ่มจะเพิ่มความสำคัญมากขึ้น แทนที่แหล่งนำเข้าเดิมของไทย เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน สหรัฐฯ ประเทศในสหภาพยุโรป เป็นต้น ทำให้เครื่องจักรกลการเกษตรจากจีนเข้ามาแข่งขันกับเครื่องจักรกลการเกษตรที่ผลิตในประเทศมากขึ้น นอกจากนี้จีนยังเป็นประเทศที่แข่งขันกับไทยในตลาดส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตรอีกด้วย ดังนั้นผู้ประกอบการในธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่คาดว่าจะรุนแรงขึ้นในอนาคต


