สหรัฐฯ ได้เปรียบดอกเบี้ย … ดูดเงินทุน หนุนค่าดอลลาร์

ทิศทางค่าเงินดอลลาร์ดูสดใส เมื่อเทียบกับเงินสำคัญสกุลต่างๆ โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น หลังจากที่รายงานตัวเลขเศรษฐกิจอเมริกันชี้ว่าเศรษฐกิจยังคงมั่นคง ช่วยสนับสนุนให้การใช้นโยบายการเงินเข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯ ดำเนินต่อไป คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็น 4.0% นับเป็นการเพิ่มติดต่อกันครั้งที่ 12 ของแบงก์ชาติสหรัฐฯ เพื่อป้องปรามเงินเฟ้อ ทางด้านเงินเยนญี่ปุ่น ซบเซาอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากตลาดเงินให้ความสนใจเกี่ยวกับผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำอื่นๆ จึงส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากสกุลเงินเยน

ส่วนเงินปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษ ซื้อขายอยู่ในช่วงแคบประมาณ 1.77 ดอลลาร์/ปอนด์ ปัจจัยบวกสำคัญ ได้แก่ ราคาอสังหาริมทรัพย์เดือนตุลาคม และดัชนีภาคบริการช่วง 3 เดือนล่าสุด ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ ช่วยลดความกังวลที่ว่าอังกฤษอาจลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ สำหรับราคาทองคำในตลาดต่างประเทศ ทรุดต่ำลงสวนทิศทางกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเมริกัน ส่งผลให้ราคาเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงเฉลี่ย 460-470 ดอลลาร์/ออนซ์

เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าค่อนข้างมั่นคงในช่วงต้นสัปดาห์ เมื่อเทียบกับเงินยูโรและเงินเยน ทั้งนี้ เป็นผลจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ ได้แก่

1. ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ รายงานภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ทยอยประกาศออกมาล่าสุด ล้วนสะท้อนว่าสถานการณ์ยังน่าพอใจ อาทิ อัตราการเจริญเติบโต (GDP) ของไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นเป็น 3.8% จากที่คาดว่าจะเพิ่มประมาณ 3.6% ดัชนีวัดกิจกรรมภาคอุตสาหกรรมการผลิตแถวรัฐตะวันตกตอนกลางของประเทศเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 62.9 ในเดือนตุลาคม จากระดับ 60.5 ในเดือนกันยายน ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนกันยายนเพิ่ม 2% ใกล้เคียงกับเดือนสิงหาคม ฯลฯ ตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้ช่วยหนุนให้ตลาดเงินคาดคะเนว่าธนาคารกลางสหรัฐฯน่าจะใช้นโยบายการเงินเคร่งครัดต่อไป

2. อัตราดอกเบี้ยเพิ่ม การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ได้ตัดสินใจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 4.0% เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน หรือเป็นการปรับเพิ่มไปแล้วรวมทั้งสิ้นถึง 3% นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2547 หรือประมาณ 12 ครั้งอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนหันมาสนใจถือสกุลเงินดอลลาร์ที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญอื่นๆ โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น ที่มีอัตราต่ำมากเกือบ 0%

อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์มีค่าสะดุดลงเล็กน้อยในช่วงกลางสัปดาห์ เมื่อเทียบกับเงินยูโร เป็นผลจากการคาดคะเนกันว่าธนาคารกลางยุโรป อาจตัดสินใจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ศกนี้ เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ซึ่งจะส่งผลให้สกุลเงินยูโรลดความเสียเปรียบสกุลเงินอื่นๆ ลงบ้าง ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยยูโรอยู่ที่ระดับ 2.0% ตลาดเงินค่อนข้างมั่นใจในเงินยูโรมากขึ้น หลังจากที่เจ้าหน้าที่การเงินระดับสูงของธนาคารกลางยุโรปออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงหนุนให้การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ

ในช่วงปลายสัปดาห์ เงินดอลลาร์กลับมีค่ากระเตื้องขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อนาย Alan Greenspan ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ออกมาเตือนเกี่ยวกับภัยเงินเฟ้อในระยะยาว ช่วยย้ำให้ตลาดเงินมั่นใจว่าทางการสหรัฐฯ ยังคงใช้นโยบายการเงินเข้มงวดต่อไปอีก แม้ว่าจะใช้มาแล้ว 16 เดือน ซึ่งตรงกันข้ามกับธนาคารกลางยุโรป ที่ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยคงเดิมในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน และไม่ได้พาดพิงถึงการปรับเพิ่มแต่ประการใด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้รับแรงซื้อ เมื่อมีรายงานตัวเลขภาคบริการของสหรัฐฯเดือนตุลาคมและตัวเลขประสิทธิภาพการผลิตของไตรมาสที่ 3 เข้มแข็งกว่าที่คาดการณ์ไว้

เงินปอนด์อังกฤษ อ่อนไหวในช่วงแรกเพราะดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอังกฤษเดือนตุลาคมตกต่ำลงมากสุดตั้งแต่ปี 2546 ยิ่งไปกว่านั้น ความได้เปรียบด้านอัตราดอกเบี้ยของอังกฤษเริ่มไม่ค่อยแจ่มใส เมื่อมีกระแสข่าวที่ว่าสหรัฐฯและประเทศกลุ่มยูโรมีแนวโน้มเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ขณะที่อังกฤษกลับมีท่าทีว่าอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม เงินปอนด์มีค่าฟื้นตัวดีขึ้นในเวลาต่อมา เป็นผลจากรายงานราคาบ้านพักอาศัยเดือนตุลาคมพุ่งสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 15 เดือน ทำให้ดัชนีเงินเฟ้อด้านอสังหาริมทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ ช่วยลบกระแสที่ว่าธนาคารกลางอังกฤษอาจลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้

ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ช่วยหนุนค่าเงินปอนด์ ได้แก่ การที่บริษัทสื่อสารของประเทศสเปนมีแผนธุรกิจที่จะซื้อกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของอังกฤษ ซึ่งอาจทำให้ความต้องการเงินปอนด์เพิ่มมากขึ้นในช่วงการซื้อกิจการ ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจภาคบริการอังกฤษเพิ่มอย่างมาก จึงช่วยคลายกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจอังกฤษให้แก่นักลงทุน และส่งผลให้เงินปอนด์กระเตื้องขึ้น

ราคาทองคำในตลาดต่างประเทศ ซบเซาลงจากราคาเฉลี่ยราว 470 ดอลลาร์/ออนซ์ ในช่วงต้นสัปดาห์ เหลือประมาณ 460 ดอลลาร์/ออนซ์ ในช่วงท้ายของสัปดาห์ สาเหตุส่วนใหญ่มาจากความแข็งแกร่งของค่าเงินดอลลาร์ การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ทิศทางราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง รวมถึงความต้องการซื้อทองคำในตลาดอินเดียที่เงียบเหงาในระยะนี้ ทำให้ราคาทองคำอ่อนตัวลงเป็นลำดับ

อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับเงินตราสำคัญสกุลต่างๆ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2548 เทียบกับวันที่ 3 พฤศจิกายน 2548 (ตัวเลขในวงเล็บ) มีดังนี้

เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าเท่ากับ 1.1991 ดอลลาร์/ยูโร (1.1949 ดอลลาร์/ยูโร) 116.39 เยน (117.15 เยน) และ 1.7703 ดอลลาร์/ปอนด์ (1.7708 ดอลลาร์/ปอนด์)

ราคาทองคำในตลาดลอนดอน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2548 เท่ากับ 470.40 ดอลลาร์/ออนซ์ เทียบกับราคา 461.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2548