แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยปี 2549…จับตาเงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจ

จากวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในรอบปัจจุบัน ซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเดือนสิงหาคม 2547 ตามมาด้วยการเสนออัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงกว่าของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ในเดือนตุลาคม 2547 และล่าสุด ตั้งแต่กลางปี 2548 เป็นต้นมา ธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ก็เริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธปท.ยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปอีก

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี 2548 และในปี 2549 โดยพิจารณาปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เปรียบเทียบกับวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของไทยในอดีต ตลอดจนเงื่อนไขด้านความสามารถในการสร้างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารพาณิชย์ไทย เพื่อประเมินถึงขีดความสามารถในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายใต้สมมติฐานต่างๆ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้

ข้อสรุปวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของระบบการเงินไทยในอดีตและปัจจุบัน

• จุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ในอดีตนับตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยเกิดขึ้นใน 2 ช่วง คือ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2531-เดือนกุมภาพันธ์ 2534 (ประมาณ 28 เดือน) และระหว่างเดือนมีนาคม 2537-เดือนพฤศจิกายน 2538 (ประมาณ 21 เดือน) ซึ่งวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทั้งสองรอบ มีจุดเริ่มต้นที่นำโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ตามกลไกสภาพคล่องในตลาดจากแรงผลักดันของฐานะดุลบัญชีเงินสะพัดที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นและอัตราเงินเฟ้อในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ในช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ธปท.ไม่สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่และยังคงต้องพึ่งพิงเงินทุนไหลเข้าสุทธิจากต่างประเทศเพื่อมาชดเชยการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของธปท. (Bank rate) มักจะมีการปรับตัวในลักษณะที่ล่าช้ากว่ากลไกตลาด สำหรับวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในรอบปัจจุบันนั้น มีความแตกต่างกับในอดีต คือ การปรับขึ้นนำโดยนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธปท. ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ แม้ว่าฐานะสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์จะยังคงมีเหลืออยู่ค่อนข้างมากก็ตาม

สรุปวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันเทียบกับในอดีต
2531-2534 2537-2538 ปัจจุบัน
ช่วงการปรับขึ้นดอกเบี้ย พ.ย. 2531 – ก.พ. 2534 (หรือประมาณ 28 เดือน) มี.ค. 2537 – พ.ย. 2538 (หรือประมาณ 21 เดือน) ตั้งแต่ ส.ค. 2547
ภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไป ในช่วงแรก (2531-2532) เผชิญผลจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ ส่วนในช่วงที่สอง (2533-2534) เผชิญกับผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันและวิกฤติการณ์อ่าวเปอร์เซีย เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อจากราคาน้ำมัน
การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ธปท. ไม่สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบ Pegged Exchange Rate และประเทศต้องพึ่งเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศเพื่อชดเชยการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยของ ธปท. ก็มักจะ lag มากกว่าที่จะ lead ตลาด ดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบ Inflation Targeting โดยผ่านการกำหนดอัตราดอกเบี้ย Repo 14 วัน ซึ่งเริ่มใช้ในปี 2543
ฐานะดุลบัญชีเดินสะพัด การนำเข้าน้ำมันทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เพิ่มขึ้นเป็น -8.3% ของ GDP ในปี 2533 จาก -2.4% ในปี 2531 และจากเพียง -0.6% ในปี 2530 ก่อนที่จะลดลงมาเป็น
-7.5% ในปี 2534 การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ -7.9% ของ GDP ในปี 2538 จาก -5.4% ในปี 2537 และ -4.9% ในปี 2536 ไทยเริ่มขาดดุลเดินสะพัดในครึ่งแรกของปี 2548 หลังจากเกินดุล 4.1% ของ GDP ในปี 2547
ภาวะเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจาก 2.4% ในปี 2530 ไปเป็น 5.3% ในปี 2532 และ 5.9% ในปี 2533 ก่อนที่จะชะลอตัวลงมาเป็น 5.7% หลังจากดอกเบี้ยขึ้นไปสูงสุด (peak) แล้วในปี 2534 อัตราเงินเฟ้อขึ้นไปที่ 5.0% ในปี 2537 และ 5.8% ในปี 2538 จากที่อยู่ที่ 3.4% ในปี 2536 ธปท. เริ่มกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อมาตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2547 แต่อัตราเงินเฟ้อมาขยับสูงขึ้นอย่างเด่นชัดตั้งแต่เดือน ก.ค. 2548 หลังการลดการอุดหนุนราคาน้ำมันของรัฐบาล
อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ ชะลอตัวลงเหลือ 8.6% ในปี 2534 จาก 13.3% ในปี 2531 การปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้มีผลต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ ที่ยังคงขยายตัวประมาณ 9.0% ในปี 2537-2538 แต่ฟองสบู่มาเริ่มแตกในปี 2539 จนเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะวิกฤติในปี 2540 เศรษฐกิจชะลอตัวลงจากปี 2547 โดยขยายตัวเพียง 3.3% ในไตรมาสแรกของปี 2548
สินทรัพย์สภาพคล่องส่วนเกินต่อสินทรัพย์รวมของธนาคารพาณิชย์ เท่ากับ 1.2% ณ สิ้นปี 2531 และ 0.2% ณ สิ้นปี 2534 เท่ากับ -5.9% ณ สิ้นปี 2537 และ -7.3% ณ สิ้นปี 2538 เท่ากับ 5.9% ณ สิ้นปี 2547
ขนาดของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเทียบระหว่างก่อนการขึ้นดอกเบี้ยกับระดับที่ดอกเบี้ยขึ้นไปสูงสุด (Peak) ออมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 4.50%
ประจำ 3 เดือน เพิ่มขึ้น 7.25%
ประจำ 6 เดือน เพิ่มขึ้น 6.50%
ประจำ 12-24 เดือน เพิ่มขึ้น 4.75%
Prime Rate เพิ่มขึ้น 4.75% ออมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 0.25%
ประจำ 3 เดือน เพิ่มขึ้น 4.50%
ประจำ 6 เดือน เพิ่มขึ้น 3.75%
ประจำ 12-24 เดือน เพิ่มขึ้น 3.75%
Prime Rate เพิ่มขึ้น 3.75%
รวบรวมโดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

• ภาพรวมวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในอดีต วัฏจักรในรอบปี 2531-2534 เกิดขึ้นในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.4% ในปี 2530 ไปอยู่ที่ 5.9% ในปี 2533 และดุลบัญชีเดินสะพัดบันทึกยอดขาดดุลเป็นสัดส่วนถึง 8.3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2533 โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์มีขนาดการเพิ่มขึ้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยประมาณ 4.50-7.25% สำหรับวัฏจักรในรอบปี 2537-2538 นั้น เกิดขึ้นท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยในช่วงเวลาดังกล่าว อัตราเงินเฟ้อทั่วไปได้เพิ่มขึ้นจาก 3.4% ในปี 2536 มาอยู่ที่ 5.8% ในปี 2538 และดุลบัญชีเดินสะพัดมียอดขาดดุลเป็นสัดส่วนประมาณ 7.9% ของจีดีพีในปี 2538 ซึ่งนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ย ธนาคารพาณิชย์ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมในวัฏจักรรอบนี้ด้วยขนาดประมาณ 0.25-4.50% ทั้งนี้ จากวัฏจักรการอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทั้ง 2 รอบ จะได้ว่า ณ ระดับที่อัตราดอกเบี้ยขึ้นไปที่ระดับสูงสุดนั้น ขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมักจะมากกว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม ซึ่งส่งผลทำให้ระยะห่าง (Gaps) ระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมมักจะแคบลงเมื่อธนาคารพาณิชย์สิ้นสุดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

• รูปแบบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ จากการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยประเภทต่างๆ ในช่วงวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทั้งสองรอบในอดีต (ปี 2531-2534 และปี 2537-2538) พบว่า ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุด ธนาคารพาณิชย์มักจะเน้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) และหันมาเน้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี) เมื่ออัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของธปท.ไปถึงระดับสูงสุดแล้ว นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ตามประวัติศาสตร์ในอดีตยังมักจะเกิดขึ้นในลักษณะ Overshooting ดังสะท้อนได้จาก การที่ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไม่นานนักหลังจากที่อัตราดอกเบี้ยได้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว (โดยในรอบเดือนพฤศจิกายน 2531-เดือนกุมภาพันธ์ 2534 นั้น อัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับลดลงในเดือนเมษายน 2534 หลังจากเพิ่งจะขึ้นไปสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนในรอบเดือนมีนาคม 2537-เดือนพฤศจิกายน 2538 อัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับลดลงในเดือนกุมภาพันธ์ 2539 หลังจากที่ขึ้นไปสูงสุดได้เพียง 2-3 เดือนเท่านั้น) นอกจากนี้ ในช่วงที่ธนาคารพาณิชย์เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น ยังพบว่า อัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมมักจะมีระดับเหนืออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่อยู่ในรูปตัวเงิน (Nominal GDP) ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะการชะลอตัวของสินเชื่อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะต่อมา จนกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยลงในที่สุด

สำหรับวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในรอบปัจจุบันนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า รูปแบบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์คงจะมีแนวทางที่ไม่ต่างจากในอดีตมากนัก ดังจะเห็นได้จาก การที่ธนาคารพาณิชย์เพิ่งจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ หลังจากที่ได้เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะยาวมาก่อนหน้านี้ ในขณะที่ แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในระยะข้างหน้า ก็คงจะขึ้นอยู่กับการขยายตัวของเศรษฐกิจหรือแนวโน้มการขยายสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในรอบนี้อาจจะไม่ได้มีลักษณะ Overshooting ที่เด่นชัดเหมือนเช่นในอดีต เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภาวะขาดแคลนสภาพคล่องมากเท่ากับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในอดีต

• กลไกผลักดันวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในรอบปัจจุบัน เมื่อพิจารณาฐานะสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย (โดยวัดจากผลรวมของเงินสด และการลงทุนสุทธิในตลาดอินเตอร์แบงก์และตลาดซื้อคืนพันธบัตร ตามข้อมูลงบการเงิน) จะได้ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังคงมีสภาพคล่องเหลืออยู่ประมาณ 4.5 แสนล้านบาทในเดือนกันยายน 2548 ไม่แตกต่างนักเมื่อเทียบกับจำนวน 4.6 แสนล้านบาท ณ ปลายปี 2547 ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมองว่า ความจำเป็นทางด้านสภาพคล่องคงจะไม่ใช่กลไกสำคัญที่ผลักดันวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในรอบปัจจุบัน โดยการทยอยปรับขึ้นตามกันของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา เริ่มต้นจากการที่ธนาคารต่างประเทศซึ่งเดิมระดมทุนด้วยการกู้ยืมในตลาดเงินต้องเผชิญกับภาวะต้นทุนที่สูงขึ้นตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. ทำให้การระดมทุนของธนาคารต่างประเทศมีแนวโน้มจะหันมาพึ่งพาเงินฝากจากประชาชนแทนโดยการเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าธนาคารแห่งอื่นๆ ในขณะเดียวกัน การที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารมีระดับค่อนข้างต่ำ ทำให้ประชาชนมีแนวโน้มที่จะหันมาเลือกการออมในรูปแบบอื่น ทั้งการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งให้ผลตอบแทนในระดับที่สูงกว่า ส่งผลตามมาเป็นลูกโซ่ให้ธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาฐานลูกค้าของตนไว้ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน อาจจะปรับสูงขึ้นจากปัจจุบันที่ 3.75% ไปอยู่ที่ระดับ 4.00-4.25% ณ ปลายปี 2548 ก่อนที่จะปรับเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 5.00% ซึ่งเป็นระดับที่น่าจะใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ ณ ช่วงกลางปี 2549 พอดี ในขณะที่ อัตราเงินเฟ้อในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองของปีหน้า คาดว่าจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 6.3% และ 4.9% ตามลำดับ

ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. คงจะมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ กลไกผลักดันทางด้านการแข่งขันระหว่างสถาบันการเงินและกับตลาดทุน ก็คงจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามมาอีกระลอกได้ในท้ายที่สุด ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน, 1 ปี และอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมสำหรับลูกค้าชั้นดีแบบมีระยะเวลา (MLR) ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ อาจมีแนวโน้มขยับขึ้นไปที่ 2.25%, 3.00% และ 6.75% ณ ปลายปี 2548 ตามลำดับ เทียบกับระดับต่ำสุดที่อยู่ที่ 1.75%, 2.25% และ 6.25% ในปัจจุบัน

ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในปี 2549

ในการพิจารณาถึงขนาดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในปี 2549 ซึ่งในที่นี้ จะอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำสุดของเงินฝากแต่ละประเภท และอัตราดอกเบี้ย MLR ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่ง นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คำนึงถึงปัจจัยหลักๆ ได้แก่ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (ซึ่งจะกำหนดความต้องการสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ไทย) ขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. ตลอดจนพฤติกรรมและกลไกการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในอดีตที่ผ่านมาตามที่ได้ทำการศึกษาข้างต้น โดยมีเงื่อนไขที่สำคัญคือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งอัตราผลตอบแทนที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น อัตราผลตอบแทนในตลาดเงิน และอัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ จะต้องไม่ส่งผลกระทบให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2549 ด้อยลงกว่าตัวเลขประมาณการของปี 2548 ไม่เช่นนั้น ธนาคารพาณิชย์อาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อประคับประคองความต้องการสินเชื่อจากภาคเอกชน และรักษาความสามารถในการสร้างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้จำแนกขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2549 ออกเป็น 2 กรณี ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ กล่าวคือ

ประมาณการอัตราดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ปี 2549
ประเภทอัตราดอกเบี้ยสำหรับช่วงสิ้นงวด หรือสิ้นปี (%) อัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน
(14 พ.ย.48) ตัวเลขคาดการณ์ *
ปี 2548 ปี 2549
จีดีพีขยายตัว > 5% จีดีพีขยายตัวเพียง 4%
อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน 3.75 4.00-4.25 5.00 4.50
อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก **
– ออมทรัพย์ 0.75 0.75 1.25 0.75
– ประจำ 3 เดือน 1.75 2.25 3.50 2.50
– ประจำ 1 ปี 2.25 3.00 4.25 3.50
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR 6.25 6.75 8.00 7.00
หมายเหตุ: * คาดการณ์โดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
** เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขั้นต่ำสุดของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์

? กรณีแรก: เศรษฐกิจขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 5% และสินเชื่อดีของธนาคารพาณิชย์ไทยขยายตัวในปี 2549 ได้ไม่ต่ำกว่าที่ทำได้ในปี 2548

โดยในปี 2548 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า สินเชื่อดี (Performing Loans) ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย จะเติบโตประมาณ 2.8 แสนล้านบาทในปีนี้ คิดเป็นการขยายตัว 6.6% จากสิ้นปีก่อนหน้า หลังจากที่เติบโตประมาณ 2.36 แสนล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่สำหรับในปี 2549 นั้น แม้ว่าการขยายสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยคงจะได้รับปัจจัยบวกจากการคาดการณ์เกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยธปท.ที่โน้มเอียงไปที่ระดับไม่ต่ำกว่า 5% (เทียบกับที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะเติบโต 4.2% ในปี 2548) แต่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขาขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการสินเชื่อภาคเอกชนและภาคครัวเรือน อีกทั้งอาจทำให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความระมัดระวังในการขยายสินเชื่อมากขึ้น ท่ามกลางความเสี่ยงจากหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงประเมินในลักษณะที่อนุรักษ์นิยมว่า สินเชื่อดีของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย อาจเพิ่มขึ้นในมูลค่าที่ใกล้เคียงกับที่ทำได้ในปีนี้ หรือคิดเป็นการขยายตัวประมาณ 6.2%

จากสมมติฐานดังกล่าวและการคาดการณ์ว่าธปท.จะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเชื่อว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่คงจะถูกกดดันให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่อไป เพื่อให้เงินฝากมีราคาที่แข่งขันได้กับอัตราผลตอบแทนของผลิตภัณฑ์ในตลาดตราสารหนี้ที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยของทางการ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ต่างชาติที่คงจะมีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกัน หลังจากที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า คงจะทำให้ธนาคารต่างชาติสามารถขยายสินเชื่อได้ไม่ต่ำกว่า 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ดังเช่นที่ทำได้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2548 ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารต่างชาติยังคงมีความต้องการระดมเงินฝากใหม่เพิ่มเติมเพื่อมาขยายสินเชื่อต่อเนื่องจากปีนี้อยู่

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงเงื่อนไขด้านแนวโน้มรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ เพื่อประเมินขีดความสามารถในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า สินเชื่อดีที่ยังคงเติบโต จะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญต่อฐานะรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2549 ขณะที่ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท.และธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 คงจะช่วยทำให้อัตราผลตอบแทนแท้จริงจากสินทรัพย์สุทธิตลาดเงิน ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่อง (ที่มีความคล่องตัวสูง) ส่วนใหญ่ของธนาคารพาณิชย์ไทยนั้น มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่สอดคล้องกัน ซึ่งรายได้ดอกเบี้ยต่างๆ ดังกล่าว คงจะช่วยทำให้ธนาคารพาณิชย์ไทยมีความสามารถเพียงพอที่จะรองรับต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน และ 1 ปี มาที่ 3.5% และ 4.25% ในช่วงสิ้นปี 2549 จาก 2.25% และ 3.0% ตามลำดับในช่วงสิ้นปี 2548 โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะยาว คงจะเน้นหนักในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากเป็นจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายกำลังเข้าหาจุดสูงสุด ก่อนที่ธนาคารพาณิชย์คงจะหันมาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 และ 6 เดือนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อปรับโครงสร้างเงินฝากให้มีความยืดหยุ่นต่อโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยอาจลดลงในระยะต่อไป ซึ่งจะสอดคล้องกับพฤติกรรมการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในอดีต สำหรับอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์นั้น อาจได้รับการปรับขึ้นในระหว่างปี 2549 ด้วยขนาด 0.50% มาอยู่ที่ 1.25% ในช่วงสิ้นปี 2549 ได้ โดยที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR อาจขยับขึ้นมาที่ระดับ 8.0% (ซึ่งยังไม่เกิน Nominal GDP ที่น่าจะมีค่าไม่ต่ำกว่า 8% ในปีหน้า) เพื่อที่จะรักษาระดับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิได้ไม่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของปีนี้ที่ประมาณ 1.82 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าด้วยโครงสร้างการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยน่าจะสามารถรักษารายได้ดอกเบี้ยสุทธิไม่ให้ต่ำไปกว่าของปีนี้ได้ แต่การรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Spread) อาจเผชิญความยากลำบากมากกว่า เนื่องจากฐานเงินฝากของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีขนาดใหญ่กว่าฐานสินเชื่อ ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารพาณิชย์ไทย มีโอกาสลดต่ำลง โดยเฉพาะเมื่อมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝาก-เงินกู้ทุกประเภทในขนาดเท่าๆ กัน นอกจากนี้ ในสินเชื่อบางกลุ่ม เช่น เอ็นพีแอล สินเชื่อที่ผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หรือสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ นั้น อัตราผลตอบแทนแท้จริงที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับ อาจไม่ปรับขึ้นตามสัดส่วนเดียวกันกับอัตราดอกเบี้ย MLR ที่ธนาคารพาณิชย์ได้ประกาศปรับขึ้นไปอีกด้วย ขณะที่ ภาวะการแข่งขันด้านการขยายสินเชื่อที่มีความรุนแรงขึ้น ย่อมจะทำให้การแข่งขันด้านราคาระหว่างธนาคารพาณิชย์ ทวีความรุนแรงมากขึ้นอีก ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ค่าผลต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากตลาดเงิน กับต้นทุนเงินฝากแท้จริงของธนาคารพาณิชย์ จะค่อยๆ แคบลง โดยเฉพาะเมื่อผ่านพ้นจุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว ซึ่งล้วนแล้วแต่แสดงถึงปัจจัยลบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในช่วงจังหวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์ไทย คงจะต้องฝากความหวังในการทำกำไรไว้ที่การขยายสินเชื่อมากขึ้นกว่าเดิม

? กรณีที่ 2: เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าคาด โดยขยายตัวเพียง 4% และการขยายสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ชะลอตัวลงจากปี 2548

ในกรณีที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ปัญหาราคาน้ำมัน การกลับมาของไข้หวัดนก และ/หรือการชะลอตัวมากกว่าที่คาดของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทย จนส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้น ธนาคารพาณิชย์ไทยอาจไม่สามารถรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินให้กู้ยืมที่ปรับขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายของทางการในช่วงครึ่งแรกของปีได้ เนื่องจากอาจพบว่าการขยายสินเชื่อดีชะลอตัวลงอย่างมาก (โดยสมมติให้เหลือเพียงครึ่งเดียวของในกรณีแรก) จนมีผลกระทบต่อการรักษาความสามารถในการสร้างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในภาพรวม ขณะเดียวกัน การชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อาจทำให้ธปท.พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งหลังของปี (อันเป็นจังหวะที่อัตราเงินเฟ้อคงจะปรับตัวลดลงต่ำกว่าช่วงครึ่งปีแรก ตามการเปรียบเทียบกับฐานที่สูงของปี 2548) มาที่ 4.5% ในเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งน่าจะเพียงพอในการรักษาเป้าหมายเสถียรภาพเงินเฟ้อไว้ได้ อนึ่ง การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ดังกล่าว อาจส่งผลตามมาให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมลงในช่วงครึ่งหลังของปีเช่นกัน

ดังนั้น ในกรณีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน และ 1 ปี อาจขยับขึ้นได้เพียง 0.25-0.50% จากสิ้นปี 2548 มาที่ประมาณ 2.50% และ 3.50% ตามลำดับในช่วงสิ้นปี 2549 ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ อาจขยับขึ้นได้ 0.25% ในช่วงครึ่งปีแรก ก่อนที่อาจถูกปรับลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง จนมาอยู่ที่ระดับเดียวกันกับของปี 2548 ที่ 0.75% สำหรับอัตราดอกเบี้ย MLR นั้น คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.25% จากสิ้นปี 2548 มาที่ 7.0% ซึ่งภายใต้สมมติฐานของการขยายสินเชื่อ พบว่า โครงสร้างอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวยังคงสอดคล้องกับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ไม่ลดต่ำลงกว่าของปี 2548 ทำให้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ แม้ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำกว่าคาดก็ตาม

บทสรุป

จากการศึกษาข้อมูลในอดีต ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า การเริ่มต้นของวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของระบบการเงินไทยในรอบปัจจุบัน มีความแตกต่างจากวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นสองรอบในอดีต ซึ่งเกิดขึ้นจากกลไกการขาดแคลนสภาพคล่องของตลาด ท่ามกลางแรงผลักดันของปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดระดับสูงและภาวะเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น โดยจุดเริ่มต้นของวัฏจักรในรอบปัจจุบันถูกนำโดยการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อเป้าหมายการรักษาเสถียรภาพของอัตราเงินเฟ้อตามกรอบ Inflation Targeting ของธปท. ซึ่งไม่ได้เป็นเพราะแรงผลักดันด้านความจำเป็นของสภาพคล่องเช่นในอดีต อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้จากประวัติศาสตร์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอดีต ก็คือ การที่ธนาคารพาณิชย์มักจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในลักษณะ Overshooting ซึ่งจะเห็นได้จากธนาคารพาณิชย์ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยลงตามมาภายหลังอัตราดอกเบี้ยได้ขึ้นไปสูงสุดแล้วเพียง 2-3 เดือนเท่านั้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังพบว่า การหันกลับมาปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว มักจะสอดคล้องกับค่าผลต่างระหว่างอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่อยู่ในรูปตัวเงิน (Nominal GDP) กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งผลต่างดังกล่าวมีค่าติดลบ นอกจากนี้ ยังพบว่า เมื่อเสร็จสิ้นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว ขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมักจะมากกว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม หรืออาจกล่าวได้ว่า ระยะห่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมมักจะแคบลงเมื่อธนาคารพาณิชย์สิ้นสุดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
สำหรับแนวโน้มการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในรอบปัจจุบันนั้น ถึงแม้จะมีเหตุผลที่แตกต่างจากอดีต โดยในรอบนี้เป็นการปรับที่นำโดยทางการมิใช่เกิดจากการขาดแคลนสภาพคล่องเหมือนในอดีต แต่รูปแบบการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก นั่นคือ เป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่นำโดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาวมากกว่าระยะสั้น ในระหว่างที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท.กำลังเคลื่อนเข้าสู่จุดสูงสุดในช่วงกลางปี 2549 อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการปรับอัตราดอกเบี้ยในลักษณะ Overshooting อาจไม่เด่นชัดเช่นในอดีต เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไม่ได้เผชิญภาวะการขาดแคลนสภาพคล่องมากเท่ากับที่เคยเกิดขึ้นในวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 รอบที่ผ่านมา

สำหรับประมาณการอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า อัตราดอกเบี้ยอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. อาจจะปรับสูงขึ้นจากปัจจุบันที่ 3.75% ไปอยู่ที่ระดับ 4.00-4.25% ในช่วงปลายปี 2548 โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท.ดังกล่าว คงจะมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น และกลไกผลักดันทางด้านการแข่งขันของผลิตภัณฑ์เพื่อการออมเงินระหว่างสถาบันการเงินและกับตลาดทุน ก็คงจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามมาอีกระลอกได้ในท้ายที่สุด ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน, 1 ปี และอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมสำหรับลูกค้าชั้นดีแบบมีระยะเวลา (MLR) ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ อาจมีแนวโน้มขยับขึ้นไปที่ 2.25%, 3.00% และ 6.75% ณ ปลายปี 2548 ตามลำดับ เทียบกับระดับต่ำสุดที่อยู่ที่ 1.75%, 2.25% และ 6.25% ในปัจจุบัน

สำหรับในปี 2549 จากการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันจะปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันมาที่ระดับสูงสุด (Peak) ที่ 5.0% ในช่วงกลางปี 2549 เพื่อสกัดกั้นความเสี่ยงเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 ประกอบกับสมมติฐานที่มองว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าอาจมีอัตราการขยายตัวประมาณ 5.0% (ธปท.คาดการณ์อัตราการขยายตัวของจีดีพีในปีหน้าที่ 4.5-6.0%) และการขยายสินเชื่อดีสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์จะต้องมีขนาดไม่น้อยกว่าที่คาดว่าจะทำได้ในปี 2548 ที่ประมาณ 2.8 แสนล้านบาท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน และ 1 ปี จะขยับขึ้นมาที่ 3.5% และ 4.25% ในช่วงสิ้นปี 2549 จาก 2.25% และ 3.0% ตามลำดับในช่วงสิ้นปี 2548 นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์นั้น อาจได้รับการปรับขึ้นในระหว่างปี 2549 ด้วยขนาด 0.50% มาอยู่ที่ 1.25% ในช่วงสิ้นปี 2549 ได้ โดยที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR อาจขยับขึ้นมาที่ระดับ 8.0% (ซึ่งยังไม่เกิน Nominal GDP ที่น่าจะมีค่าไม่ต่ำกว่า 8% ในปีหน้า) อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่าที่คาด โดยขยายตัวเพียง 4.0% อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน และ 1 ปี อาจขยับขึ้นจากสิ้นปี 2548 ได้เพียง 0.25-0.50% มาที่ประมาณ 2.50% และ 3.50% ตามลำดับ เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ย MLR ที่อาจขยับขึ้นได้ 0.25% มาที่ 7.0%

ทั้งนี้ทั้งนั้น จุดเปลี่ยนสำคัญของวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยรอบนี้ที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คงจะได้แก่ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 เพราะทิศทางการเปลี่ยนแปลงของทั้งสองตัวแปรจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธปท. ขณะที่แนวโน้มการขยายสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ และความรวดเร็วของสภาพคล่องที่ลดลง จะเป็นปัจจัยที่กำหนดความต่อเนื่องของวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของระบบการเงินไทยในรอบนี้ด้วยเช่นกัน