ในปี 2548 ประมาณการว่าไทยจะมีการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 โดยมีสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกสำคัญคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 54 ของมูลค่าการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทย รองลงมาได้แก่ ตลาดสหภาพยุโรปที่มีสัดส่วนร้อยละ 23 และตลาดญี่ปุ่นสัดส่วนร้อยละ 5.7 ส่วนแนวโน้มในปี 2549 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยจะมีมูลค่าประมาณ 3,650-3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-15
ทั้งนี้แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมัน ประกอบกับประเทศต่างๆมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อชะลอภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้เศรษฐกิจของโลกชะลอตัวลงโดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯจากเดิมขยายตัวร้อยละ 3.6 ในปี 2548 จะชะลอตัวลงมาเหลือร้อยละ 3.3 ในปี 2549 และญี่ปุ่นจากขยายตัวร้อยละ 2.2 ในปี 2548 ชะลอตัวเหลือร้อยละ 1.9 ในปี 2549 ในขณะที่สหภาพยุโรปการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะสูงขึ้นจากร้อยละ 1.3 ในปี 2548 เป็นร้อยละ 1.7 ในปี 2549 (Consensus Forecast เดือนพฤศจิกายน 2548) อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลจากภาคการลงทุนและภาคการจ้างงานของสหรัฐฯและญี่ปุ่นที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่องทำให้การบริโภคภาคเอกชนยังคงแข็งแแกร่ง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ความต้องการบริโภคเสื้อผ้าสำเร็จรูปของประชาชนในประเทศผู้นำการค้าของโลกอย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นยังคงเติบโต
ประการสำคัญ ผลจากการที่ประเทศคู่แข่งขันทางด้านการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่สำคัญของไทยอันได้แก่จีนและเวียดนามยังคงต้องเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศผู้นำเข้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปรายสำคัญของโลกทั้งสหรัฐฯและสหภาพยุโรปเช่นเดียวกับที่ประสบมาในปี 2548 จะทำให้ไทยมีศักยภาพการแข่งขันเพิ่มขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้
จีน
ที่ผ่านมานอกจากจีนจะถูกประเทศคู่ค้าอย่างสหรัฐฯกดดันให้ปรับเพิ่มค่าเงินหยวนให้สูงขึ้นในปี 2548 และต่อเนื่องไปถึงปี 2549 ซึ่งจะทำให้สินค้าจากจีนมีราคาเพิ่มขึ้นในสายตาผู้ซื้อต่างประเทศแล้ว จีนยังถูกสหรัฐฯและสหภาพยุโรปนำมาตรการป้องกันตัวเอง (SAFEGUARD) มาใช้กีดกันการค้าในส่วนของสินค้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปตั้งแต่ช่วงกลางปี 2548 ที่ผ่านมา เนื่องจากสินค้าที่ผลิตจากจีนได้มีการส่งออกไปยังประเทศทั้งสองเพิ่มขึ้นสูงมาก ภายหลังจากมีการยกเลิกโควตานำเข้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 ตามข้อตกลงองค์การการค้าโลก(WTO)
ทั้งนี้เมื่อเดือนมิถุนายน 2548 จีนได้บรรลุข้อตกลงการค้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปกับสหภาพยุโรปโดยจะจำกัดปริมาณการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปอาทิ กางเกงขายาว กระโปรง เสื้อเชิ้ต ให้มีการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 8-12.5 ต่อปีไปจนถึงปี 2550 และล่าสุดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2548 ที่ผ่านมาจีนยังได้บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯในอันที่จะจำกัดปริมาณการส่งออกสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปจำนวน 21 รายการรวม 34 ประเภทสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯอาทิ ด้าย ผ้าผืน ถุงเท้า เสื้อเชิ้ต เสื้อสเวตเตอร์ กางเกงขายาวของบุรุษและสตรี เสื้อสูท และชุดว่ายน้ำ เป็นต้น ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 ไปจนถึง 31 ธันวาคมปี 2551 โดยอัตราการขยายตัวของปริมาณส่งออกจะถูกควบคุมให้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8-10 ในปี 2549 ร้อยละ 12.5-16 ในปี 2550 และร้อยละ 15-17 ในปี 2551 ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้ผู้นำเข้าของประเทศสหรัฐฯและสหภาพยุโรปจำเป็นต้องหันมาสั่งสินค้าจากแหล่งผลิตรายอื่นๆทดแทน ซึ่งรวมถึงไทยที่มีจุดเด่นทางด้านการผลิตสินค้ามีรูปแบบและคุณภาพในระดับราคาปานกลางรวมทั้งการส่งมอบสินค้าที่ตรงเวลามากกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งอาทิ อินเดีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน และบังคลาเทศ
เวียดนาม
เป็นคู่แข่งขันทางด้านการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่สำคัญของไทยเช่นเดียวกับจีนเนื่องจากมีต้นทุนค่าจ้างแรงงานต่ำ ทั้งนี้แต่เดิมเวียดนามมีการตั้งเป้าหมายในการเข้าเป็นสมาชิก WTO ภายในปี 2548 เพราะจะได้ไม่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขโควตาทางการค้าสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม จากปัญหาและอุปสรรคทางด้านการเจรจากับประเทศคู่ค้าที่ยังไม่ลุล่วง ส่งผลให้เวียดนามจะยังคงไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก(WTO)ได้ในช่วงการประชุมที่จะมีขึ้นที่ฮ่องกงระหว่างวันที่ 13-18 ธันวาคม 2548 ได้ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศต่างๆยังคงสามารถจำกัดโควต้าการนำเข้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากเวียดนามได้ต่อไปจนกว่าจะเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกเสียก่อน ทำให้เวียดนามไม่สามารถใช้ข้อได้เปรียบทางด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำเพื่อขยายมูลค่าการส่งออกไปยังประเทศผู้นำเข้ารายสำคัญทั้งสหรัฐฯและสหภาพยุโรปได้โดยสะดวก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถานการณ์ด้านการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยในปี 2549 จะมีปัจจัยสนับสนุนให้สามารถเติบโตได้ แต่ผู้ประกอบการของไทยก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ทั้งนี้เนื่องจากยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปซึ่งผู้ประกอบการพึงระวัง ดังนี้
1.ปัญหาการแข่งขัน
แม้ว่าประเทศจีนและเวียดนาม ซึ่งเป็นคู่แข่งขันทางด้านการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่สำคัญของไทย จะประสบกับมาตรการกีดกันการส่งออกจากประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯและสหภาพยุโรปแต่ภาวะการแข่งขันทางด้านตลาดส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยก็ยังคงถือว่ามีความรุนแรง ทั้งนี้เนื่องจากยังมีประเทศคู่แข่งทางด้านการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปรายอื่นๆที่มีศักยภาพการแข่งขันสูง อาทิ อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ และอินโดนีเซีย ซึ่งประเทศเหล่านี้ล้วนแต่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไทยทั้งสิ้น ทำให้สินค้าจากประเทศเหล่านี้ได้รับความสนใจจากผู้นำเข้าต่างประเทศที่พิจารณาทางด้านราคาเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า ในขณะที่ไทยจะได้รับความสนใจจากผู้นำเข้าที่มุ่งเน้นสินค้าที่มีรูปแบบและฝีมือการตัดเย็บในระดับราคาปานกลาง
2.ปัญหาด้านต้นทุนการผลิต
ในปี 2549 ภาครัฐเตรียมที่จะปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศในอัตราเฉลี่ย 2-11 บาท/วันทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันภาครัฐยังมีแผนที่จะปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่าเอฟทีในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2549 ตามภาวะต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและกระทบต่อศักยภาพการแข่งขันทางด้านการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปไทย เพราะที่ผ่านมาประเทศต่างๆที่มีต้นทุนการผลิตต่ำมักใช้กลยุทธ์ทางด้านราคามาเป็นปัจจัยแข่งขัน ฉะนั้นเมื่อต้นทุนการผลิตของไทยเพิ่มขึ้นทำให้การตั้งราคาส่งออกในระดับต่ำเพื่อสู้กับคู่แข่งจึงทำได้ค่อนข้างยาก
3.ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
ที่ผ่านมาผู้นำเข้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศมีคำสั่งซื้อเข้ามายังผู้ผลิตของไทยอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงกลางปี 2548 ที่ผ่านมาที่จีนกำลังเจรจากับสหรัฐฯและสหภาพยุโรปเกี่ยวกับประเด็นการจำกัดปริมาณนำเข้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ทำให้ผู้นำเข้าย้ายฐานการสั่งซื้อสินค้าไปยังแหล่งผลิตอื่นๆเพื่อลดความเสี่ยงอันได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย บังคลาเทศ ศรีลังกา และปากีสถาน รวมทั้งไทย แต่สำหรับประเทศไทยนั้นที่ผ่านมาผู้ประกอบการในภาคการผลิตต่างประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานพอสมควร โดยเฉพาะแรงงานฝีมือที่สนใจเคลื่อนย้ายไปภาคธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งที่ขยายตัวสูงมากว่าจะเคลื่อนย้ายสู่ภาคการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป ทำให้ผู้ประกอบการเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยไม่สามารถรับคำสั่งซื้อที่เข้ามาได้อย่างเต็มที่ โดยจากการสำรวจของสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติพบว่าหากอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มมีแรงงานฝีมือที่เพียงพอต่อความต้องการจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณร้อยละ 10.7 ทั้งนี้หากปัญหาการขาดแคลนแรงงานยังไม่ได้รับการแก้ไขจนต่อเนื่องไปจนถึงปี 2549 ซึ่งเป็นช่วงที่คำสั่งซื้อน่าจะมีเข้ามามากภายหลังจีนโดนมาตรการจำกัดโควต้านำเข้า ก็จะทำให้เสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยต้องสูญเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
4.ปัญหาการปลอมแปลงแหล่งกำเนิดสินค้า
จากการที่จีนถูกประเทศผู้นำเข้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปรายสำคัญของโลกคือสหรัฐฯและสหภาพยุโรปจำกัดการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปในช่วงปี 2549-2551 อาจจะผลักดันให้จีนจำเป็นต้องส่งออกสินค้าผ่านช่องทางอื่นๆ อาทิการส่งสินค้ามายังประเทศไทยผ่านทางผู้นำเข้าคนไทยหรือผ่านบริษัทที่จีนเข้ามาจัดตั้งขึ้นเพื่อปลอมแปลงแหล่งกำเนิดก่อนที่จะส่งออกไปต่างประเทศโดยอ้างว่าเป็นสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทย ซึ่งประเด็นดังกล่าวภาครัฐและผู้ประกอบการของไทยต้องติดตามและควบคุมอย่างใกล้ชิดเพราะหากทางประเทศผู้นำเข้าตรวจสอบพบจะส่งผลกระทบต่อสินค้าของไทยที่อาจจะต้องมีขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารอย่างเข้มงวดหรืออาจถูกระงับการนำเข้าได้ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งในประเด็นนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันสอดส่องดูแลไม่ให้มีการปลอมแปลงแหล่งกำเนิดสินค้าโดยเด็ดขาด
กล่าวโดยสรุปแล้ว การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยในปี 2549 มีปัจจัยหนุนหลายประการที่เอื้อต่อการส่งออกไม่ว่าจะเป็นการบริโภคภาคเอกชนของประเทศคู่ค้าทางด้านการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ที่ยังคงเติบโต ในขณะเดียวกันยังได้รับผลดีจากประเทศคู่แข่งรายสำคัญของไทยคือจีนและเวียดนามที่ยังคงถูกมาตรการกีดกันการค้าจากประเทศผู้นำเข้าอยู่ อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยก็ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกพอสมควร โดยเฉพาะคู่แข่งที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าอาทิ อินเดีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ซึ่งจะเข้ามาแย่งคำสั่งซื้อจากผู้นำเข้าในส่วนที่เคยเป็นของจีน
ดังนั้นผู้ประกอบการเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยจึงควรเร่งพัฒนาคุณภาพการผลิตทั้งทางด้านรูปแบบ และแบรนด์เนมที่เป็นของตนเองเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและเข้าสู่ตลาดส่งออกระดับกลางและตลาดบนที่มีกำลังซื้อสูง ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการเสื้อผ้าสำเร็จรูปควรพิจารณาขยายฐานการผลิตไปยังพื้นที่ต่างจังหวัด อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง อาทิ กัมพูชา ลาวที่ยังมีแรงงานราคาถูกเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตรวมทั้งแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทยได้อีกทางหนึ่ง


