บีพีบี ลงทุนกว่า 2 พันล้าน เปิดสายการผลิตแผ่นยิปซัม

พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำระบบผนังและฝ้าเพดานยิปซัมอย่างเต็มภาคภูมิ

บีพีบี เปิดสายการผลิตแผ่นยิปซัมแห่งใหม่ มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท เพื่อรองรับปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ยิปซัมที่เพิ่มมากขึ้น มุ่งสร้างมาตรฐานการผลิตระดับโลกด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการผลิตและส่งออกระบบผนังและฝ้าเพดานยิปซัมอันดับหนึ่งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย

บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิปซัม จำกัด (มหาชน) หรือ บีพีบี ผู้นำระบบผนังและฝ้าเพดานยิปซัมครบวงจร ประกาศขยายการลงทุนมูลค่ากว่า 2,200 ล้านบาท ในการเปิดสายการผลิตใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังการผลิต ให้สามารถตอบสนองความต้องการทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ตามภาวะเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

นายวิรัตน์ พนมชัย กรรมการผู้จัดการ บีพีบี กล่าวว่า “การเปิดสายการผลิตในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตของ บีพีบี ประเทศไทยเป็นสองเท่า สอดคล้องกับนโยบายของบีพีบี ในการสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ยิปซัมในภูมิภาคเอเชีย และสามารถขยายการส่งออกได้กว่าเท่าตัว ครอบคลุมประเทศ ในแถบอาเซียน และตะวันออกกลาง ด้วยกระบวนการผลิตที่มีความทันสมัยมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก”

ปัจจุบัน บีพีบี มีโรงงานสองแห่ง คือโรงงานแหลมฉบังซึ่งผลิตแผ่นยิปซัมและโครงเหล็ก และโรงงานบางปะอินที่ผลิตปูนยิปซัมพลาสเตอร์ ทั้งสองแห่งมีมูลค่ารวมกว่า 5 พันล้านบาท และสามารถรองรับการผลิตแผ่นยิปซัมถึงกว่า 80 ล้านตารางเมตรต่อปี เมื่อรวมกับการขยายสายการผลิตใหม่ และเทคโนโลยีการผลิตอันทันสมัยล่าสุด ซึ่งวิศวกรของบีพีบีได้ออกแบบ และพัฒนาร่วมกับผู้ผลิตเครื่องจักรของโรงงาน บีพีบี ประเทศไทยก็จะเป็นผู้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงที่สุด มีมาตรฐานการผลิตระดับสากลที่ทันสมัยที่สุด และก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการผลิตและส่งออกแผ่นยิปซัมรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย

นายวิรัตน์ กล่าวด้วยว่า “นอกเหนือจากการพัฒนาเทคโนโลยีอันทันสมัยแล้ว บีพีบีได้ดำเนินการสร้างมาตรฐานต่างๆ ภายในโรงงาน อาทิ ความปลอดภัยภายในโรงงานซึ่งปัจจุบัน เป็นสถานที่ทำงานที่ปลอดอุบัติเหตุติดต่อกันถึง 3 ปีซ้อน หรือกว่า 3 ล้านชั่วโมงการทำงาน การใช้วัตถุดิบให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ โดยการนำความร้อนกลับมาใช้ในกระบวนการผลิต ตลอดจนส่งเสริมศักยภาพของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บีพีบี ยังเดินหน้ากลยุทธ์พัฒนาบริการต่างๆ ด้านการจัดจำหน่าย การจัดส่งสินค้า และการให้คำปรึกษาผ่านศูนย์บริการบีพีบีทั่วประเทศ และเพิ่มช่องทางการสั่งสินค้าแบบ Internet Web Ordering ที่รวดเร็ว แม่นยำ และทันสมัย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างความพึงพอในสูงสุดแก่ลูกค้าทุกท่านที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบีพีบี”

ตลอดเวลาที่ผ่านมา บีพีบีไม่เพียงมุ่งเจาะตลาดผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัมเท่านั้น แต่ยังทำการตลาดวัสดุที่ใช้ประกอบกับแผ่นยิปซัม และวัสดุที่ผลิตจากแผ่นยิปซัม เช่น ปูนพลาสเตอร์ยิปซัม ซึ่งให้ความสวยงาม เรียบเนียน ไม่แตกร้าว เพื่อทดแทนปูนฉาบผนังก่ออิฐ หรือโครงคร่าวเหล็กแบบพิเศษลิขสิทธิ์เฉพาะบีพีบีที่ได้มาตรฐานมอก. เป็นต้น โดยเป็นการเสนอสินค้าและบริการแบบครบวงจร ซึ่งตลาดมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยมีมูลค่าตลาดรวมของแผ่นยิปซัมประมาณ 3 พันล้านบาท โดยบีพีบี มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 45 % และในส่วนตลาดโครงคร่าวเหล็กและอุปกรณ์เสริมมีมูลค่ารวมประมาณ 2 พันล้านบาท เมื่อเปิดสายการผลิตใหม่ และเดินหน้ากลยุทธ์ทางการตลาดอย่างเต็มที่ในปีหน้านี้ คาดว่าจะทำให้มีส่วนแบ่งตลาดโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดโครงคร่าวเหล็กเพิ่มขึ้นอีก 30%

“บีพีบี นำเสนอผลิตภัณฑ์ยิปซัม โครงคร่าวเหล็ก และอุปกรณ์เสริมที่มีคุณภาพสูงแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องมาถึง 30 ปีแล้ว เราจะเดินหน้านำเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ด้วยนวัตกรรมเพื่องานก่อสร้างและตกแต่งภายใน ทั้งระบบผนังและฝ้าเพดานยิปซัมที่สอดคล้องกับทุกรูปแบบการใช้งาน ด้วยพันธกิจในการสร้างสินค้าและบริการที่มีมาตรฐานสูงสุด การสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ถือหุ้น และความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม วันนี้ บีพีบี จึงพร้อมแล้วที่จะก้าวไปสู่การเป็นผู้นำระบบผนังและฝ้าเพดานยิปซัม และเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลกอย่างแท้จริง” นายวิรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย

ภาพ Mr.David Pugh Operation Director, คุณวิรัตน์ พนมชัย กรรมการผู้จัดการ, คุณชัยฤทธิ์ สังสิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด