ในปี 2548 ภาวะตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศมีความผันผวนค่อนข้างมาก อันเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง สถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ที่ยังคงรุนแรง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันที่ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและตลาดยานยนต์ทั้งระบบ(ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์) ประกอบกับสภาวะที่ตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศกำลังเข้าสู่จุดอิ่มตัว ทำให้ยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในปี 2548 ค่อนข้างซบเซา
โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปีซึ่งภาครัฐได้มีการประกาศลอยตัวราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหลังจากได้พยายามตรึงราคามาหลายปี ในขณะที่น้ำมันเบนซินก็ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในช่วงครึ่งปีแรก 2548 จึงมีการชะลอตัวและสะดุดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยยอดขายรถจักรยานยนต์ในบางเดือน อันได้แก่ เดือน ก.พ. มี.ค. และเม.ย.มีอัตราเติบโตติดลบ (คือร้อยละ-0.87, -2.12 และ –11.59 ตามลำดับ) เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2547
อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดได้กระเตื้องขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 ทำให้ตลาดรถจักรยานยนต์ตลอดปี 2548 ยังคงมีการขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 4.0 ด้วยยอดขายประมาณ 2.11 ล้านคัน ซึ่งนับว่าชะลอตัวลงมากเทียบกับที่ได้เคยเติบโตถึงร้อยละ 14.7 และร้อยละ 33.1 ในปี 2547 และ 2546 ตามลำดับ (ดูในตารางที่ 1) คาดว่าในปี 2549 ภาวะตลาดรถจักรยานยนต์ภายในประเทศจะมีการขยายตัวไม่มากนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงผันผวน ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูงและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมทั้งสภาพตลาดรถจักรยานยนต์ภายในประเทศเองที่ใกล้จะอิ่มตัว ทั้งนี้ ตลาดน่าจะเติบโตในอัตราประมาณร้อยละ 3 เท่านั้น ด้วยยอดจำหน่ายรวมทั้งปีจะอยู่ที่ใกล้ๆ 2.2 ล้านคัน
ในขณะที่ภาวะตลาดรถจักรยานยนต์ภายในประเทศที่กำลังจะอิ่มตัว อย่างไรก็ตามภาคการส่งออกรถจักรยานยนต์กลับมีแนวโน้มขยายตัวอย่างเด่นชัด ทั้งนี้ ผู้ประกอบการค่ายรถจักรยานยนต์ต่างมองเห็นศักยภาพการขยายตลาดไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนทำให้มูลค่าส่งออกรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบของไทยได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยในปี 2547 มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 512.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 41 จากปีก่อนหน้า และประมาณว่าทั้งปี 2548 มูลค่าส่งออกจะขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 670 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ในช่วง 11 เดือนแรกปี 2548นี้ มูลค่าส่งออกรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบของไทยเท่ากับ 609.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30.6 จากปีช่วงเวลาเดียวกันของปี 2547 โดยที่ตลาดส่งออกส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 50-60 เป็นประเทศในภูมิภาคอาเซียน ที่สำคัญได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และมาเลเซีย อันเป็นผลจากการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซี่ยนหรืออาฟต้า คาดว่าการส่งออกจะยังคงไปได้ดีต่อเนื่องในปี 2549 ด้วยอัตราการเติบโตประมาณร้อยละ 30-35 ทำให้มูลค่าส่งออกรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบของไทยในปี 2549 น่าจะสูงถึงประมาณ 900 ล้านเหรียญสหรัฐ
ตารางที่ 1 : ปริมาณยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของไทย
ปี ยอดขายในประเทศ
( จำนวนคัน ) อัตราการเปลี่ยนแปลง
(%)
2543 783,678 29.7
2544 907,100 15.7
2545 1,327,675 46.4
2546 1,766,860 33.1
2547 2,026,841 14.7
2548 (ม.ค-พ.ย) 1,926,467 4.1
2548* 2,110,000 4.0-4.2
2549* 2,180,000 3.0-3.5
หมายเหตุ 1. ร้อยละของการเปลี่ยนแปลงเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้า
2.* ประมาณการและคาดการณ์ปี 2548-49 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ที่มา : สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย,
สถาบันยานยนต์, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ตารางที่ 2 : มูลค่าส่งออกรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ
(ล้านเหรียญสหรัฐ)
ปี 2544 2545 2546 2547 2548
(ม.ค.-พ.ย.)
รถจักรยานยนต์ 96.9
(-13.0%) 109.1
(12.6%) 138.4
(26.9%) 205.6
(48.5%) 277.3
(48.0%)
ชิ้นส่วนประกอบ 150.0
(-20.5%) 165.3
(10.2%) 223.5
(35.2%) 307.2
(37.4%) 332.0
(19.0%)
รวม 246.9
(-17.7%) 274.4
(11.1%) 361.9
(31.9%) 512.8
(41.7%) 609.3
(30.6%)
หมายเหตุ : ตัวเลขในวงเล็บคืออัตราการเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า
ที่มา ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือของกรมศุลกากร
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้สรุปประเด็นที่สำคัญ ตลอดจนแนวโน้มอุตสาหกรรมและภาวะตลาดรถจักรยานยนต์ของไทยดังนี้
• ปัจจุบันตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศมีการแข่งขันค่อนข้างสูง
โดยค่ายรถต่างๆพยายามใช้กลยุทธ์การตลาดเพื่อรักษาหรือช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดระหว่างกัน ทั้งนี้ผู้ผลิตรายใหญ่ๆที่ครองตลาดอยู่จะเป็นค่ายรถจักรยานยนต์ญี่ปุ่น อันได้แก่ ฮอนด้า ยามาฮ่า ซูซูกิ คาวาซากิ รวมแล้วกว่าร้อยละ 90 ของยอดขายทั้งหมดในประเทศซึ่งมีประมาณ 2 ล้านคันต่อปี อย่างไรก็ตามค่ายผู้ผลิตรายอื่นๆ ทั้งจากภายในประเทศ คือรถจักรยานยนต์ไทเกอร์ของคนไทย และจากประเทศเพื่อนบ้านคือมาเลเซียที่ผลิตรถจักรยานยนต์เจอาร์ดี อีกทั้งรถจักรยานยนต์จากประเทศจีน ต่างกำลังเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้การรุกตลาดของรถจักรยานยนต์ราคาถูกจากจีนกำลังเป็นที่จับตามองจากผู้ประกอบการเดิมในตลาด และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีค่ายรถจักรยานยนต์จากจีนคือ เฮ็นซิม (Hensim) ก็ได้เปิดโครงการเพื่อผลิตรถจักรยานยนต์ในไทย ภายใต้ชื่อแพล็ททินัม
นอกจากนี้ ก็ยังมีการนำเข้ารถจักรยานยนต์ราคาถูกหลากหลายรุ่นจากจีนเพื่อมาจำหน่ายในประเทศไทยโดยส่วนหนึ่งผ่านการค้าชายแดน ส่งผลกระทบต่อภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาด ซึ่งการนำเข้านี้มีทั้งในลักษณะรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป(CBU) แบบนำชิ้นส่วนเข้ามาประกอบ(CKD) และนำเข้าชิ้นส่วนมาเป็นอะไหล่ทดแทน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์รายเดิมในตลาดมองว่า รถจักรยานยนต์จากจีนเหล่านี้ส่วนใหญ่น่าจะเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดในบางเซ็กเมนท์ โดยเฉพาะในตลาดล่างเป็นหลัก นอกจากจำนวนผู้ประกอบการในตลาดที่เพิ่มขึ้นแล้ว การพัฒนาเทคโนโลยีรถจักรยานยนต์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ก็จะเพิ่มอุณหภูมิการแข่งขันรวมทั้งทำให้ตลาดคึกคักและมีสีสันขึ้นด้วย โดยเฉพาะการที่ผู้ผลิตหลายค่ายได้นำรถจักรยานยนต์แบบเกียร์ออโตเมติกออกสู่ตลาด โดยหวังจะดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้น
• แม้ว่าโดยทั่วไปวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันจะได้ส่งผลกระทบต่อตลาดยานยนต์ในประเทศ
ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ทำให้ยอดขายชะลอตัวลงไม่เติบโตมากเหมือนในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีผู้ประกอบการในธุรกิจอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์บางรายกลับเห็นว่า ภาวะราคาน้ำมันที่รุนแรงขึ้นเมื่อถึงจุดหนึ่ง น่าจะกระทบตลาดรถยนต์มากกว่าตลาดรถจักรยานยนต์ ซึ่งจัดเป็นยานพาหนะที่สิ้นเปลืองต้นทุนค่าเชื้อเพลิงต่ำกว่ายานยนต์ประเภทอื่นๆ ตลาดรถจักรยานยนต์จึงสามารถปรับตัวจากวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันและภาวะเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตลาดผู้บริโภคในต่างจังหวัดและผู้มีรายได้ไม่มาก ซึ่งอาจทำให้แนวโน้มตลาดรถจักรยานยนต์ไม่ชะลอตัวลงมากนักอย่างที่เคยมีการวิตกกัน
ก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการหลายรายในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์มองว่าตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยกำลังเข้าสู่จุดอิ่มตัวเข้าไปทุกที หลังจากที่ได้เติบโตต่อเนื่องมาหลายสิบปีจนทำให้ปัจจุบันสัดส่วนจำนวนรถจักรยานยนต์ต่อจำนวนประชากรในประเทศไทยสูงถึง 1 คันต่อ 3-4 คน ด้วยจำนวนรถจักรยานยนต์ที่ใช้งานบนท้องถนนประมาณ 16 ล้านคันทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีจำนวนยอดขายกว่า 2 ล้านคันต่อปี อย่างไรก็ตาม วิกฤตการณ์ราคาน้ำมันอาจเพียงช่วยยืดเวลาที่ตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศจะเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวออกไปได้อีกระยะหนึ่งก็เป็นได้
• ภาวะชะลอตัวของตลาดรถจักรยานยนต์ประกอบกับแนวโน้มการอิ่มตัวของตลาดในประเทศ
จะยิ่งกระตุ้นให้ผู้ประกอบการขยายตลาดส่งออกมากขึ้นไปอีก ซึ่งนั่นหมายถึงการผลิตรถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนประกอบเพื่อการส่งออกจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มูลค่าส่งออกรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบของไทยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง จากมูลค่ารวมที่ 246.9 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2544 ได้สูงขึ้นถึง 512.8 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2547 หรือมีอัตราขยายตัวสูงกว่า 2 เท่าในเวลาเพียง 3 ปี และในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2548 มูลค่าส่งออกดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นถึง 609.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือขยายตัวถึงกว่าร้อยละ 30.6 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
ในแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อการส่งออกสู่ตลาดโลกหรือเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชียนั้น ได้รวมการพัฒนาอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ไทยด้วย โดยที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยก็มองเห็นศักยภาพของอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ของไทยว่ายังไปได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการส่งออก แม้ว่าตลาดในประเทศปัจจุบันจะมีอัตราเติบโตที่ชะลอตัวลงก็ตาม ทั้งนี้จุดแข็งของอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ไทย คือการมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีแรงงานที่มีความสามารถในการผลิต โดยสามารถผลิตชิ้นส่วนได้ครบและผลิตรถจักรยานยนต์ภายใต้แบรนด์เนมต่างๆ ที่มีชื่อเสียงของโลกมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นฮอนด้า ยามาฮ่า ซูซูกิ คาวาซากิ ฯลฯ
นอกจากนี้นโยบายภาครัฐที่ได้ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์มาโดยตลอด ก็ได้ทำให้อุตสาหกรรมนี้พัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ของไทย ก็ยังมีจุดอ่อนซึ่งเป็นปัญหาของอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยโดยรวมที่ต้องปรับปรุงแก้ไข อันได้แก่ การขาดแคลนบุคลากรด้านวิศวกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตนเอง อีกทั้งอุตสาหกรรมพื้นฐานที่จะมาสนับสนุน เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก ฯลฯ ก็ยังต้องมีการพัฒนาเพื่อให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันมากกว่านี้
ส่วนในด้านโอกาสนั้น การขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศอินโดจีนและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเติบโตของตลาดสูง ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา เวียดนาม ลาว ประกอบกับการเปิดเสรีทางการค้าในภูมิภาคอาเซี่ยนหรืออาฟต้า ได้ทำให้ตลาดส่งออกรถจักรยานยนต์รวมทั้งชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ของไทยขยายตัวอย่างมาก รวมทั้งตลาดส่งออกหลักของรถจักรยานยนต์ไทยอย่างเช่นสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ยังคงมีศักยภาพ
อย่างไรก็ตาม การเปิดการค้าเสรีมากขึ้นดังกล่าว ก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบในด้านตรงข้าม อันอาจเป็นการเพิ่มอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ไทย ที่สำคัญก็คือ ภาวะการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันจากรถจักรยานยนต์จีนที่เข้ามาตีตลาดไทย แต่ในขณะเดียวกันการประกาศใช้มาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้นในตลาดต่างประเทศตามเกณฑ์ของสหภาพยุโรป ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถจักรยานยนต์ไทยสู่ตลาดโลกได้ ซึ่งผู้ประกอบการในประเทศก็จะต้องมีการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานตามเกณฑ์สากลที่นับวันจะเข้มข้นขึ้นตามลำดับ
อย่างไรก็ดี จากปัจจุบันที่การส่งออกรถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนของไทยมีการเติบโตเป็นลำดับ ด้วยมูลค่ากว่า 600-700 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2548 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะขยายตัวต่อไปอีกประมาณร้อยละ 30-35 ในปี 2549 นี้ มาอยู่ที่มูลค่าประมาณ 900 ล้านเหรียญสหรัฐ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงเห็นว่าในขณะที่ตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศมีอัตราการเติบโตที่เชื่องช้าลง แนวโน้มการขยายตัวของอุตสาหกรรมดังกล่าวจึงจะขึ้นกับศักยภาพในการส่งออกเป็นสำคัญ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบ่งชี้ถึงอนาคตของอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ไทย เช่นเดียวกับในกรณีของอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยที่กำลังมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อการส่งออก หรือดีทรอยต์แห่งเอเชีย