วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2549 เป็นวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันก่อนวันวาเลนไทน์ 1 วัน บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด สำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯในเรื่อง “กิจกรรมวันมาฆบูชาของคนกรุงเทพฯ” ในระหว่างวันที่ 1-7 กุมภาพันธ์ 2549 จำนวน 1,644 คน โดยเน้นการสำรวจที่มีการกระจายไปในเขตต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ และกระจายอาชีพ เพศ และอายุของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งพิจารณาเห็นว่าปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการแสดงพฤติกรรมต่างๆในการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา โดยเล็งเห็นความสำคัญของศาสนาที่จะมีบทบาทกล่อมเกลาจิตใจคนไทยในภาวะที่บีบรัดทางเศรษฐกิจ และสังคมให้มีจิตใจที่หนักแน่น มั่นคง สามารถต่อสู้กับปัญหา อุปสรรคต่างๆอย่างมีปัญญาในการแก้ปัญหาต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไป ซึ่งล้วนเป็นคุณค่าทางจิตใจ อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาของคนกรุงเทพฯก็ทำให้เกิดเม็ดเงินสะพัดในหลากธุรกิจเช่นเดียวกัน แม้ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวันวาเลนไทน์แล้วจะแตกต่างกันอย่างมากก็ตาม
ใส่บาตร บริจาคเงิน ทำสังฆทาน…กิจกรรมยอดฮิตในวันมาฆบูชา
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด สำรวจ“กิจกรรมวันมาฆบูชาของคนกรุงเทพฯ” ในระหว่างวันที่ 1-7 กุมภาพันธ์ 2549 จำนวน 1,644 คน พบว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่คนกรุงเทพฯตั้งใจจะทำในวันมาฆบูชาเป็นอันดับหนึ่งคือ ใส่บาตร รองลงมาคือ ถวายสังฆทานและบริจาคเงิน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีว่ากลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัยรุ่นก็ยังตั้งใจจะเข้าร่วมทำบุญในวันมาฆบูชานี้เช่นกัน โดยกลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัยรุ่นส่วนใหญ่นั้นเลือกกิจกรรมการใส่บาตรมากเป็นอันดับหนึ่งเช่นกัน แต่อันดับรองลงมากลุ่มวัยรุ่นจะเลือกการบริจาคสิ่งของและบริจาคเงิน ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุมากขึ้นตั้งใจจะใส่บาตร ถวายสังฆทาน และบริจาคเงิน ส่วนกิจกรรมที่กลุ่มตัวอย่างระบุว่าจะทำในวันมาฆบูชาที่น่าสนใจคือ การกินเจ/มังสวิรัติ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างบางกลุ่มทำเป็นกิจวัตรทุกวันพระ และบางกลุ่มเพิ่งจะเริ่มหันมาปฏิบัติโดยเห็นว่าเป็นการทำบุญอีกประเภทหนึ่งด้วยเช่นกัน
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ในปี 2549 วันมาฆบูชาตรงกับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันก่อนวันวาเลนไทน์ 1 วัน จากการสำรวจพบว่ากลุ่มตัวอย่างให้ความสำคัญกับวันมาฆบูชาแตกต่างกันตามอายุ กล่าวคือเมื่อแยกพิจารณากลุ่มตัวอย่างตามอายุแล้วจะพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปจะให้ความสำคัญกับวันมาฆบูชามากกว่าวันวาเลนไทน์ ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่อายุน้อยกว่า 30 ปีให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากกว่าวันมาฆบูชา แม้ว่ากลุ่มตัวอย่างนี้ก็ยังเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาในวันมาฆบูชาโดยเน้นการใส่บาตรเป็นหลัก
กิจกรรมวันมาฆบูชา…เม็ดเงินสะพัด 250 ล้านบาท
แม้ว่าสิ่งที่ผู้ประกอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนานั้นคือ คุณค่าทางจิตใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่ากิจกรรมทางศาสนานั้นก่อให้เกิดเม็ดเงินสะพัดในหลากธุรกิจประมาณ 250 ล้านบาท โดยคำนวณจากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยและจำนวนผู้ที่ตั้งใจจะไปทำบุญในวันมาฆบูชานี้ ซึ่งจากการสำรวจพบว่าคนกรุงเทพฯที่เป็นกลุ่มตัวอย่างคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายในการร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนาเฉลี่ย 125 บาทต่อคน อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายนี้จะแตกต่างกันอย่างมากตามแต่กำลังซื้อของแต่ละคน และยังแตกต่างกันตามอายุ กล่าวคือ กลุ่มวัยรุ่นมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 100 บาทต่อคน กลุ่มตัวอย่างที่อายุ 20-40 ปีมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 150-200 บาท และกลุ่มที่มีอายุมากกกว่า 40 ปีขึ้นไปนั้นมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 200-400 บาท
ธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์ในวันมาฆบูชา มีดังนี้
-ธุรกิจจำหน่ายอาหารสำเร็จรูป
ซึ่งธุรกิจเหล่านี้จะมีการจัดชุดใส่บาตรอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ต้องการตักบาตร และผู้ที่ต้องการนำอาหารไปถวายพระที่วัด สำหรับคนกรุงเทพฯที่นานๆ ตักบาตรครั้งนับเป็นเรื่องใหญ่ และไม่คุ้นเคยมากนัก ดังนั้นพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในการหันไปพึ่งอาหารสำเร็จรูปนอกบ้านในการตักบาตรมากขึ้น โดยอาศัยความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดเวลา ก่อให้เกิดธุรกิจที่เอื้ออำนวยความสะดวกในส่วนนี้ตามมามีมูลค่าไม่น้อยในแต่ละปี
– ธุรกิจร้านสังฆภัณฑ์ และซุปเปอร์มาร์เก็ต
โดยคาดว่ายอดจำหน่ายเครื่องสังฆทานสำเร็จรูปจะเพิ่มขึ้นในช่วงวันสำคัญทางศาสนา โดยที่สินค้าในร้านสังฆภัณฑ์และซุปเปอร์มาร์เก็ตจะเน้นไปที่กลุ่มของอาหารกระป๋อง ทั้งคาวและหวาน นอกเหนือจากเครื่องสังฆภัณฑ์ที่ปัจจุบันมีจำหน่ายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างแพร่หลายด้วยเช่นกัน ทั้งนี้นับว่าเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคเพิ่มขึ้น และเป็นการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายของสินค้าประเภทเครื่องสังฆภัณฑ์
– ธุรกิจร้านจำหน่ายดอกไม้
ธุรกิจร้านจำหน่ายดอกไม้สดนี้นับว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากในช่วงวันสำคัญทางศาสนานั้นยอดจำหน่ายดอกไม้สดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพวงมาลัยและดอกบัว โดยคนกรุงเทพฯที่จะเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาในช่วงวันมาฆบูชาที่เป็นกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 98.9 ระบุว่าตั้งใจจะซื้อดอกไม้ไปถวายพระด้วย โดยดอกไม้ที่ตั้งใจจะซื้อนั้นร้อยละ 58.9 ระบุว่าเป็นดอกบัว และอีกร้อยละ 41.1 ตั้งใจจะซื้อพวงมาลัย
มาฆบูชา วาเลนไทน์…ค่าใช้จ่ายที่แตกต่าง
จากการสำรวจพบประเด็นที่น่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายต่างๆในช่วงวันมาฆบูชาและวันวาเลนไทน์ ดังนี้
ค่าใช้จ่ายในช่วงวันมาฆบูชาและวันวาเลนไทน์
บาท/คน
วันมาฆบูชา วันวาเลนไทน์
กิจกรรมทางศาสนา ซื้อดอกไม้ รวม ซื้อดอกไม้ ซื้อของขวัญ รวม
13-19 ปี 42 58 100 300 300 600
20-30 ปี 78 72 150 285 350 635
31-40 ปี 98 102 200 150 460 610
41-50 ปี 100 100 200 100 160 260
51-60 ปี 440 110 550 100 150 250
มากกว่า 60 ปี 200 200 400 50 100 150
ที่มา : โพลล์ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่คนกรุงเทพฯที่เป็นกลุ่มตัวอย่างตั้งใจจะใช้จ่ายในวันมาฆบูชาและวันวาเลนไทน์นั้นจะแตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านดอกไม้ ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยสำคัญคือ ราคาของดอกไม้ เนื่องจากในช่วงวันวาเลนไทน์นั้นราคาดอกกุหลาบจะอยู่ในเกณฑ์สูงกว่าปกติ เมื่อเทียบกับราคาดอกบัวและพวงมาลัยในช่วงวันสำคัญทางศาสนาแล้วราคาก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ อย่างไรก็ตามทั้งสองเทศกาลนี้มีส่วนช่วยทำให้ยอดจำหน่ายดอกไม้ของบรรดาร้านจำหน่ายดอกไม้สดเพิ่มขึ้นอย่างมาก
จากการสำรวจพบว่ากลุ่มอายุที่ต่ำกว่า 40 ปีนั้นค่าใช้จ่ายในวันวาเลนไทน์จะสูงกว่าค่าใช้จ่ายในวันมาฆบูชา เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างนี้ยังคงให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์ ในขณะที่กลุ่มอายุที่มากกว่า 50 ปีนั้นค่าใช้จ่ายในวันมาฆบูชาจะสูงกว่าในวันวาเลนไทน์ เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างนี้ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์น้อยลง
ภาวะเศรษฐกิจ…ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการทำบุญ
ในการสำรวจพบว่าภาวะเศรษฐกิจมีผลกระทบต่อพฤติกรรมการทำบุญของคนกรุงเทพฯ โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 9.8 ระบุว่าภาวะเศรษฐกิจมีผลต่อการทำบุญอย่างมาก และร้อยละ 62.5 ระบุว่าภาวะเศรษฐกิจมีผลต่อการทำบุญบ้าง ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 27.9 ระบุว่าภาวะเศรษฐกิจไม่มีผลต่อการทำบุญ ดังนั้นพฤติกรรมการทำบุญของคนกรุงเทพฯก็อาจใช้เป็นดัชนีชี้วัดภาวะเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี โดยในยามที่เศรษฐกิจดีนั้นคนกรุงเทพฯจะมีการทำบุญมาก อย่างไรก็ตามปัจจัยอื่นๆนอกจากภาวะเศรษฐกิจที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการทำบุญที่สำคัญคือ สภาพจิตใจ ซึ่งแสดงออกผ่านทางคำอธิษฐานในช่วงที่ทำบุญ
คำอธิษฐานของคนกรุงเทพฯในช่วงที่ทำบุญนั้นเป็นการแสดงความในใจ โดยคำอธิษฐานอันดับแรกของกลุ่มตัวอย่างคือ ขอให้มีสุขภาพดี/อายุยืนยาว รองลงมาคือ ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข ขอให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และขอให้ร่ำรวยมั่งคั่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนกรุงเทพฯนั้นสนใจในเรื่องสุขภาพเป็นอันดับแรก แต่ก็มีความวิตกเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง เนื่องจากคำอธิษฐานนี้อยู่ในอันดับสอง แทนที่การขอความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานและการขอความร่ำรวยมั่งคั่งให้กับตัวเอง
บทสรุป
ในปี 2549 การสำรวจพฤติกรรมของคนกรุงเทพฯในวันมาฆบูชานับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เนื่องจากวันมาฆบูชาปีนี้เป็นวันก่อนวันวาเลนไทน์ 1 วัน จากการสำรวจพบว่ากลุ่มตัวอย่างยังคงให้ความสำคัญกับวันมาฆบูชา แต่จะแตกต่างกันขึ้นกับอายุของกลุ่มตัวอย่าง โดยกลุ่มตัวอย่างที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปจะให้ความสำคัญกับวันมาฆบูชามากกว่าวันวาเลนไทน์ ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่อายุน้อยกว่า 30 ปีให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากกว่าวันมาฆบูชา แม้ว่ากลุ่มตัวอย่างนี้ก็ยังเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาในวันมาฆบูชาโดยเน้นการใส่บาตรเป็นหลัก อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในวันมาฆบูชาและวันวาเลนไทน์นั้นจะแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการซื้อดอกไม้ เนื่องจากดอกกุหลาบซึ่งเป็นดอกไม้ยอดนิยมในวันวาเลนไทน์นั้นมีราคาแพงมาก รวมทั้งบรรดาธุรกิจร้านค้าต่างๆหันไปอิงกระแสวันวาเลนไทน์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ในขณะที่ดอกไม้ยอดนิยมในวันมาฆบูชาจะเป็นดอกบัวและพวงมาลัย ซึ่งราคาไม่มีการปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตามธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์ทั้งจากวันมาฆบูชาและวันวาเลนไทน์คือ ธุรกิจร้านจำหน่ายดอกไม้สด โดยในวันมาฆบูชาจะมียอดจำหน่ายดอกบัวและพวงมาลัยเพิ่มขึ้น ส่วนในวันวาเลนไทน์นั้นยอดจำหน่ายดอกไม้สดโดยเฉพาะดอกกุหลาบเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้การประกอบกิจกรรมทางศาสนาของคนกรุงเทพฯในวันมาฆบูชานอกจากจะมีผลสำคัญต่อจิตใจแล้ว ยังมีส่วนทำให้เกิดเม็ดเงินสะพัดในหลากธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจจำหน่ายอาหารสำเร็จรูปสำหรับใส่บาตรและถวายพระ ธุรกิจร้านสังฆภัณฑ์และซุปเปอร์มาร์เก็ตที่จำหน่ายเครื่องสังฆภัณฑ์และอาหารกระป๋องต่างๆ


