บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปี’49 : ยังเติบโตต่อเนื่อง…ยุคกำลังซื้อแผ่ว

ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยในปี 2549 คาดว่ามูลค่าจะเติบโตร้อยละ 10 จากปัจจุบันที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนสำคัญจากกำลังซื้อของประชาชาชนที่ถูกกระทบจากปัญหาค่าครองชีพภายหลังจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ประชาชนระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้ความต้องการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีราคาไม่สูงมากนักมีเพิ่มขึ้น ประกอบกับในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2549 จะมีการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ประเทศเยอรมนีและมีการถ่ายทอดสดมายังประเทศไทยในช่วงเวลาดึกของไทยเริ่มคู่แรกเวลาประมาณ 3 ทุ่ม และคู่สุดท้ายเวลาตีสาม ส่งผลให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งเป็นอาหารที่สะดวกในการปรุงเข้ามาตอบสนองความต้องการของผู้ที่ติดตามชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ผลจากการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้ประกอบการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 3 รายใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งในตลาดถึงกว่าร้อยละ 90 ประกอบกับปัจจัยทางด้านต้นทุนการผลิตและต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นปัจจัยกดดันของธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่สำคัญ

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นอาหารที่มีจุดเด่นทางด้านความสะดวกในการปรุง รวมทั้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการพอสมควร ในขณะเดียวกัน จากการที่ผู้ผลิตมีการแข่งขันกันพัฒนารสชาติของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างต่อเนื่องจนใกล้เคียงกับรสชาติอาหารที่มีจำหน่ายทั่วไปตามท้องตลาด ประการสำคัญจากการให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโภชนาการทางด้านอาหารจากภาครัฐและองค์กรภาคเอกขน ส่งผลให้เกิดการนำเอาไข่ เนื้อสัตว์ และผักใส่เข้าไปผสมกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโดยผู้บริโภคเองหรือร้านอาหารที่ใช้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นส่วนประกอบ ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในคุณค่าของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่รับประทานยิ่งขึ้น และยิ่งในช่วงที่กำลังซื้อของประชาชนปรับลดลงความต้องการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีราคาไม่สูงนักจึงมีเพิ่มขึ้น

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นแล้ว ปัจจัยเด่นอีกประการของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั่นคือเป็นอาหารซึ่งเหมาะสำหรับยามฉุกเฉินอาทิ ในช่วงน้ำท่วมซึ่งปัจจุบันคนกรุงเทพฯและต่างจังหวัดต้องเผชิญกันเป็นประจำแทบทุกปี ส่งผลให้ส่วนใหญ่แต่ละครัวเรือนจะมีการสำรองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไว้ประจำบ้าน ในขณะเดียวกันบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็มักจะเป็นสินค้าลำดับต้นๆที่ประชาชนจะจัดส่งไปบริจาคให้กับผู้ประสบภัยต่างๆทั้งอุทกภัย วาตภัย และอัคคีภัยในพื้นที่ต่างๆ ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ดังจะเห็นได้จากปริมาณการจำหน่ายจาก 93,997.2 ตันในปี 2546 เพิ่มขึ้นมาเป็น 105,313.72 ตันในปี 2547 ส่วนในปี 2548 ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าปริมาณการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะมีประมาณ 111,000 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 ทั้งนี้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงอันเป็นผลมาจากปัจจัยทางด้านราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ประกอบกับในปี 2548 มีปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของไทยทั้งภาคเหนือและภาคใต้ ความต้องการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของผู้ประสบภัยจึงมีค่อนข้างมาก

สำหรับสถานการณ์ของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปี 2549 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าปริมาณการจำหน่ายในประเทศจะมีประมาณ 117,000-118,000 ตันเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 5.0-6.0 โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้

ภาวะกำลังซื้อของประชาชน
แม้ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2549 จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4.0-5.0 เทียบกับปี 2548 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 4.5 แต่เมื่อพิจารณาทางด้านกำลังซื้อของประชาชนที่ถูกกดดันจากปัญหาค่าครองชีพที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามปัจจัยของราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยทำให้ประชาชนมีภาระค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าผ่อนบ้านและผ่อนรถเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประชาชนหันมาประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่นๆอาทิ ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ซึ่งได้ปรับราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 5 บาทจากราคา 25-30 บาทเป็น 30-35 บาทภายหลังจากต้นทุนการผลิตต่างๆไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบทั้งในส่วนของผัก เนื้อสัตว์ ต้นทุนพลังงานไฟฟ้า ราคาแก๊ส และต้นทุนค่าขนส่งปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่จำหน่ายทั่วไปส่วนใหญ่ยังคงมีราคาประมาณ 5 บาทต่อซอง ซึ่งหากผู้บริโภคใส่ไข่เพิ่มลงไปเพื่อเพิ่มคุณค่าอาหารก็มีต้นทุนรวมกันไม่เกิน 10 บาท ดังนั้นประชาชนที่มีกำลังซื้อจำกัดจึงนิยมบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งมีความหลากหลายของรสชาติให้เลือกในจำนวนความถี่ที่เพิ่มขึ้นเพื่อประหยัดรายจ่าย

การเพิ่มช่องทางจำหน่ายของผู้ประกอบการ
ปัจจุบัน นอกเหนือจากร้านชำ ร้าน สะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งเป็นช่องทางจัดจำหน่ายดั้งเดิมแล้วผู้ประกอบการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังมีการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้ามากขึ้น อาทิ การติดตั้งตู้จำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รวมทั้งการดัดแปลงรถยนต์เป็นร้านจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ปรุงเสร็จพร้อมรับประทานตามแหล่งชุมชนต่างๆอาทิ สถานศึกษา อาคารสำนักงาน เป็นต้น
การแข่งขันฟุตบอลโลก ในช่วง 1 เดือนระหว่างวันที่ 9 มิถุนายนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2549 จะมีมหกรรมการแข่งขันกีฬายิ่งใหญ่ที่ทั่วโลกรวมทั้งคนไทยเป็นจำนวนมากให้ความสนใจติดตามชมอันได้แก่ การแข่งขันฟุตบอลโลกที่ประเทศเยอรมนีเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ตารางการแข่งขันจะอยู่ตรงกับช่วงกลางคืนของประเทศไทยคือคู่แรกเวลาประมาณ 21.00 น. คู่ที่สองเวลา 24.00 น. และคู่สุดท้ายเวลา 03.00 น. ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ผู้ที่สนใจติดตามชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารโดยเพิ่มอาหารมื้อดึกจากมื้อปกติอาทิ อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง ฟาสต์ฟูดส์ ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมพร้อมดื่ม และน้ำอัดลม เป็นต้น โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นจะค่อนข้างได้รับความนิยมจากผู้ที่นอนดึกเพื่อติดตามการแข่งขันฟุตบอลโลกเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นอาหารที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักซื้อไว้ประจำบ้านอยู่แล้ว อีกทั้งระยะเวลาในการปรุงที่สั้น สะดวกไม่ยุ่งยากทำให้ไม่ขัดจังหวะการติดตามชมการแข่งขันช่วงสำคัญ ประการสำคัญคือมีราคาถูกเมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่นๆ ทั้งนี้คาดว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ได้รับความสนใจจากผู้ติดตามชมการแข่งขันฟุตบอลโลกค่อนข้างมากได้แก่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยและแบบชาม ซึ่งมีจุดเด่นคือเมื่อรับประทานเสร็จแล้วสามารถทิ้งบรรจุภัณฑ์ได้เลยไม่ต้องกังวลกับการเก็บหรือล้างทำความสะอาดให้ยุ่งยาก ในขณะเดียวกันบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยหรือชามยังสามารถนำไปให้บริการตามสถานที่ต่างๆที่มีการติดตั้งจอถ่ายทอดสดการแข่งขันขนาดใหญ่ตามหน้าศูนย์การค้าต่างๆได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มีหลายๆปัจจัยที่เอื้อต่อการขยายตัวของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปี 2549 แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่แฝงอยู่ซึ่งผู้ประกอบการต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งมีดังนี้

ต้นทุนการผลิตเพิ่ม
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในปี 2549 ผู้ประกอบการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังคงต้องเผชิญกับปัญหาทางด้านต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ทั้งค่าจ้างแรงงาน ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ ค่าขนส่ง ไฟฟ้าและพลังงานต่อเนื่องจากปี 2548 ในขณะที่การปรับราคาจำหน่ายให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทำได้ลำบากเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการบางรายหันไปพัฒนาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอาทิ การเพิ่มสารอาหารในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และการส่งเสริมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบชามและแบบถ้วยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวก็ต้องใช้งบประมาณและระยะเวลาในการส่งเสริมการตลาดเพื่อให้ประชาชนผู้บริโภคยอมรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเช่นเดียวกัน

สินค้าทดแทน
ปัจจุบัน เป็นที่น่าสังเกตว่า อาหารสำเร็จรูปแช่แข็งกำลังได้รับความนิยมแพร่หลายเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากมีหลากหลายประเภทให้เลือกรับประทานอีกทั้งรูปร่างและรสชาติมีความใกล้เคียงหรือเหมือนกับอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ ในขณะที่ราคาจำหน่ายก็ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับการไปทานตามร้านอาหารทั่วๆไป ทำให้อาหารสำเร็จรูปแช่แข็งเข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อระดับปานกลางถึงสูง ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบชามหรือถ้วยที่มีราคาไม่แตกต่างกันมากนัก ทั้งนี้ปัจจุบันตามร้านค้าสะดวกซื้อต่างๆรวมทั้งอาคารสำนักงานต่างๆจะมีไมโครเวฟไว้บริการอุ่นอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งไว้ให้ ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้น

การแข่งขันรุนแรง
ปัจจุบัน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันน้อยราย ทั้งนี้เนื่องจากผู้ประกอบการ 3 รายใหญ่มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันสูงถึงกว่าร้อยละ 90 ซึ่งแต่ละรายต่างก็มีชื่อเสียงและรสชาติของสินค้ารวมทั้งช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องใช้งบประมาณจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเป็นจำนวนมากเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคภักดีในตราสินค้าของตนเองและไม่หันไปเลือกสินค้าของคู่แข่งซึ่งสามารถทดแทนกันได้ อาทิ การจัดรายการชิงโชค แจก แถมของรางวัลที่มีมูลค่าสูง การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ(Above the line) รวมทั้งการจัดกิจกรรมที่ไม่ผ่านสื่อ(Below the line)ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้โดยตรง อาทิ การจัดกิจกรรม ณ จุดขาย การเข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนภาพยนตร์ ดนตรีและกีฬา เป็นต้น ในขณะเดียวกัน จากการแข่งขันที่รุนแรงส่งผลให้แต่ละบริษัทต้องมีต้นทุนทางด้านการพัฒนารสชาติของผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้เพื่อเป็นทางเลือกของผู้บริโภคที่ชอบลองของใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ค่อนข้างจะเบื่ออะไรง่าย และยิ่งสถานการณ์ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปี 2549 มีแนวโน้มขยายตัวตามปัจจัยค่าครองชีพของประชาชนที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ผู้ประกอบการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกล้าที่จะเพิ่มงบส่งเสริมการขายเพื่อขยายส่วนแบ่งตลาดของตนเอง ทำให้การแข่งขันของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทวีความรุนแรงมากขึ้น และเป็นปัจจัยกดดันให้ผู้ผลิตแต่ละรายมีต้นทุนการขายที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

กล่าวโดยสรุปแล้ว จะเห็นได้ว่ากำลังซื้อของประชาชนที่ซบเซาในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมีผลต่อปริมาณความต้องการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้น จึงถือเป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการจะเร่งจัดกิจกรรมกระตุ้นยอดขายของตนเองให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งการแข่งขันของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การตลาดทั้งการพัฒนาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสชาติใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคอาทิ การผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เน้นทางด้านสุขภาพซึ่งคนส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจมากขึ้น รวมไปถึงการส่งเสริมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบชามและแบบถ้วยซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและสร้างผลกำไรให้กับผู้ประกอบการทดแทนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซองที่กำไรต่อหน่วยเริ่มลดลง ในขณะเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันตลาดในประเทศ

ผู้ประกอบการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเองก็ควรมีการเร่งผลักดันตลาดส่งออกซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูง ดังจะเห็นได้จากปริมาณการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นลำดับจากปริมาณ 13,696 ตันในปี 2544 เพิ่มขึ้นมาเป็น 16,486 ตัน 17,093 ตันและ 18,175 ตันในช่วงปี 2545-2547 ตามลำดับ สำหรับในปี 2548 ที่ผ่านมาปริมาณการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะมีประมาณ 21,000 ตัน ส่วนปี 2549 คาดว่าปริมาณการส่งออกจะมีทั้งสิ้นประมาณ 23,000 ตัน โดยตลาดต่างประเทศที่น่าสนใจได้แก่ ตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีกลุ่มคนชาวเอเชียเข้ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และตลาดในเอเชีย อาทิ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน รวมทั้งตลาดประเทศในแถบอินโดจีน คือเวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า ซึ่งประเทศเหล่านี้มีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นมาเป็นลำดับ เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูง ช่วยเพิ่มความต้องการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้มากขึ้น