ปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ปี 2549 : ตลาดสดใสทั้งในประเทศและส่งออก

ปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์นับว่าเป็นหนึ่งในบรรดาสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ตลาดมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากความต้องการทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 ตลาดปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันแยกออกได้เป็นการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องแบบดั้งเดิมคือปลาทูน่ากระป๋องในน้ำมันและน้ำเกลือ และผลิตภัณฑ์ทูน่า ได้แก่ปลาทูน่าในเครื่องแกงประเภทต่างๆ ซอสประเภทต่างๆ และปลาทูน่าสำหรับรับประทานกับขนมปัง ซึ่งผลิตภัณฑ์ทูน่านี้เริ่มมีการผลิตกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 2544 บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ว่าในปี 2549 ตลาดปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ในประเทศมีมูลค่าประมาณ 850 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมาขยายตัวร้อยละ 6-7 เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศหันมานิยมรับประทานปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์มากขึ้น จากกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ สำหรับมูลค่าการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ในปี 2549 เท่ากับ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของการส่งออกในตลาดหลัก ทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น รวมทั้งการส่งออกไปยังออสเตรเลีย ประเทศในตะวันออกกลางและแคนาดาก็มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

ตลาดในประเทศ…ขยายตัวต่อเนื่องตามกระแสอาหารสุขภาพ
ตลาดปลาทูน่ากระป๋องในประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องเริ่มหันมาสนใจส่งเสริมการจำหน่ายปลาทูน่ากระป๋องในประเทศมากขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสในการขยายตลาดในประเทศ โดยมีปัจจัยเกื้อหนุนมาจากการที่ผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการของปลาทูน่ากระป๋องให้คนไทยรู้จักมากขึ้น กอปรกับปลาทูน่ากระป๋องนั้นเป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป และกลุ่มผู้ที่เคยไปศึกษาในต่างประเทศที่คุ้นเคยกับสินค้านี้อยู่แล้ว รวมทั้งกระแสการรักษาสุขภาพและการควบคุมน้ำหนักโดยการหันมารับประทานอาหารประเภทปลากำลังมาแรง ทำให้ตลาดปลาทูน่ากระป๋องในประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ตั้งแต่ปี 2544 ผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคในประเทศมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการผลิตปลาทูน่ากระป๋องในเครื่องแกงซึ่งเป็นอาหารที่คนไทยคุ้นลิ้นอยู่แล้ว ทำให้ยอดจำหน่ายปลาทูน่ากระป๋องในประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดว่าตลาดปลาทูน่ากระป๋องในประเทศปี 2549 มีมูลค่าประมาณ 850 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 6-7 ปัจจัยหนุนให้ตลาดปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวคือ จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีขึ้นมากนัก จึงคาดการณ์ว่าปริมาณการบริโภคปลาทูน่ากระป๋องน่าจะมีการเติบโตที่ดีขึ้น เนื่องจากราคาประหยัด สามารถหาซื้อได้ง่ายและสะดวกต่อการรับประทาน

คาดการณ์ว่าตลาดปลาทูน่ากระป๋องในประเทศจะมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่เริ่มมีกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด โดยผู้ประกอบการยังคงเน้นให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทราบข้อมูลในเรื่องของผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไขมันต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลรูปร่างและรักษาสุขภาพอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังเพิ่มประเภทของสินค้าจากปลาทูน่าในน้ำมันพืช ในน้ำเกลือและน้ำแร่ เป็นปลาทูน่าสำเร็จรูปที่สามารถนำมารับประทานเป็นกับข้าวได้ทันที และล่าสุดยังมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่คือปลาทูน่าในน้ำผัก ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคอีกด้วย

ตลาดส่งออก…อนาคตสดใส

ไทยเป็นประเทศที่ส่งออกปลาทูน่ากระป๋องอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งการผลิตปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ในไทยเริ่มฟื้นตัวมาตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งเป็นไปตามภาวะการค้าปลาทูน่ากระป๋องในตลาดโลก แนวโน้มสำคัญที่น่าจับตามองคือ ปริมาณการผลิตปลาทูน่ากระป๋องในประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะอิตาลีและฝรั่งเศสเริ่มมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากปัญหาเรื่องต้นทุนแรงงาน โดยประเทศเหล่านี้หันมาพึ่งพิงการนำเข้ามากขึ้น ซึ่งส่งผลให้การผลิตปลาทูน่ากระป๋องในประเทศที่กำลังพัฒนานั้นมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น และการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องจากประเทศที่กำลังพัฒนามีแนวโน้มจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประเทศคู่แข่งขันที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาในตลาดโลกที่น่าจับตามองคือ เอกวาดอร์ อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ กล่าวคือ ปัจจุบันไทยมีส่วนแบ่งในตลาดปลาทูน่ากระป๋องร้อยละ 43.8 ของมูลค่าการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องในตลาดโลก ส่วนเอกวาดอร์ร้อยละ 10.4 อินโดนีเซียร้อยละ 5.8 และฟิลิปปินส์ร้อยละ 5.6 ตามลำดับ

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดว่ามูลค่าการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ในปี 2549 จะมีประมาณ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับปี 2548 แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 โดยแยกเป็นการส่งออกปลาทูน่ากระป๋อง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6 และผลิตภัณฑ์ทูน่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.4 ซึ่งจะเห็นได้ว่าแนวโน้มของการขยายตัวของการส่งออกผลิตภัณฑ์ทูน่านั้นอยู่ในเกณฑ์สูงอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าปลาทูน่ากระป๋อง นับว่าเป็นความสำเร็จของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปลาทูน่าของไทยในการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทูน่าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในต่างประเทศ

ตลาดส่งออกสำคัญของปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ได้แก่
-ตลาดสหรัฐฯ ตลาดปลาทูน่ากระป๋องในสหรัฐฯได้รับผลกระทบจากการประกาศเตือนถึงอันตรายของสารปรอทตกค้างในผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ากระป๋อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใช้ปลาทูน่าครีบเหลืองเป็นวัตถุดิบ แม้ว่าการผลิตปลาทูน่ากระป๋องส่วนใหญ่จะใช้ปลาทูน่าสคิปแจ็กเป็นวัตถุดิบ และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องในสหรัฐฯยืนยันว่าปริมาณสารปรอทที่ตกค้างนั้นต่ำกว่าข้อกำหนดขององค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ แต่ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณการบริโภคปลาทูน่ากระป๋องของชาวอเมริกันลดลง อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยหนุนการบริโภคปลาทูน่ากระป๋องในตลาดสหรัฐฯคือ การประชาสัมพันธ์ถึงคุณประโยชน์ต่อสุขภาพจากการบริโภคปลาทูน่า ซึ่งทำให้ปริมาณการบริโภคปลาทูน่ากระป๋องไม่ลดต่ำลงมากนัก

ประเภทของปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ที่สหรัฐฯนำเข้าคือ ปลาทูน่ากระป๋องร้อยละ 67 ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด ปลาทูน่าแช่แข็งบรรจุกระป๋อง(Frozen Pre-cooked Tuna Loins For Canning)สัดส่วนร้อยละ 17 และผลิตภัณฑ์ทูน่าบรรจุถุง(Tuna In Foil Pouches)ร้อยละ 16 ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ทูน่าที่เป็นที่นิยมบริโภคในสหรัฐฯคือ ทูน่าก้อนและชิ้นทูน่าบรรจุถุง(Tuna Chunks And Flakes in Pouches) ซึ่งผลิตภัณฑ์ทูน่าทั้งสองประเภทนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากความสะดวกในการบริโภคแม้ว่าราคาจะสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทูน่าบรรจุกระป๋อง ตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์ทูน่าบรรจุถุงที่สำคัญ คือ เอกวาดอร์และไทย อย่างไรก็ตามไทยเริ่มจะมีความได้เปรียบเอกวาดอร์ในปี 2547 เนื่องจากปริมาณการจับปลาทูน่าสคิปแจ็กทางตะวันออกของทะเลแปซิฟิกลดลง ทำให้ปริมาณวัตถุดิบป้อนโรงงานปลาทูน่าของเอกวาดอร์ลดลง

ประเด็นที่น่าจับตามองสำหรับตลาดสหรัฐฯคือ อุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องในสหรัฐฯเริ่มประสบปัญหาเนื่องจากการเข้ามาแข่งขันของปลาทูน่ากระป๋องนำเข้า แม้ว่าจะมีแรงต่อต้านจากบรรดาผู้ประกอบการให้คงอัตราภาษีนำเข้าไว้ในเกณฑ์ที่สูง แต่ในระยะยาวแล้วมีแนวโน้มว่าอัตราภาษีนำเข้าจะต้องลดลง ดังนั้นบรรดาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปลาทูน่าในสหรัฐฯจึงหันมาเน้นการปรับปรุงคุณภาพและภาพพจน์ของปลาทูน่ากระป๋องที่ผลิตในสหรัฐฯ

ปัจจัยพึงระวังในตลาดสหรัฐฯคือการแข่งขันจากเอกวาดอร์ เนื่องจากสหรัฐฯและเอกวาดอร์มีความตกลงในเรื่องเขตการค้าเสรีในเดือนกันยายน 2547 ทำให้สหรัฐฯทยอยลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ทูน่าให้กับเอกวาดอร์เหลือร้อยละ 0 ภายในระยะเวลา 10 ปี จากเดิมที่เอกวาดอร์เสียภาษีนำเข้าในอัตราร้อยละ 35 ในขณะที่ไทยเสียภาษีนำเข้าร้อยละ 6-12.5 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์ ดังนั้นเอกวาดอร์จึงอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบในการแข่งขันในการส่งออกผลิตภัณฑ์ทูน่าบรรจุถุงอลูมิเนียม อย่างไรก็ตามการลดภาษีนั้นยังไม่ครอบคลุมถึงปลาทูน่าบรรจุกระป๋อง ทำให้ไทยยังคงอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบในการแข่งขันกับเอกวาดอร์ สำหรับคู่แข่งอื่นๆที่น่าจับตามองคือ ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ซึ่งสหรัฐฯนำเข้าปลาทูน่ากระป๋องจากทั้งสองประเทศนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

-ตลาดสหภาพยุโรป ความต้องการบริโภคปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ในตลาดสหภาพยุโรปยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องจากปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์จัดเป็นอาหารที่มีราคาอยู่ในเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อาหารประเภทอื่นๆ ดังนั้นปลาทูน่ากระป๋องจึงยังคงมีบทบาทสำคัญในเมนูอาหารของชาวยุโรป คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ของไทยไปยังตลาดสหภาพยุโรปในปี 2549 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทูน่า ปัจจัยหนุนในการขยายตัวของการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดสหภาพยุโรป คือความหวาดวิตกในการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกทำให้ปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์ไก่มีแนวโน้มลดลง และชาวยุโรปหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์จากปลามากขึ้น นอกจากนี้คู่แข่งสำคัญในตลาดนี้คือ บริษัทผู้ส่งออกปลาทูน่ากระป๋องของฟิลิปปินส์นั้นไม่ผ่านมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดของสหภาพยุโรป ทำให้เป็นโอกาสของผู้ส่งออกไทยในการขยายตลาดสหภาพยุโรป

อย่างไรก็ตามปัจจัยพึงระวังในตลาดสหภาพยุโรปคือ ผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องของสหภาพยุโรปขยายการลงทุนตั้งโรงงานในแถบประเทศแอฟริกาและแคริบเบียน รวมทั้งยังให้สิทธิพิเศษทางภาษีกับประเทศเหล่านี้ นอกจากนี้ผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ของสเปนเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานผลิตปลาทูน่ากระป๋องในแถบอเมริกาใต้ หลังจากที่เข้าไปสร้างโรงงานผลิตปลาทูน่ากระป๋องในเอกวาดอร์และโคลัมเบีย ซึ่งการขยายเข้าไปตั้งโรงงานในประเทศต่างๆเหล่านี้เพื่อจะเป็นการถ่วงดุลการแข่งขันของปลาทูน่ากระป๋องที่นำเข้าจากประเทศต่างๆในเอเชีย ทำให้คาดหมายว่าในอนาคตปลาทูน่าจากโรงงานต่างๆเหล่านี้จะเข้ามาแข่งขันกับปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ของไทยในตลาดสหภาพยุโรป นอกจากนี้โรงงานผลิตปลาทูน่ากระป๋องในสหภาพยุโรปยังมีปรับวิธีการผลิตเพื่อรับมือกับการแข่งขันกับปลาทูน่ากระป๋องนำเข้า โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ปลาทูน่า กล่าวคือ การผลิตทูน่าสลัดและทูน่าในซอสเพื่อรับประทานเป็นอาหารประเภทออเดริฟท์(อาหารเรียกน้ำย่อย) และการคัดปลาทูน่าครีบเหลืองเพื่อนำไปผลิตผลิตภัณฑ์ทูน่าราคาแพงเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น เนื้อปลาทูน่าในน้ำมันมะกอก เป็นต้น ซึ่งแม้ว่าผลิตภัณฑ์ทูน่าเหล่านี้จะมีราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับปลาทูน่ากระป๋อง แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้บริโภคในยุโรป

-ตลาดญี่ปุ่น ตลาดญี่ปุ่นนั้นเป็นตลาดสำคัญของการบริโภคปลาทูน่าแช่แข็ง(Sashimi Tuna Market) และปลาทูน่ากระป๋อง จากรายงานองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติระบุว่าญี่ปุ่นเริ่มหันมาพึ่งพิงการนำเข้าปลาทูน่ากระป๋องมากขึ้น เนื่องจากปริมาณการผลิตปลาทูน่ากระป๋องของญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากการที่ต้นทุนการผลิตปลาทูน่ากระป๋องในญี่ปุ่นสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับปลาทูน่ากระป๋องที่นำเข้า โดยปัจจุบันญี่ปุ่นมีการผลิตปลาทูน่ากระป๋องในประเทศเพียง 60,000 ตันต่อปี เมื่อเทียบกับที่เคยผลิตสูงถึง 144,600 ตัน โดยอาศัยวัตถุดิบปลาทูน่าสคิปแจ็กที่จับจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลแปซิฟิก ปัจจุบันไทยครองสัดส่วนในการส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่นถึงร้อยละ 60 ของปริมาณการ ซึ่งปลาทูน่ากระป๋องที่ญี่ปุ่นนำเข้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นปลาทูน่าสคิปแจ็ก

ปัจจัยหนุนสำคัญในการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องไปยังตลาดญี่ปุ่นคือ ผลจากการเจรจาเขตการค้าเสรีระหว่างไทยและญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นยินยอมในประเด็นเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้าสำหรับปลาทูน่าของไทยแล้ว กล่าวคือ ญี่ปุ่นยอมลดภาษีนำเข้าปลาทูน่ากระป๋องจากไทยที่ผลิตจากวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ จากเดิมที่ต้องการลดภาษีให้เฉพาะปลาทูน่ากระป๋องที่ใช้วัตถุดิบที่จับในไทยเท่านั้น โดยจะลดภาษีจากปัจจุบันที่ร้อยละ 9.6 ให้เหลือร้อยละ 0 ภายใน 5 ปี ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อปริมาณการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยไปยังญี่ปุ่น คาดว่าข้อตกลงข้างต้นน่าจะมีผลบังคับใช้ในปลายปี 2549 แต่ทั้งนี้ประเด็นที่ต้องติดตามคือ ข้อกำหนดในรายละเอียดปลีกย่อย เช่น ญี่ปุ่นมีการต่อรองลดภาษีให้เฉพาะวัตถุดิบทูน่าที่จับจากเรือที่มีกัปตันเป็นคนไทย และลูกเรือต้องเป็นคนในประเทศสมาชิกอาเซียนเท่านั้น รวมถึงวัตถุดิบทูน่าที่ไทยนำเข้าต้องผ่านมาตรฐานรับรองการนำเข้า เป็นต้น คาดจะทำให้ไทยส่งออกปลาทูน่ากระป๋องไปญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ต่อปี จากปัจจุบันไทยส่งออกไปญี่ปุ่นประมาณปีละ 4,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 400-500 ล้านบาท/ปี

ปัจจัยพึงระวังในการส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่นคือ รัฐบาลญี่ปุ่นจะมีการทบทวนและปรับเพิ่มการจัดเก็บภาษีนำเข้าปลาทูน่ากระป๋องจากไทยทั้งปลาทูน่ากระป๋องในน้ำเกลือและน้ำมันพืช โดยจะปรับเพิ่มจากร้อยละ 7.2 เป็นร้อยละ 9.6 เนื่องจากในปัจจุบันไทยส่งออกปลาทูน่ากระป๋องเข้าไปในตลาดญี่ปุ่นมีสัดส่วนถึงร้อยละ 68.0 ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด ทำให้ญี่ปุ่นเกรงว่าไทยจะผูกขาดตลาดและมีอิทธิพลต่อตลาดภายในญี่ปุ่นมากเกินไป ดังนั้นจึงต้องมีปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสำหรับไทยเพื่อความเป็นธรรมต่อการบริโภคและการค้า อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังอยู่ในระหว่างการเจรจา โดยทางรัฐบาลไทยแย้งว่าการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าเฉพาะกับไทยเป็นการไม่ถูกต้อง และยังกระทบต่อต้นทุนและราคาจำหน่ายปลากระป๋องในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคของญี่ปุ่นเอง นอกจากนี้วัตถุดิบหลักที่ไทยใช้ในการผลิตปลาทูน่ากระป๋องบางส่วนนำเข้าจากญี่ปุ่น เช่น กระป๋อง ปลาทูน่าแช่แข็ง เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการค้าที่เอื้อต่อกัน นอกจากนี้คู่แข่งขันสำคัญของไทยในตลาดญี่ปุ่น คือ อินโดนีเซียก็นับว่าเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามอง เนื่องจากส่วนแบ่งตลาดของอินโดนีเซียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากตลาดคู่ค้าสำคัญทั้ง 3 ตลาดที่กล่าวมาแล้ว ตลาดใหม่ที่น่าจับตามอง ได้แก่ ออสเตรเลีย เนื่องจากผลของการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย ซึ่งตามข้อตกลงออสเตรเลียจะลดภาษีนำเข้าปลาทูน่ากระป๋องให้ไทยจากเดิมร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 2.5 ในปี 2548 และเหลือร้อยละ 0 ในปี 2550 ส่งผลให้ราคาปลาทูน่ากระป๋องของไทยในออสเตรเลียมีราคาถูกลง โอกาสในการส่งออกไปยังตลาดออสเตรเลียเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าในปัจจุบันไทยจะครอบครองตลาดปลาทูน่ากระป๋องเป็นอันดับหนึ่งในออสเตรเลียแล้วก็ตาม
สำหรับตลาดในตะวันออกกลางนั้นการส่งออกไปยังตลาดต่างๆในประเทศแถบนี้มีแนวโน้มแจ่มใส เนื่องจากปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์มีโอกาสเจาะขยายตลาดในฐานะของอาหารฮาลาล รวมทั้งประเทศต่างๆในแถบนี้ยอมเปิดตลาดปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์อย่างไม่มีเงื่อนไข หลังจากที่มีการเจรจากันจากปัญหาจีเอ็มโอในถั่วเหลืองที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตปลาทูน่าในน้ำมันถั่วเหลือง คู่แข่งที่น่าจับตามองในตลาดตะวันออกกลางคืออินโดนีเซีย ซึ่งการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องของอินโดนีเซียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดระยะ 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการส่งออกไปยังซาอุดิอาระเบียและจอร์แดน

บทสรุป
ปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ของไทยยังคงมีแนวโน้มขยายตัวทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ว่าในปี 2549 ตลาดปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ในประเทศจะมีมูลค่าประมาณ 850 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมาขยายตัวร้อยละ 6-7 และมูลค่าการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ในปี 2549 เท่ากับ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 ตลาดในประเทศนั้นมีปัจจัยหนุนจากการอิงกระแสอาหารสุขภาพ และการเพิ่มผลิตภัณฑ์ทูน่าให้มีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค ส่วนตลาดส่งออกนั้นมีการคาดการณ์การขยายตัวทั้งในตลาดหลักไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น รวมทั้งยังมีโอกาสในการขยายตัวในตลาดใหม่ โดยตลาดใหม่ที่น่าสนใจคือ ออสเตรเลียและตะวันออกกลาง เป็นต้น

ประเด็นที่ต้องจับตามอง ก็คือ ปริมาณการผลิตปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ในประเทศที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไทย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ทูน่าในประเทศเหล่านี้เริ่มย้ายมาตั้งโรงงานในประเทศกำลังพัฒนาโดยอาศัยความได้เปรียบในเรื่องค่าจ้างแรงงาน ทำให้ประเทศเหล่านี้ต้องพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีในการขยายตลาดส่งออกปลาทูน่ากระป๋องและผลิตภัณฑ์ของไทยไปยังตลาดเหล่านี้ อย่างไรก็ตามผู้ส่งออกไทยยังต้องจับตาคู่แข่งสำคัญคือ เอกวาดอร์ อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์