จับกระแส M&A ของไทย…ขยายตัวต่อเนื่องจากหลากปัจจัยหนุน

M&A หรือ Mergers and Acquisitions หมายถึง การควบรวมและการซื้อกิจการ โดยแบ่งได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ Merger หรือ การควบกิจการ(Amalgamation/Consolidate) และ Acqu0isition หรือ การซื้อกิจการ โดย Merger หมายถึง การที่บริษัทตั้งแต่ 2 บริษัทขึ้นไปรวมกิจการเข้าด้วยกัน โดยผลของการรวมอาจเกิดเป็นบริษัทใหม่ หรือคงเหลือเป็นบริษัทใดบริษัทหนึ่งเพียงบริษัทเดียว ส่วน Acquisition หรือ การซื้อกิจการ หมายถึง การที่บริษัทหนึ่งเข้าไปซื้อกิจการของอีกบริษัท ซึ่งจำแนกได้อีก 2 รูปแบบ คือ แบบที่ 1 ได้แก่ การที่บริษัทหนึ่งเข้าไปซื้อทรัพย์สินของอีกบริษัทหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยบริษัทที่ขายทรัพย์สินยังคงดำเนินการต่อไปได้ การซื้อกิจการลักษณะนี้เรียกว่า Asset Acquisition แบบที่ 2 ได้แก่ การที่บริษัทหนึ่งเข้าไปซื้อทั้งทรัพย์สินและหนี้สินของอีกบริษัทด้วยการซื้อหุ้นจนเป็นผลให้ผู้ถือหุ้นเดิมสูญเสียอำนาจในการบริหาร การซื้อกิจการลักษณะนี้เรียกว่า การเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ (Share Acquisition หรือ Takeover) โดยการ Takeover อาจแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ

– กรณีที่ 1 ผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ถูกซื้อกิจการไม่เต็มใจ แต่ถูกอีกบริษัทหนึ่งซื้อหุ้นจนกระทั่งผู้ถือหุ้นเดิมสูญเสียอำนาจในการออกเสียงและควบคุมกิจการ เรียกว่า Hostile Takeover หรือ การซื้อกิจการแบบไม่เป็นมิตร

– กรณีที่ 2 ผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ถูก Takeover สมัครใจขายหุ้นให้กับพันธมิตรใหม่ เพื่อให้กิจการสามารถดำเนิน การต่อไปได้ เรียกว่า Friendly Takeover หรือ การซื้อกิจการแบบเป็นมิตร

ในกรณีที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทางสำนักงาน ก.ล.ต.ได้มีการกำหนดเกณฑ์ให้บุคคลที่ได้หุ้นมาจนถึงสัดส่วนที่มีอำนาจในการควบคุมกิจการ จะต้องทำคำเสนอซื้อ (Tender Offer) ต่อผู้ถือหลักทรัพย์ทั้งหมด เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้ถือหลักทรัพย์ให้มีโอกาสขายหรือออกจากกิจการอย่างเท่าเทียมกันเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจในการควบคุมกิจการ วัตถุประสงค์ในการทำคำเสนอซื้อจะมีทั้งที่เป็นการทำคำเสนอซื้อเพื่อการครอบงำกิจการ และเพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหลักทรัพย์

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานั้น กระแสการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A)ทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในทุกภูมิภาค ข้อมูลจาก Thomson Financial ระบุว่า ในปี 2548 มูลค่าการประกาศควบรวมและซื้อกิจการของประเทศต่างๆทั่วโลกเพิ่มขึ้นสู่ 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 จาก 1.95 ล้านล้านดอลลาร์ฯในปี 2547 โดยทวีปอเมริกาเป็นภูมิภาคที่มีการควบรวมกิจการมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ยุโรปและเอเชียแปซิฟิก ส่วนภาคธุรกิจที่มีการควบรวมกิจการมากที่สุด ได้แก่ พลังงาน รองลงมา ได้แก่ การเงินและการสื่อสาร ส่วนมูลค่า M&A ในประเทศไทยในปี 2548 ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ถึงร้อยละ56 โดยมีมูลค่าการทำ M&A ในปี 2548 ประมาณ 5.8 พันล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้นจากประมาณ 3.7 พันล้านดอลลาร์ฯในปี 2547

ลักษณะของการทำ M&A ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นไปในรูปแบบของ Acquisition มากกว่า Merger เมื่อจำแนกตามประเภทของ M&A ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ การควบกิจการตามแนวนอน (Horizontal M&A) การควบกิจการตามแนวดิ่ง(Vertical M&A) และการควบกิจการเพื่อกระจายธุรกิจ (Conglomerate M&A) แล้วจะพบว่า M&A ของไทยจะอยู่ในประเภทที่หนึ่งและสองมากกว่าประเภทสุดท้าย เมื่อพิจารณาการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ (Share Acquisition) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยโดยดูจากมูลค่าการเสนอซื้อหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ( Tender Offer Value)แล้วพบว่า มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2547นั้น มีมูลค่าการเสนอซื้อสูงถึง 7.63 หมื่นล้านบาท มูลค่าหุ้นที่มีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง 4.63 หมื่นล้านบาท มีจำนวนบริษัทที่ถูกเสนอซื้อ 21 บริษัท ส่วนในปี 2548 นั้น คาดว่าจะมีมูลค่าการเสนอซื้อประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท และมีจำนวนบริษัทที่ถูกเสนอซื้อ 19 บริษัท

โดยภาคธุรกิจที่มีการทำ Tender offer มากที่สุดใน ปี 2547 ได้แก่ ภาคธนาคารโดยมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 51.5 ของมูลค่าการทำ Tender Offer ทั้งหมด อันเป็นผลมาจากการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน รองลงมา ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 38.3 และ Rehabco ร้อยละ 5.4 ส่วนในปี 2548 นั้น ภาคการสื่อสารโทรคมนาคมมีสัดส่วนการทำ Tender Offer สูงที่สุดถึงร้อยละ 54.3 รองลงมาได้แก่ ภาคธุรกิจธนาคารมีสัดส่วนร้อยละ 24.7 และภาคบริการมีสัดส่วนร้อยละ 10.1 ของมูลค่าโดยรวมในปีที่ผ่านมา ส่วนภาคธุรกิจที่มีมูลค่าการควบรวมกิจการ (Merger) มากที่สุดในปีที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มพลังงาน

ลักษณะของ M&A ในประเทศไทยที่ผ่านมามีทั้งที่เป็นการควบรวมและซื้อกิจการโดยบริษัทในประเทศ และที่เป็นการควบรวมและซื้อกิจการโดยบริษัทข้ามชาติ (Cross-border M&A) ถึงแม้ว่า การทำ M&A ส่วนใหญ่จะยังเป็นการควบรวมและซื้อกิจการโดยบริษัทในประเทศด้วยกัน แต่มูลค่าของ Cross-border M&A ที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นตามลำดับ การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ของไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาได้รับปัจจัยสนับสนุนหลายประการ(นอกเหนือจากประโยชน์โดยตรงต่อผลการดำเนินงานของกิจการ) แบ่งได้เป็น ปัจจัยจากภายในประเทศและภายนอกประเทศ

ปัจจัยภายนอกประเทศ ได้แก่

? การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี(FTA) และข้อตกลงด้านการค้าบริการ (General Agreement on Trade
in Services : GATS) ภายใต้กรอบของ WTO ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยจะได้มีการลงนาม FTA กับประเทศต่างๆหลายประเทศแต่ส่วนใหญ่จะเป็นการเปิดเสรีในภาคการค้า ส่วนการทำ FTA ในภาคบริการนั้น บางประเทศที่ได้มีการลงนามแล้ว เช่น ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และในอีกหลายประเทศที่กำลังอยู่ระหว่างจัดทำ เช่น อาเซียน จีน และญี่ปุ่น แต่การเปิดเสรีด้านบริการดังกล่าวก็ไม่ได้มีผลผูกพันมากกว่าที่กำหนดในกฎหมายไทย จึงทำให้ไม่น่าจะเป็นปัจจัยที่กดดันการดำเนินธุรกิจในประเทศมากนัก ยกเว้นการจัดทำ FTA กับสหรัฐฯ ซึ่งต้องการให้ไทยเปิดเสรีภาคการเงิน ขนส่งและโทรคมนาคมอย่างเต็มที่โดยผ่อนคลายและยกเลิกกฎระเบียบหลายๆด้าน ถึงแม้ในปัจจุบันจะยังไม่ได้มีการลงนาม แต่น่าจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้กิจการในประเทศต้องมีการปรับตัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ส่วนการเจรจาในกรอบ WTO นั้นค่อนข้างกว้าง เนื่องจากเป็นการเจรจาในระดับพหุภาคีทำให้การเจรจาต่อรองดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าการทำ FTA

? การขยายตัวของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)เข้าสู่ภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากแนว
โน้มการลงทุนโดยตรง (FDI) จากกลุ่มประเทศต่างๆระหว่างปี 2540 – 2547 แล้ว จะเห็นว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ในอเมริกาเหนือ และยุโรปตะวันตก มีมูลค่าของเงินลงทุนโดยตรงสุทธิ (Net FDI flows) เป็นลบในช่วงหลายปีที่ ผ่านมา ซึ่งแสดงถึงการที่มีการไหลออกของเงินลงทุนโดยตรงจากภูมิภาคเหล่านี้มากกว่าเงินลงทุนไหลเข้า ในขณะที่เงินลงทุนโดยตรงสุทธิในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคต่างๆ เช่น ละตินอเมริกา แอฟริกา รวมถึง เอเชียแปซิฟิกมีค่าเป็นบวก ทั้งนี้ มูลค่าของเงินทุนไหลเข้าจาก Cross-border M&A ซึ่งจัดเป็นวิธีหนึ่งของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศได้มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเช่นกัน โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น มูลค่าของ Cross-border M&A เข้าสู่ภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้นจาก 1.73 หมื่นล้านดอลลาร์ฯในปี 2545 สู่ 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ฯและ 2.47 หมื่นล้านดอลลาร์ฯในปี 2546 และ 2547 ตามลำดับ อันเป็นผลมาจากอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูงในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา(ตรงข้ามกับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว) และการเป็นภูมิภาคที่มีตลาดของผู้บริโภคจำนวนมากและมีความได้เปรียบจากต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ตลอดจนการที่ราคาหุ้นของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยพิจารณาจาก P/E ของภาคธุรกิจต่างๆซึ่งค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นหลายแห่งในภูมิภาค ในขณะที่ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีการขยายตัวในระดับที่น่าพอใจจึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กิจการเหล่านั้นเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ มูลค่าของ Cross border M&A ในประเทศไทยเพิ่มสู่ 1,236 ล้านดอลลาร์ฯในปี 2547 จาก 247 ล้านดอลลาร์ฯ และ 55 ล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2545 และ 2546 ตามลำดับ และสูงเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากอินโดนีเซียซึ่งอยู่ที่ 1,269 ล้านดอลลาร์ฯ

Cross-Border M&A ของประเทศต่างๆในเอเชีย Net FDI flows ในภูมิภาคต่างๆ

หมายเหตุ กลุ่มประเทศ Other Developed Countries ได้แก่ ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ญี่ปุ่นและ อิสราเอล Source: World Investment Report 2003 -2005, UNCTAD
P/E Ratio ของภาคธุรกิจในแต่ละประเทศ
P/E Banking Resources Property Communication/Technology Services Industrial
Hong Kong 28.73 12.19 11.63 28.73 16.35 12.13
Indonesia 21.82 65.87 2.84 -0.86 17.71 27.55
Japan 37.5 38.4 86.6 37.5 52.5 68.2
Korea 8.73 18.6 12.67 8.73 15.62 19.32
Malaysia 83.88 31.01 17.31 83.88 15.22 14.49
Singapore 11.09 10.64 23.51 11.09 32.42 17.39
Thailand 15.28 9.29 12.89 15.28 10.24 7.12

นอกจากปัจจัยภายนอกประเทศดังที่ได้กล่าวในข้างต้นแล้ว ยังมี ปัจจัยในประเทศ ได้แก่

? การจัดระเบียบสถาบันการเงินตามรูปแบบ One Presence ในแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน แต่เดิมนั้นสถาบันการเงินแต่ละแห่งมีการแบ่งขอบเขตการให้บริการที่แตกต่างกัน ซึ่งต่อมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปจึงได้ส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์สามารถประกอบธุรกิจได้เกือบทุกประเภทในองค์กรเดียวกัน (Universal Banking) โดยธปท.กำหนดให้กลุ่มธุรกิจการเงินหนึ่งๆควรมีสถาบันการเงินที่รับฝากเงินจากประชาชนเพียง 1 รูปแบบเท่านั้น ซึ่งแผนดังกล่าวได้เป็นการสนับสนุนให้เกิดการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินต่างๆในช่วงที่ผ่านมา โดยในกรณีของ บง.และบค.ที่ยื่นคำขอจัดตั้งเป็นธนาคารพาณิชย์จะต้องควบรวมกับ บง.หรือ บค.อื่นอย่างน้อยอีก 1 แห่ง ส่วนสำนักงานกิจการวิเทศธนกิจ (Stand-alone BIBF) ที่ต้องการจะปรับสถานะเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ (Subsidiary)จะต้องควบรวมกับสถาบันการเงินอื่นอย่างน้อย 1 แห่งเช่นกัน โดยในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้มีการควบรวมกิจการระหว่างสถาบันการเงิน อาทิเช่น ธนาคารยูโอบี รัตนสิน ธนาคารเอเชีย และกิจการวิเทศธนกิจ ยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ และ บง.บุคคลัภย์และ บค.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ เป็นต้น ซึ่งคาดว่าหลังจากดำเนินการปรับสถานะตามแผนจำนวนสถาบันการเงินในประเทศจะลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจาก 80 แห่งเหลือ 43 แห่ง

นอกจากนั้น รัฐบาลได้สนับสนุนการควบรวมกิจการโดยมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับ สนุนการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน สำหรับกิจการที่มีการควบรวมก่อนวันที่ 31 กรกฎาคม 2549 โดยได้มีการอนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยรวม 4 ฉบับเมื่อปลายเดือน กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งมีสาระสำคัญในการยกเว้นภาษีเงินได้ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลแก่ผู้ถือหุ้นสถาบันการเงินสำหรับผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการหรือโอนกิจการ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์ให้สถาบันการเงินที่ควบรวมหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน นอกจากนั้น ยังลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับธนาคารพาณิชย์สำหรับเงินได้จากการรับฝากเงินหรือกู้ยืมเงินตราต่าง ประเทศเพื่อให้กู้ยืมในต่างประเทศ ตลอดจน การให้เก็บค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ในอัตราเพียงร้อยละ 0.01 เป็นต้น

? การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในกลุ่มธุรกิจสื่อสาร การแข่งขันในกลุ่มธุรกิจสื่อสารที่มีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้กิจการมีความต้องการเงินลงทุนในเครือข่ายเพิ่ม ตลอดจนเงินลงทุนจำนวนมากเพื่อรองรับการออกใบอนุญาติของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็น กิจการดาวเทียมวงจรเชื่อมต่อสัญญาณ และการอนุมัติคลื่นความถี่ 3G นอกจากนั้น การที่ได้มีการเปิดเสรีภาคโทรคมนาคมโดยผ่อนคลายกฎเกณฑ์ให้บริษัทโทรคมนาคมต่างชาติเข้าถือหุ้นในกิจการของไทยเพิ่มขึ้นจากไม่เกินร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 49 ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมา เกิดการทำ M&A โดยบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ในธุรกิจสื่อสารขนาดใหญ่ถึง 2 รายด้วยกัน และที่กำลังอยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตรอีกหลายราย

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าปัจจัยบวกที่สำคัญซึ่งคาดว่าจะได้รับจากการควบรวมและซื้อกิจการซึ่งประสบความสำเร็จ แบ่งได้เป็น
ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม

? เป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การควบรวมและซื้อกิจการโดยบริษัทข้ามชาติ (Cross-border M&A) เป็นรูปแบบหนึ่งของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI) (นอกเหนือจากการลงทุนโดยตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ หรือ Greenfield Investment) โดยมีค่าความสัมพันธ์ของ Cross-border M&A และ Net FDI ในประเทศไทยสูงถึง 0.68 การไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศนอกจากจะเป็นปัจจัยบวกต่อฐานะดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิและดุลการชำระเงินแล้วยังมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอีกด้วย เห็นได้จากการที่ค่าความสัมพันธ์ของ Net FDI flow กับจีดีพีของไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมานั้นอยู่ในระดับที่สูงถึง 0.7

? Cross-border M&A อาจมีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทในระยะสั้น ในกรณีที่ผู้ซื้อกิจการเป็นบริษัทข้ามชาตินั้น การที่มีเงินลงทุนที่ไหลเข้าจากต่างประเทศจำนวนมากเพื่อรอซื้อกิจการเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น กรณีการทำ Tender Offer หุ้นชินคอร์ป โดยกลุ่มเทมาเซคของสิงคโปร์ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบปีที่ 38.5 บาทต่อดอลลาร์ฯเมื่อวันที่ 2 มีนาคม อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินบาทในระยะยาวคงจะต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและปัจจัยอื่นๆควบคู่กันไป

? ปัจจัยที่ช่วยหนุนการปรับตัวของตลาดหุ้น การทำ M&A มีแนวโน้มจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทที่เป็นเป้าหมายในการถูกควบรวม จากการพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นของกิจการที่เป็นเป้าหมายในการเสนอซื้อในปีที่ผ่านมา พบว่า ราคาหุ้นของบริษัทส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงแรกที่มีข่าวการเสนอซื้อ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนการปรับขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และมูลค่าตลาดโดยรวม

ประโยชน์ต่อกิจการ
? การช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ (Value Added)ในการดำเนินงานของกิจการ เป็นการช่วยเพิ่มรายได้และผลกำไรจากการดำเนินงาน ในกรณีที่เป็นการควบรวมกิจการซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน นอกจากการขจัดคู่แข่งทางธุรกิจแล้ว ยังสามารถนำจุดแข็งของคู่แข่งมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และยังเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานบางอย่างที่มีความซ้ำซ้อนกันลง

? การเพิ่มยอดขาย และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด จากฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่ของบริษัทที่ควบรวมและได้ประโยชน์จากช่องทางการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น

? การช่วยเพิ่มช่องทางในการเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นการช่วยประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนในการที่จะต้องทำการศึกษาและลงทุนเองใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น โดยสามารถที่จะใช้ทั้งปัจจัยการผลิตและช่องทางการขายเดิมซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนั้น ในบางครั้งการควบรวมกิจการยังเป็นวิธีการที่กิจการใช้ในการขยายช่องทางการลงทุนไปยังต่างประเทศ และลดความเสี่ยงจากการลงทุน

? การทำให้ได้รับเงินทุนและเทคโนโลยีใหม่ๆ ในหลายๆกรณี การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นทำให้กิจการมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินทุนมากขึ้นในการพัฒนาการผลิตและลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงมีความต้องการที่จะหาพันธมิตรใหม่มาร่วมในการลงทุน โดย M&A เป็นวิธีการเพิ่มทุนในการดำเนินธุรกิจอีกรูปแบบหนึ่ง นอกเหนือจากการออกหุ้นเพิ่มทุน หรือ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่การช่วยเพิ่มราคาหุ้นของกิจการและอัตราผลตอบแทนของผู้หุ้น

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า การทำ M&A มีข้อพึงระวังหลายด้าน อันได้แก่

? การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการควบรวม พร้อมทั้งเลือกรูปแบบในการควบรวมที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดย M&A สามารถทำได้ทั้งในรูปแบบของการซื้อหุ้น หรือ ซื้อทรัพย์สิน เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งของกิจการ หรือทั้งสองอย่าง

? ความแตกต่างด้านวัฒนธรรมในองค์กร การควบรวมกิจการโดยผู้ถือหุ้นใหม่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร ซึ่งอาจจะมีรูปแบบการบริหารและนโยบายที่แตกต่างกับผู้บริหารชุดเดิม ทำให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินงานในภายหลังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีของ Cross-border M&A

? การตรวจสอบสถานะทางการเงิน(Due Diligence)ของบริษัทที่จะควบรวม ซึ่งควรที่จะกระทำอย่างรอบคอบเช่นว่าบริษัทดังกล่าวมีหนี้สินและภาระผูกพันใดๆบ้าง

? ด้านภาษี สืบเนื่องจากการทำ M&A มีด้านภาษีที่เกี่ยวข้องหลายประการด้วยกัน ซึ่งจะต้องทำการศึกษาให้รอบ คอบโดยในแต่ละรูปแบบก็จะมีความแตกต่างออกไป รวมถึงการที่กรมสรรพากรได้มีการยกเว้นภาษีให้ในบางกรณี เช่น ผลกำไรจากการควบรวมและโอนกิจการทั้งหมดจะไม่ให้ถือเป็นรายได้ในการคำนวณภาษีของบริษัทเดิมที่ได้ควบเข้ากัน (มาตรา 74 (1) (ข)) ตลอดจน ไม่ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากไม่นับรวมเป็นการขาย และยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์ ภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด

? จังหวะเวลาและช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งควรที่จะกระทำอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข่าวลือที่จะกระทบราคาหุ้น นอกจากนั้น จังหวะในการเข้าซื้อเป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เช่น การเข้าซื้อในช่วงที่ราคาหุ้นของบริษัทเป้าหมายปรับตัวลดลง หรือมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดี

? การควบรวมกิจการที่เกิดจากการที่ผู้ถือหุ้นเดิมไม่เต็มใจที่จะควบรวม (Hostile Takeover) อาจนำไปสู่ข้อพิพาทที่ยืดเยื้อได้ เช่น การฟ้องร้อง ซึ่งส่งผลในแง่ลบต่อภาพรวมของกิจการ หรือการพยายามแข่งขันซื้อหุ้นคืนของผู้ถือหุ้นเดิมได้ หรือในกรณีที่ผู้ถือหุ้นใหม่เป็นชาวต่างชาติ จะทำให้สัดส่วนของผู้ถือหุ้นต่างชาติเพิ่มขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่เกินกว่าที่กฎหมายอนุญาตก็ตาม แต่อาจก่อให้เกิดกระแสคัดค้านในบางธุรกิจที่คิดว่าจะส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า การทำ M&A นั้น อาจจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจดังที่ได้กล่าวถึงในข้างต้น แต่การที่เศรษฐกิจของไทยยังมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่งผลให้การสนับสนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นในธุรกิจประเภทต่างๆมากขึ้นตามกระแสของการเปิดเสรีทางการค้าและบริการ ย่อมจะมีผลกระทบต่อการแข่งขันของอุตสาหกรรมในประเทศ และต่อภาคเศรษฐกิจอื่นๆในวงกว้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า หน่วยงานของภาครัฐที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแล พร้อมทั้ง หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ควรจะเพิ่มบทบาทในการเข้ามาพิจารณาข้อตกลงการทำ M&A ร่วมกันว่าจะมีผลกระทบที่อาจจะตามมาต่อภาพรวมของระบบเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนในเรื่องความมั่นคงของประเทศอย่างไรบ้าง ก่อนที่จะให้มีการซื้อขายเกิดขึ้น ซึ่งแต่เดิมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะพิจารณาเฉพาะประเด็นทางกฎระเบียบ ภาษีและข้อกฎหมายต่างๆ ในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบเท่านั้น ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า ทางการควรที่จะเพิ่มการพิจารณาในภาพรวมที่ครอบคลุมมุมมองด้านต่างๆเหล่านี้ให้ครบถ้วน เพื่อป้องกันไม่ให้นำไปสู่ข้อขัดแย้งในภายหลังดังเช่นที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และเพื่อให้การทำ M&A ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งกิจการและระบบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

สำหรับแนวโน้มการทำ M&A ในปีนี้นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า น่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้จากปีก่อน เนื่องจากความจำเป็นที่กิจการต่างๆยังคงจะต้องมีการควบรวมกันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งรองรับการแข่งขันที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากการเปิดเสรีทางการค้าและการเงิน และการเปิดเสรีและออกใบอนุญาตในธุรกิจสื่อสารดังที่ได้กล่าวถึงในข้างต้น โดยคาดว่ากลุ่มธุรกิจสำคัญที่จะมีการทำ M&A เพิ่มขึ้นในปีนี้ น่าจะยังอยู่ในกลุ่มของสถาบันการเงิน ธุรกิจประกัน และโทรคมนาคม

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันซึ่งส่งผลให้การเจรจา FTA ต้องล่าช้าออกไป น่าจะทำให้ความเร่งด่วนในการที่จะต้องปรับตัวลดลงไปเป็นการชั่วคราว ทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น นอกจากนั้น การยุบสภาก็ทำให้การพิจารณาร่างกฎหมายหลายฉบับซึ่งมีแนวคิดหลายประเด็นที่จะสนับสนุนให้เกิดการควบกิจการต้องเลื่อนออกไป เช่น ร่าง พ.ร.บ.ประกันชีวิตและประกันวินาศภัยฉบับใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา (ซึ่งมีแนวคิดที่สนับสนุนให้บริษัทประกันต่างๆเริ่มเตรียมหาพันธมิตรในการร่วมทุน อาทิเช่น การสนับสนุนให้มีการเพิ่มจำนวนเงินกองทุนโดยให้บริษัทประกันทั่วไปเพิ่มจำนวนเงินกองทุนสู่ 300 ล้านบาทจากเงินขั้นต่ำในปัจจุบันที่ 30 ล้านบาท ในขณะที่กำหนดให้บริษัทประกันชีวิตเพิ่มเงินกองทุนสู่ 500 ล้านบาทจาก 50 ล้านบาท การขยายสัดส่วนการถือหุ้นของบุคคลต่างชาติในธุรกิจประกันจากร้อยละ 25 เป็นไม่เกินร้อยละ 49 และการที่จะให้บริษัทประกันภัยจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน จำกัด เป็นต้น) ตลอดจน ร่างแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฉบับที่ 2 ที่จะมีผลบังคับใช้ระหว่างปี 2549-2553 ซึ่งเดิมกำลังจะมีการเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เป็นต้น

กล่าวโดยสรุปได้ว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานั้น กระแสการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A)ทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในทุกภูมิภาค ข้อมูลจาก Thomson Financial ระบุว่า ในปี 2548 มูลค่าการประกาศควบรวมและซื้อกิจการของประเทศต่างๆทั่วโลกเพิ่มขึ้นสู่ 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 จาก 1.95 ล้านล้านดอลลาร์ฯในปี 2547 ส่วนมูลค่า M&A ในประเทศไทยได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี 2548 เช่นกัน สู่ประมาณ 5.8 พันล้านดอลลาร์ฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 56 จากประมาณ 3.7 พันล้านดอลลาร์ฯในปี 2547 โดยลักษณะของ M&A ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นไปในรูปแบบของ Acquisition มากกว่า Merger และเป็นไปในลักษณะการควบกิจการตามแนวนอน และการควบกิจการตามแนวดิ่ง มากกว่าการควบกิจการเพื่อกระจายธุรกิจ

จากการพิจารณาการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ (Share Acquisition) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยจากมูลค่าการเสนอซื้อหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ( Tender Offer Value)แล้วพบว่า มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2547นั้น มีมูลค่าการเสนอซื้อสูงถึง 7.63 หมื่นล้านบาท มูลค่าหุ้นที่มีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง 4.63 หมื่นล้านบาท มีจำนวนบริษัทที่ถูกเสนอซื้อ 21 บริษัท ส่วนในปี 2548 นั้น คาดว่าจะมีมูลค่าการเสนอซื้อประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท และมีจำนวนบริษัทที่ถูกเสนอซื้อ 19 บริษัท โดยภาคธุรกิจที่มีการทำ Tender offer มากที่สุดใน ปี 2547 ได้แก่ ภาคธนาคารโดยมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 51.5 ของมูลค่าการทำ Tender Offer ทั้งหมด อันเป็นผลมาจากการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน รองลงมา ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 38.3 และ Rehabco ร้อยละ 5.4 ส่วนในปี 2548 นั้น ภาคการสื่อสารโทรคมนาคมมีสัดส่วนการทำ Tender Offer สูงที่สุดถึงร้อยละ 54.3 รองลงมาได้แก่ ภาคธุรกิจธนาคารมีสัดส่วนร้อยละ 24.7 และภาคบริการมีสัดส่วนร้อยละ 10.1 ของมูลค่าโดยรวมในปีที่ผ่านมา ส่วนภาคธุรกิจที่มีมูลค่าการควบรวมกิจการ (Merger) มากที่สุดในปีที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มพลังงาน

การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ของไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาได้รับปัจจัยสนับสนุนหลายประการนอกเหนือจากประโยชน์โดยตรงต่อผลการดำเนินงานของกิจการ แบ่งได้เป็น ปัจจัยจากภายในประเทศและภายนอกประเทศ โดยปัจจัยภายนอกประเทศ ได้แก่ การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี(FTA) และข้อตกลงด้านการค้าบริการ (General Agreement on Trade in Services : GATS) การขยายตัวของการลงทุนโดยตรงจากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว (FDI)เข้าสู่ภูมิภาค ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น มูลค่าของ Cross-border M&A เข้าสู่ภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้นจาก 1.73 หมื่นล้านดอลลาร์ฯในปี 2545 สู่ 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ฯและ 2.47 หมื่นล้านดอลลาร์ฯในปี 2546 และ 2547 ตามลำดับ โดยมูลค่าของ Cross border M&A ในประเทศไทยเพิ่มสู่ 1,236 ล้านดอลลาร์ฯในปี 2547 จาก 247 ล้านดอลลาร์ฯและ 55 ล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2545 และ 2546 และสูงเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากอินโดนีเซียซึ่งอยู่ที่ 1,269 ล้านดอลลาร์ฯ นอกจากปัจจัยภายนอกประเทศดังที่ได้กล่าวในข้างต้นแล้ว ยังมีจากปัจจัยในประเทศ ได้แก่ การจัดระเบียบสถาบันการเงินตามรูปแบบ One Presence ในแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งคาดว่าหลังจากดำเนินการปรับสถานะตามแผนจำนวนสถาบันการเงินในประเทศจะลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจาก 80 แห่งเหลือ 43 แห่ง การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในกลุ่มธุรกิจสื่อสาร ส่งผลให้กิจการมีความต้องการเงินลงทุนในเครือข่ายเพิ่ม ตลอดจนเงินลงทุนจำนวนมากเพื่อรองรับการออกใบอนุญาติของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ นอกจากนั้น การที่ได้มีการเปิดเสรีภาคโทรคมนาคมโดยผ่อนคลายเกณฑ์ให้บริษัทโทรคมนาคมต่างชาติเข้าถือหุ้นในกิจการของไทยเพิ่มขึ้นส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดการทำ M&A โดยบริษัทข้ามชาติในธุรกิจสื่อสารขนาดใหญ่ถึง 2 รายและที่กำลังอยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตรอีกหลายราย

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าปัจจัยบวกที่สำคัญซึ่งคาดว่าจะได้รับจากการควบรวมและซื้อกิจการซึ่งประสบความสำเร็จ แบ่งได้เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม ได้แก่ การช่วยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากการควบรวมและซื้อกิจการโดยบริษัทข้ามชาติ (Cross-border M&A) เป็นรูปแบบหนึ่งของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (นอกเหนือจากการลงทุนโดยตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่) โดยมีค่าความสัมพันธ์ของ Cross-border M&A และ Net FDI ในประเทศไทยสูงถึง 0.68 การไหลเข้าของ FDI ย่อมจะเป็นปัจจัยบวกต่อฐานะดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิและดุลการชำระเงิน และยังมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ Cross-border M&A อาจมีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทในระยะสั้น ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ซื้อกิจการเป็นบริษัทข้ามชาตินั้น การที่มีเงินลงทุนที่ไหลเข้าจากต่างประเทศจำนวนมากเพื่อรอซื้อกิจการเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น เช่นกรณีการทำ Tender Offer หุ้นชินคอร์ป โดยกลุ่มเทมาเซคของสิงคโปร์ในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินบาทในระยะยาวคงจะต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและปัจจัยอื่นๆควบคู่กันไป นอกจากนั้น การทำ M&A ยังช่วยหนุนการปรับตัวของตลาดหุ้น โดยการทำ M&A มีแนวโน้มจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทที่เป็นเป้าหมายในการถูกควบรวม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการปรับขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และมูลค่าตลาดโดยรวม ทางด้านประโยชน์ต่อกิจการนั้น M&A อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ (Value Added)ในการดำเนินงานของกิจการ เช่น เพิ่มรายได้และผลกำไรจากการดำเนินงาน นอกจากการขจัดคู่แข่งทางธุรกิจแล้ว ยังสามารถนำจุดแข็งของคู่แข่งมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่มีความซ้ำซ้อน การเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดจากฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่และช่องทางการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มช่องทางในการเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นการประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนในการทำการศึกษาและลงทุนเองตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้ได้รับเงินทุนและเทคโนโลยีใหม่ๆ โดย M&A เป็นวิธีการเพิ่มทุนในการดำเนินธุรกิจอีกรูปแบบหนึ่ง นอกเหนือจากการออกหุ้นเพิ่มทุน หรือ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะเป็นการช่วยเพิ่มราคาหุ้นของกิจการและอัตราผลตอบแทนของผู้หุ้น

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า การทำ M&A มีข้อพึงระวังหลายด้าน อันได้แก่ ต้องมีการกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการควบรวม พร้อมทั้งเลือกรูปแบบในการควบรวมที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด คำนึงถึงความแตกต่างด้านวัฒนธรรมในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีของ Cross-border M&A การตรวจสอบสถานะทางการเงิน(Due Diligence)ของบริษัทที่จะควบรวม ซึ่งควรที่จะกระทำอย่างรอบคอบ ประเด็นด้านภาษี เนื่องจาก M&A แต่ละรูปแบบก็จะมีความแตกต่างออกไป รวมถึงการที่กรมสรรพากรได้มีการยกเว้นภาษีให้ในบางกรณี ภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด จังหวะเวลาและช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งควรที่จะกระทำอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข่าวลือที่จะกระทบราคาหุ้น นอกจากนั้น การควบรวมกิจการที่เกิดจากการที่ผู้ถือหุ้นเดิมไม่เต็มใจที่จะควบรวม (Hostile Takeover) อาจนำไปสู่ข้อพิพาทที่ยืดเยื้อได้ เช่น การฟ้องร้อง ซึ่งส่งผลในแง่ลบต่อภาพรวมของกิจการ หรือการพยายามแข่งขันซื้อหุ้นคืนของผู้ถือหุ้นเดิม ส่วนในกรณีที่ผู้ถือหุ้นใหม่เป็นชาวต่างชาติ ก็อาจก่อให้เกิดกระแสคัดค้านในบางธุรกิจที่คิดว่าจะส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า การทำ M&A อาจจะนำมาซึ่งปัจจัยบวกทั้งต่อเศรษฐกิจในวงกว้างและต่อการดำเนินงานของกิจการดังที่ได้กล่าวในข้างต้น แต่การที่เศรษฐกิจของไทยยังมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่งผลให้การสนับสนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นในธุรกิจประเภทต่างๆมากขึ้นตามกระแสของการเปิดเสรีทางการค้าและบริการ ย่อมจะมีผลกระทบต่อการแข่งขันของอุตสาหกรรมในประเทศ และต่อภาคเศรษฐกิจอื่นๆในวงกว้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า หน่วยงานของภาครัฐที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแล พร้อมทั้ง หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ควรจะเพิ่มบทบาทในการเข้ามาพิจารณาข้อตกลงการทำ M&A ร่วมกันว่าจะมีผลกระทบที่อาจจะตามมาต่อภาพรวมของระบบเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนในเรื่องความมั่นคงของประเทศอย่างไรบ้าง ก่อนที่จะให้มีการซื้อขายเกิดขึ้น ซึ่งแต่เดิมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะพิจารณาเฉพาะประเด็นที่อยู่ในความรับผิดชอบ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า ทางการควรที่จะเพิ่มการพิจารณาในภาพรวมที่ครอบคลุมมุมมองด้านต่างๆเหล่านี้ให้ครบถ้วน เพื่อป้องกันไม่ให้นำไปสู่ข้อขัดแย้งในภายหลังดังเช่นที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และเพื่อให้การทำ M&A ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งกิจการและระบบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

สำหรับแนวโน้มการทำ M&A ในปีนี้นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า น่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้จากปีก่อน เนื่องจากความจำเป็นที่กิจการต่างๆยังคงจะต้องมีการควบรวมกันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งรองรับการแข่งขันที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากการเปิดเสรีทางการค้าและการเงิน ตลอดจน การเปิดเสรีและออกใบอนุญาตในธุรกิจสื่อสารดังที่ได้กล่าวถึงในข้างต้น โดยคาดว่ากลุ่มธุรกิจสำคัญที่จะมีการทำ M&A เพิ่มขึ้นในปีนี้ น่าจะยังอยู่ในกลุ่มของสถาบันการเงิน ธุรกิจประกัน และโทรคมนาคม อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันซึ่งส่งผลให้การเจรจา FTA ต้องล่าช้าออกไป น่าจะทำให้ความเร่งด่วนในการที่จะต้องปรับตัวลดลงไปเป็นการชั่วคราว ทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาในการเตรียมตัวมากขึ้น นอกจากนั้น การยุบสภาก็ส่งผลให้การพิจารณาร่างกฎหมายหลายฉบับที่มีแนวคิดหลายประเด็นซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดการควบรวมกิจการต้องเลื่อนออกไป เช่น ร่าง พ.ร.บ.ประกันชีวิตและประกันวินาศภัยฉบับใหม่ที่กำ ลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา และร่างแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฉบับที่ 2 ที่จะมีผลบังคับใช้ระหว่างปี 2549-2553 ซึ่งเดิมกำลังจะมีการเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เป็นต้น