เครื่องปรับอากาศปี’ 49 : ตลาดในยังต้องฝ่าวิกฤติในประเทศ…ส่งออกต้องระวังจีน

เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนประกอบ เป็นอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันค่อนข้างมากในตลาดโลก โดยการส่งออกเครื่องปรับอากาศมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 2 ของมูลค่าส่งออกโดยรวมของประเทศ ในปี 2548 โดยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.27 จากปี 2547 ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่องในปี 2549

ทั้งนี้มูลค่าส่งออกในเดือนมกราคม 2549 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.67 แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีปัจจัยลบหลายด้านทั้งการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดการจำหน่ายสินค้าหลายประเภท อย่างไรก็ตามในปี 2549 นี้ อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศก็ยังมีแนวโน้มค่อนข้างดีโดยเฉพาะในด้านการส่งออกที่ยังมีแนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แต่สำหรับตลาดในประเทศนั้นการแข่งขันก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อมีการคาดคะเนว่าปัจจัยทางด้านการเมืองอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นอกจากนี้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ในขณะที่ต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะค่าขนส่งเริ่มปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นตลาดในประเทศที่สำคัญเริ่มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องต่อไปอีก

เครื่องปรับอากาศไทย : การพัฒนากว่า 75 ปี

อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องปรับอากาศเริ่มมีการผลิตในประเทศมากว่า 75 ปี โดยการลงทุนจากต่างประเทศที่ย้ายฐานการผลิตเข้ามาผลิตเพื่อการส่งออกเช่น ญี่ปุ่น อเมริกาและเกาหลี ทั้งนี้ในปัจจุบันมีจำนวนผู้ปประกอบการผลิตอยู่ 178 ราย แบ่งออกเป็นผู้ผลิตไทยขนาดกลางและเล็ก จำนวน 60 ราย กลุ่มผู้ผลิตขนาดใหญ่ 8 ราย กลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ที่เป็นต่างชาติ 31 รายกลุ่มผู้ผลิตที่ร่วมทุนระหว่างไทยกับต่างชาติ 53 ราย และกลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่ระบุการร่วมทุน 26 ราย เครื่องปรับอากาศที่ผลิตในประเทศนั้นร้อยละ 80 ส่งออกจำหน่ายในต่างประเทศ ส่วนที่เหลือร้อยละ 20 บริโภคภายในประเทศ กำลังการผลิตรวมประมาณ 5 ล้านเครื่องต่อปี ในปี 2548 อัตราการใช้กำลังการผลิตโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 73.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 67.3 ในปี 2547 และในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม มีการใช้อัตราการผลิตสูงถึงร้อยละ 110-118

ชนิดของเครื่องปรับอากาศที่ผลิตในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น

1. เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน (split type) เป็นที่นิยมใช้ตามบ้านพักอาศัยและสำนักงาน เพราะติดตั้งง่าย เพียงเจาะผนังสำหรับร้อยท่อซักชั่น ท่อลิควิดและสายไฟ เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนยังสามารถแบบตามลักษณะการติดตั้งเป็น 3 แบบ คือ แบบติดผนัง แบบตั้งพื้น และแบบแขวนเพดาน มีขนาดตั้งแต่ 12,000-72,000 บีทียู/ชั่วโมง

2. เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่าง (window type)นิยมใช้ตามบ้านพักอาศัย ในปัจจุบันก็ยังมีใช้งานกันอยู่เพราะง่ายต่อการติดตั้งและซ่อมบำรุงในตัวเครื่อง เหมาะสำหรับบ้านที่เป็นตึกแถวและทาวเฮ้าส์ที่ไม่สามารถติดตั้งคอนเดนซิ่งยูนิตได้ มีขนาด 8,000-20,000 บีทียู/ชั่วโมง

3. แบบมีระบบควบคุมรวมกัน (central control unit) เป็นเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ใช้ระบบทำความเย็นด้วยน้ำ และท่อส่งเข้าไปในห้องต่างๆ เป็นที่นิยมในอาคารขนาดใหญ่ อาคารพาณิชย์ มีขนาดตั้งแต่ 72,000 บีทียู/ชั่วโมง

นอกเหนือจากการผลิตเครื่องปรับอากาศทั้ง 3 แบบแล้ว ยังผลิตเครื่องปรับอากาศที่เป็นระบบทำความเย็น (Cooling Mode) เพียงอย่างเดียวและเป็นทั้งระบบทำความร้อนและเย็น (Heating&Cooling mode) ในเครื่องเดียวกันได้ด้วย

ต้นทุนการผลิต : ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

โครงสร้างต้นทุนการผลิตประกอบด้วย ต้นทุนวัตถุดิบร้อยละ 80 ค่าจ้างแรงงานร้อยละ 10 และค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกร้อยละ 10 ทั้งนี้วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเป็นวัตถุดิบภายในประเทศ ร้อยละ 80 ได้แก่ โครงเหล็ก มอเตอร์และชิ้นส่วนมอเตอร์ ลวดทองแดง แผ่นฉนวนกันความร้อนและความชื้น ส่วนวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศอีกร้อยละ 20 ได้แก่ คอมเพรสเซอร์บางขนาด และ อีวาปอร์เรเตอร์ (Evaporator)

โครงสร้างต้นทุนการผลิตเครื่องปรับอากาศไทย
ประเภท สัดส่วน (ร้อยละ)
วัตถุดิบ 80
ในประเทศ 80
นำเข้า 20
ค่าแรงงาน 10
ค่าเสื่อมราคาและอื่นๆ 10
รวม 100
ที่มา : สมาคมผู้ประกอบการผลิตเครื่องปรับอากาศ

การที่มีสัดส่วนต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตที่สูงกว่าร้อยละ 80 ทำให้ส่งผลกระทบอย่างมากในการกำหนดราคาขายและการกำหนดกลยุทธ์ที่จะใช้ในการแข่งขันในธุรกิจ นอกจากนั้นการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันและราคาของวัตถุดิบพื้นฐานที่สำคัญจึงส่งผลโดยตรงให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น เช่น –ทองแดง ซึ่งเป็นวัตถุดิบพื้นฐานสำคัญในการผลิตมอเตอร์พัดลมและคอมเพรสเซอร์ มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือราคาทองแดงในตลาดลอนดอนมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยในปี 2548 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3,000 เหรีญสหรัฐต่อตัน และล่าสุดในเดือนมกราคม 2549 เพิ่มขึ้นถึง 5,160 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 72
เหล็กแผ่นรีดเย็น (Cold Rolled Coil – CRC) ซึ่งนำมาใช้ผลิตโครงตัวถัง และเป็นส่วนประกอบของมอเตอร์และคอมเพรสเซอร์ แม้ในช่วงปี 2548 จะมีการปรับลดราคาลงบ้าง แต่ในช่วงต้นปี 2549 ก็มีการปรับราคาสูงขึ้นอีก โดยราคาในตลาดจีนของเหล็กแผ่นรีดเย็นขนาด 1 mm อยู่ที่ 535 เหรียญ/ตัน เป็นการฟื้นตัวต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 2548 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 475 เหรียญ/ตัน ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาทองแดงและเหล็กแผ่นรีดเย็นมีสาเหตุสำคัญมาจากการที่จีนมีความต้องการใช้เพื่อผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในปริมาณที่สูง โดยมีสัดส่วน ถึง 1 ใน 5 ของปริมาณความต้องการในตลาดโลก

การเพิ่มสูงขึ้นของราคาวัตถุดิบดังกล่าว ทำให้ต้นทุนในการผลิตเครื่องปรับอากาศ โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15 อีกทั้งเครื่องปรับอากาศที่ผลิตในประเทศยังต้องเสียภาษีสรรพสามิตอีกร้อยละ 15 ทำให้เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าจากจีนที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่ามาก ซึ่งได้แก่ ค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า และอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบในการผลิตเครื่องปรับอากาศ 0% จึงทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ผลิตไทยลดลงเป็นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าจากประเทศจีน

การนำเข้าเครื่องปรับอากาศจากจีน : เพิ่มขึ้นกว่า 132%

การนำเข้าเครื่องปรับอากาศของไทยมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยในปี 2548 มีมูลค่า 141.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.22 จากปี 2547 แหล่งนำเข้าที่สำคัญคือ มาเลเซีย จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งจีนเป็นแหล่งนำเข้าที่มูลค่าการนำเข้าเครื่องปรับอากาศขยายตัวในอัตราที่สูงมากถึงร้อยละ 132 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเครื่องปรับอากาศที่นำเข้าจากมาเลเซียและญี่ปุ่น จะเป็นเครื่องปรับอากาศระดับบนที่มีเทคโนโลยีสูง ส่วนเครื่องปรับอากาศที่นำเข้าจากจีนเป็นสินค้าระดับปานกลางถึงล่างที่มีราคาถูก ตัวอย่างเช่น ขนาด 9,000 บีทียู มีราคาขายต่ำกว่าเครื่องปรับอากาศจากมาเลเซียและญี่ปุ่นประมาณ 3,000 ถึง 4,000 บาท

ทั้งนี้อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศในจีนกำลังได้รับการพัฒนาอย่างมากเพื่อรองรับกับตลาดในประเทศและส่งออกด้วยสินค้าที่มีราคาไม่สูงมากนัก ซึ่งแนวโน้มการนำเข้าเครื่องปรับอากาศในปี 2549 คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีก โดยมีจีนเป็นแหล่งนำเข้าที่สำคัญ ทั้งนี้มูลค่าการนำเข้าเครื่องปรับอากาศจากจีนในเดือนมกราคม 2549 ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 269.57 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีเครื่องปรับอากาศจากต่างประเทศที่ส่งเข้ามาจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งจากมาเลเซีย และ เกาหลีใต้ ซึ่งมีราคาจำหน่ายลดลงหลังจากการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าเหลือเพียงร้อยละ 5 ตามข้อตกลงทางการค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน และกลุ่มประเทศอาเซียนกับจีน

มูลค่านำเข้าเครื่องปรับอากาศของไทย

รายการ มูลค่า (ล้านเหรียญสหรัฐ) อัตราการขยายตัว (%)
2546 2547 2548 2549
(มค.-ม.ค.) 2546 2547 2548 2549
(มค.-ม.ค.)
มาเลเซีย 9.1 21.0 38.8 11.1 -10.78 130.77 84.76 42.31
จีน 14.5 14.0 32.5 8.5 145.76 -3.45 132.14 269.57
ญี่ปุ่น 26.2 33.3 37.0 5.8 72.37 27.10 11.11 -19.44
เกาหลีใต้ 10.2 12.3 10.6 1.2 264.29 20.59 -13.82 -36.84
ไต้หวัน 2.6 3.3 5.0 0.6 -13.33 26.92 51.52 0.00
สหรัฐอเมริกา 0.9 3.1 6.2 0.5 -10.00 244.44 100.00 400.00
เยอรมนี 1.2 2.4 2.4 0.2 -61.29 100.00 0.00 -33.33
เวียดนาม 0.0 0.1 1.5 0.2 0.00 0.00 1400.00 -60.00
อินโดนีเซีย 0.3 0.3 0.3 0.1 200.00 0.00 0.00 0.00
สิงคโปร์ 0.8 1.2 1.1 0.1 100.00 50.00 -8.33 -50.00
อื่นๆ 8.4 7.8 6.1 0.3 -31.71 -7.14 -21.79 -66.67
รวม 74.2 98.8 141.5 28.6 37.41 33.15 43.22 31.19
ที่มา : กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

ยอดจำหน่ายภายในประเทศ : ปี 49 ขยายตัวร้อยละ 10

ในปี 2548 นั้นตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศมีแนวโน้มค่อนข้างดี เนื่องจากสภาพอากาศค่อนข้างร้อนและการขยายตัวของเศรษฐกิจยังคงเติบโต แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลายประการ เช่น ราคาน้ำมัน ความรุนแรงทางภาคใต้ ทั้งนี้อัตราการขยายตัวของปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12.8 มีปริมาณการจำหน่ายรวมประมาณ 620,000 เครื่อง มีมูลค่าตลาดประมาณ 13,600 ล้านบาท สำหรับยอดจำหน่ายในปี 2549 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าน่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 10 จากปีที่ผ่านมา หรือมียอดจำหน่ายประมาณ 682,000 เครื่อง ทั้งนี้ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดผลกระทบต่อยอดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศในประเทศดังนี้

ภาวะเศรษฐกิจ ประมาณการตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ที่ร้อยละ 4.0-4.5 ในปี 2549 ซึ่งค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 ในปี 2548 ทั้งนี้ปัจจัยทางด้านการเมืองที่ผันผวนอาจส่งผลกระทบต่อตัวเลขเศรษฐกิจในปี 2549 ให้มีอัตรการขยายตัวต่ำลงได้หากสถานการณ์ยังมีความยืดเยื้อ แต่ตัวเลขมูลค่าส่งออกในช่วง 2 เดือนแรกของปีที่ขยายตัวค่อนข้างดีก็ยังทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจยังเติบโตต่อไปได้ อย่างไรก็ตามยังต้องระมัดระวังเกี่ยวกับปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น ความผันผวนราคาน้ำมัน ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการใช้จ่ายที่ระมัดระวังมากยิ่งขึ้นของผู้บริโภค

ตลาดที่อยู่อาศัยใหม่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ตลาดที่อยู่อาศัยนับเป็นตลาดที่มีความสำคัญต่อยอดขายเครื่องปรับอากาศในแต่ละปี แต่ในช่วงที่ผ่านมาแนวโน้มของกำลังซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคเริ่มชะลอตัว เนื่องจากปัจจัยทางด้านเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประมาณแนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2549 ว่าจะมีจำนวนประมาณ 63,000-67,000 ยูนิต (รวมบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม/อาคารชุดและบ้านรับจ้างสร้าง) ซึ่งเป็นจำนวนใกล้เคียงกับที่อยู่อาศัยใหม่ที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 0-3 ซึ่งที่อยู่อาศัยเหล่านี้จะยังคงมีความต้องการเครื่องปรับอากาศจำนวนไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมาไม่มากนัก อย่างไรก็ตามในตลาดเครื่องทดแทน หรือ replacement market ของเครื่องปรับอากาศก็ยังมีการขยายตัวอยู่ นอกจากนี้ในตลาดที่อยู่อาศัยเดิมนั้นก็ยังสามารถขยายตัวได้อีกเนื่องจากอัตราการใช้เครื่องปรับอากาศต่อครัวเรือนในประเทศนั้นยังอยู่ในระดับค่องข้างต่ำ หรือประมาณร้อยละ 9-10 ของครัวเรือนทั่วประเทศเท่านั้น

ภาวะการแข่งขันของตลาดเน้นเทคโนโลยีและดีไซน์ เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงที่ผ่านมาเครื่องปรับอากาศได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านเทคโนโลยีค่อนข้างมาก โดยสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะตัว แต่ก็ยังคงเน้นที่เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเป็นหลัก โดยเฉพาะระบบการฟอกอากาศ การกำจัดกลิ่นและเชื้อโรคบางชนิด นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาทางด้านดีไซน์ของสินค้าให้มีลักษณะที่ทันสมัยและง่ายต่อการทำความสะอาดมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ผู้ผลิตต่างให้ความสนใจที่จะนำมาใช้เพิ่มขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคาเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งแนวคิดดังกล่าวสามารถรองรับตลาดในระดับบนได้ ส่วนในตลาดระดับกลางและล่างนั้นการแข่งขันทางด้านราคายังคงมีความสำคัญ ซึ่งต่างจากในปี 2547 ที่ผ่านมาจะเน้นราคาเครื่องปรับอากาศที่ต่ำเป็นหลัก ซึ่งการเน้นการผลิตเครื่องปรับอากาศที่มีเทคโนโลยีในระดับที่สูงขึ้นนั้นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ผลิตขนาดใหญ่ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับผู้ผลิตขนาดกลางและเล็กที่เน้นทางด้านราคาต่ำเป็นหลัก

การปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเครื่องปรับอากาศมีราคาค่อนข้างสูง ระบบสินเชื่อเงินผ่อนจึงมีความจำเป็นสำหรับผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อไม่มากนัก และช่วงที่ผ่านมาระบบเงินผ่อนก็มีความสำคัญต่อยอดจำหน่ายและสามารถผลักดันยอดได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามแนวโน้มการปรับเพิ่มของอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อของผู้บริโภคซึ่งจะทำให้ภาระของการผ่อนชำระมากขึ้น ส่วนในกลุ่มผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเองอาจต้องชะลอการนำระบบผ่อนชำระแบบ 0% ลงเนื่องจากต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย

สภาพอากาศไม่ร้อนมากนัก สภาพอากาศมีผลกระทบต่อยอดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศค่อนข้างมาก หากปีใดที่สภาพอากาศร้อนอบอ้าว การตัดสินใจซื้อเครื่องปรับอากาศจะรวดเร็วขึ้น ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมของทุกปีซึ่งเป็นฤดูร้อนของไทย ปริมาณการจำหน่ายเครื่องปรับอากาศจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าในช่วงเดือนอื่นๆ แม้ผู้ผลิตจะพยายามที่จะเร่งส่งเสริมการขายในช่วงอื่นๆ แต่ก็ยังไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้เท่ากับในช่วงฤดูร้อน สำหรับแนวโน้มของสภาพอากาศในปี 2549 นั้น กรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่า ช่วงที่จะมีอากาศร้อนจัดจะอยู่ในเดือนมีนาคมและเมษายน และในปีนี้คาดว่าอากาศจะไม่ร้อนจัดมากนัก เนื่องจากจะมีฝนตกลงมาเป็นช่วงๆ ซึ่งจะช่วยคลายความร้อนลงได้บ้าง ซึ่งอากาศที่ไม่ร้อนมากนักอาจส่งผลกระทบต่อการชะลอตัวของยอดขายในประเทศปีนี้ส่วนหนึ่ง

ภาคการส่งออก : ยังคงเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่ง ยอดส่งออกขยายตัวกว่าร้อยละ 20

ไทยเป็นผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนประกอบรายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองลงมาจากจีนและสหรัฐซึ่งเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งและสองตามลำดับ มูลค่าการส่งออกของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2548 ที่ผ่านมา การส่งออกเครื่องปรับอากาศมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.27 มีมูลค่ารวมประมาณ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (87,000 ล้านบาท) และ มูลค่าส่งออกจะขยายตัวต่อเนื่องในปี 2549 โดยในช่วงเดือนแรก (มกราคม) นั้นมีอัตราการขยายตัวประมาแณร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยประเทศที่เป็นตลาดหลักของการส่งออกเครื่องปรับอากาศนั้น ได้แก่ ญี่ปุ่น กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศอาเซียน การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกเครื่องปรับอากาศของไทยที่เพิ่มขึ้นนั้น เนื่องมาจากในช่วงที่ผ่านมามีการขยายการลงทุนจากกลุ่มผู้ผลิตทั้งผู้ผลิตไทยและผู้ผลิตจากต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 5 ล้านเครื่องต่อปี สำหรับในปี 2549 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการว่า มูลค่าการส่งออกจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2548 โดยมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 2,640 ล้านเหรียญสหรัฐหรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20

ตลาดส่งออกที่มีอัตราการขยายตัวดี ได้แก่ สหรัฐ โดยที่ไทยสามารถส่งออกเครื่องปรับอากาศไปยังตลาดสหรัฐเพิ่มขึ้นได้กว่าร้อยละ 23.68 ทั้งนี้น่าจะเป็นผลมาจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก เช่นเดียวกับตลาดญี่ปุ่นที่ไทยสามารถขยายการส่งออกได้เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเริ่มมีอัตราการเติบโตหลังจากที่ผ่านช่วงเศรษฐกิจหดตัวมาหลายปี ส่วนประเทศในแถบยุโรปนั้นไทยส่งออกได้ลดลง น่าจะมีผลมาจากการขยายตัวของการส่งออกของประเทศจีนที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด โดยเฉพาะในอิตาลีซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ของสหภาพยุโรป นอกจากที่จีนจะเพิ่มปริมาณการผลิตเครื่องปรับอากาศเป็นกว่า 20 ล้านเครื่องต่อปีแล้ว การที่จีนประกาศความพร้อมต่อการปฎิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยการกำจัดซากเหลือทิ้งของเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Waste Electrical and Electronic Equipment : WEEE) และ และกฎหมายว่าด้วยการห้ามใช้สารอันตรายบางชนิดในการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ (Restriction on Hazardous Substances: RoHS) ของสหภาพยุโรป ทำให้จีนสามารถสร้างมาตรฐานที่เป็นหนึ่งเดียวกับตลาดนอกเหนือจากการมีสินค้าในราคาถูกกว่าไทยซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าด้วย

นอกจากในตลาดสหภาพยุโรปแล้ว จีน ได้กลายเป็นผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศรายใหญ่ที่มีบทบาทในเวทีการค้าโลกมากขึ้น การผลิตเครื่องปรับอากาศของจีนนั้นมีทั้งส่วนของผู้ผลิตภายในประเทศเองและผู้ผลิตต่างชาติที่ย้ายฐานการผลิตเข้าไปในจีนเพิ่มขึ้นเนื่องจากจีนยังมีปัจจัยพื้นฐานทางด้านค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า ทำให้จีนขยายการส่งออกไปยังตลาดต่างๆ ได้ทั่วโลก โดยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของมูลค่าการส่งออกเครื่องปรับอากาศของโลก แม้ว่าไทยจะสามารถขยายมูลค่าการส่งออกเครื่องปรับอากาศได้เพิ่มขึ้นในปี 2548 โดยมีปัจจัยเกื้อหนุนที่สำคัญคือ การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกทั่วทุกภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐ ญี่ปุ่นและประเทศในแถบยุโรป แต่ภาวะการแข่งขันของไทยกับประเทศคู่แข่งขันจากประเทศอื่นๆ ก็ทำให้ไทยได้รับผลกระทบในการขยายตัวค่อนข้างมากโดยเฉพาะการแข่งขันกับประเทศจีน นอกจากนี้สำหรับโครงสร้างการผลิตในประเทศไทยเอง ยังมีการพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศค่อนข้างมาก การเคลื่อนย้ายฐานการลงทุนจากผู้ผลิตต่างชาติได้กลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อมูลค่าการส่งออกตามไปด้วย ดังนั้นการสร้างบรรยากาศทางการลงทุนที่ดีจึงจะสามารถดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติให้สร้างฐานการผลิตและขยายปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนหรือการสร้างห่วงโซ่อุปทานการผลิต (supply chain)ให้กับผู้ผลิตไทยให้แข็งแกร่ง หรือการสร้างอุตสาหกรรมในลักษณะคลัสเตอร์ (cluster) ซึ่งจะเป็นการต่อยอดอุตสาหกรรมให้มีความยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศในระยะยาว แต่ที่ผ่านมายังมีปัญหาและอุปสรรคค่อนข้างมากโดยเฉพาะการให้สิทธิพิเศษสำหรับการลงทุนในประเทศ การปรับเก็บภาษีนำเข้าวัตถุดิบในอัตราระหว่าง 5-30% ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซีย จีน ภาษีนำเข้าวัตถุดิบสำหรับการผลิตเครื่องปรับอากาศอยู่ในอัตรา 0% ซึ่งทำให้ไทยอาจจำเป็นต้องพิจารณาสิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดผู้ผลิตจากต่างประเทศ

นอกเหนือจากอุปสรรคทางด้านการผลิตแล้ว กฎระเบียบของประเทศคู่ค้าก็ทำให้ผู้ผลิตไทยต้องเร่งปรับตัวด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มสหภาพยุโรป European Union : EU) จะเริ่มประกาศใช้ ระเบียบว่าด้วยการจัดการเศษซากเหลือทิ้งจากผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Waste Electrical and Electronic Equipment : WEEE) ที่ EU นำระเบียบนี้มาใช้ในวันที่ 13 สิงหาคม 2548 และ ระเบียบว่าด้วยการจำกัดการใช้สารอันตรายบางชนิดในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Restrictions on Hazardous Substances : RoHS) ที่คาดว่า EU จะประกาศใช้ในเดือน กรกฎาคม ปี 2549 ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวในด้านการผลิตและการบริหารต้นทุนของสินค้าใหม่สำหรับสินค้าที่จะส่งไปยังตลาดนี้

เครื่องปรับอากาศไทย : ความสามารถในการแข่งขันในตลาดสำคัญ

สำหรับตลาดเครื่องปรับอากาศที่สำคัญของโลก เช่น สหรัฐอเมริกา อิตาลี และญี่ปุ่น ไทยสามารถส่งออกไปตลาดทั้ง 3 แห่งค่อนข้างดีและมีแนวโน้มของมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามไทยก็มีคู่แข่งที่สำคัญคือจีนที่มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นและสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ในหลายตลาด ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ศึกษาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเครื่องปรับอากาศของไทยและจีนโดยใช้ ดัชนีค่าความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Revealed Comparative Advantage Index : RCA) เป็นเครื่องมือในการอธิบายโดยมีรายละเอียดดังนี้

ตลาดสหรัฐอเมริกา ไทยสามารถส่งออกได้เป็นอันดับ 6 รองจาก เม็กซิโก จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา โดยมีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างคงตัวประมาณร้อยละ 3.8 ในปี 2547 และมีการขยายตัวไม่มากนักในขณะที่จีนมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 28.2 และมีอัตราการขยายตัวของมูลค่าส่งออกสูงถึงร้อยละ 30 จากการคำนวณค่าความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของการส่งออก (RCA) เครื่องปรับอากาศของไทยและจีนในตลาดสหรัฐแล้ว พบว่า ไทยยังมีค่า RCA เท่ากับ 3.2 ในขณะที่จีนมีค่า RCA เท่ากับ 2.1 ในปี 2547 แสดงให้เห็นว่าในตลาดสหรัฐนั้นไทยยังมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบสูงกว่าจีนเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะแม้จีนจะส่งออกเครื่องปรับอากาศไปยังตลาดสหรัฐได้มากแต่เมื่อเทียบกับการส่งออกสินค้าทุกประเภทแล้วเครื่องปรับอากาศยังมีสัดส่วนน้อยกว่าไทย

ตลาดอิตาลี ซึ่งเป็นตลาดเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ไทยสามารถส่งออกได้เป็นอันดับ 3 รองจาก จีนและเบลเยี่ยม โดยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณร้อยละ 13.8 ส่วนจีนมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณร้อยละ 39.1 (ข้อมูลในปี 2547) ทั้งไทยและจีนนั้นสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดในอิตาลีได้เพิ่มขึ้น จากการคำนวณค่าความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของการส่งออก (RCA) เครื่องปรับอากาศของไทยและจีนในตลาดอิตาลีแล้ว พบว่า ไทยยังมีค่า RCA เท่ากับ 36.5 ในขณะที่จีนมีค่า RCA เท่ากับ 15.1 ในปี 2547 แสดงให้เห็นว่าในตลาดอิตาลีนั้นไทยยังมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบสูงกว่าค่อนข้างมาก แม้ว่าส่วนแบ่งตลาดจะขยายตัวไม่สูงมากนักแต่ไทยก็ยังมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดอิตาลีค่อนข้างดี

ตลาดญี่ปุ่น เป็นตลาดเครื่องปรับอากาศอันดับ 3 ของโลก ไทยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณร้อยละ 18.6 ในขณะที่จีนมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึงร้อยละ 67.7 และมีแนวโน้มของส่วนแบ่งตลาดเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการคำนวณค่าความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของการส่งออก (RCA) เครื่องปรับอากาศของไทยและจีนในตลาดญีปุ่นแล้ว พบว่า ไทยยังมีค่า RCA เท่ากับ 6.3 ในขณะที่จีนมีค่า RCA เท่ากับ 3.3 ในปี 2547 แสดงให้เห็นว่าในตลาดญี่ปุ่นนั้นไทยยังมีความได้เปรัยบโดยเปรียบเทียบสูงกว่าจีนเล็กน้อย แต่มีแนวโน้มของความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบลดลงอย่างต่อเนื่อง

ตารางส่วนแบ่งตลาดเครื่องปรับอากาศของจีนและไทยในตลาดสำคัญ ปี 2544-2547
ส่วนแบ่งตลาด จีน ไทย
2544 2545 2546 2547 2544 2545 2546 2547
สหรัฐ 13.1 18.3 27.0 28.2 4.0 3.8 2.9 3.8
อิตาลี 18.5 21.7 25.7 39.1 9.3 9.6 13.6 13.8
ญี่ปุ่น 38.2 53.2 58.9 67.7 29.1 20.7 19.2 18.6
ที่มา : United Nation Statistic Division และคำนวณโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ตารางดัชนีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (RCA) ของจีนและไทย
ของเครื่องปรับอากาศไทย ในตลาดส่งออกที่สำคัญ ปี 2544-2547

ค่า RCA จีน ไทย
2544 2545 2546 2547 2544 2545 2546 2547
สหรัฐ 1.4 1.7 2.2 2.1 3.1 3.0 2.4 3.2
อิตาลี 10.9 11.1 6.9 15.1 32.5 33.7 25.6 36.5
ญี่ปุ่น 2.3 2.9 3.0 3.3 10.2 7.0 6.5 6.3
ที่มา : คำนวณโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย

สรุปและข้อคิดเห็น

แนวโน้มของตลาดเครื่องปรับอากาศของไทยในปี 2549 นั้นตลาดในประเทศแม้ว่าจะต้องเผชิญกับปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็ยังคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีกร้อยละ 10 จากปี 2548 ส่วนในด้านการส่งออกนั้นก็มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 20 อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตของมูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยไปยังตลาดต่างๆ นั้นแม้แล้วจะมีแนวโน้มเติบโตต่อไปได้ อย่างไรก็ตามการศึกษาถึงดัชนีค่าความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Revealed Comparative Advantage Index : RCA) ของสินค้าเครื่องปรับอากาศไทยในตลาดสหรัฐ ญี่ปุ่นและอิตาลี จะพบว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี แต่ก็ต้องระมัดระวังคู่แข่งที่สำคัญอย่างประเทศจีน ซึ่งแม้ว่าในตลาดเหล่านี้จีนจะมีค่า RCA ต่ำกว่าไทย แต่สังเกตว่าตัวเลขค่า RCA มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งค่า RCA ที่ต่ำของจีนนั้นเนื่องจากสินค้าโดยรวมที่จีนส่งออกไปยังตลาดเหล่านั้นมีมูลค่าโดยรวมสูงมาก ทำให้ค่า RCA ของจีนในสินค้าเครื่องปรับอากาศต่ำกว่าไทย อย่างไรก็ตามหากพิจารณาค่า RCA ของเครื่องปรับอากาศแล้วจะเห็นว่ามีทิศทางที่ทรงตัวหรือลดต่ำลงกว่าเดิม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ค่า RCA ที่ทรงตัวหรือลดลงของสินค้านั้น น่าจะเป็นสัญญาณเตือนว่าผู้ประกอบการไทยจำเป็นที่จะต้องเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้