การแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดนี้เป็นที่จับตามองอย่างกว้างขวางจากหลายฝ่าย ทั้งในสังคมไทย และภายนอกประเทศ โดยเหตุผลประการหนึ่งมาจากความคาดหวังของสังคมต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาลเฉพาะกาลนี้ จะสามารถแก้ไขปัญหาและจุดบกพร่องที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ดังจะเห็นได้จากคำแถลงในเบื้องต้นที่สะท้อนถึงแนวทางการบริหารประเทศที่มีรากฐานความคิดแตกต่างไปจากรัฐบาลชุดก่อนค่อนข้างมาก ซึ่งส่งผลให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ ต่างรอคอยความชัดเจนของทิศทางนโยบายของรัฐบาลชุดนี้
เป็นที่เข้าใจว่า รัฐบาลเฉพาะกาลมีข้อจำกัดในด้านเวลา เนื่องจากเข้ามาบริหารประเทศภายในกรอบเวลาประมาณ 1 ปี และสมาชิกในคณะรัฐมนตรีก็ไม่ได้มีการเตรียมการล่วงหน้าในการเข้ามาบริหารประเทศ ต่างจากรัฐบาลชุดก่อน ๆ ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้มีเวลาเตรียมการในการจัดทำนโยบายของพรรคเพื่อเสนอให้แก่ประชาชนตั้งแต่ช่วงเตรียมการหาเสียงเลือกตั้ง ส่งผลให้นโยบายมีเนื้อหาที่ลงในรายละเอียดที่ประชาชนโดยทั่วไปสามารถเข้าใจได้ชัดเจน ในขณะที่รัฐบาลเฉพาะกิจชุดนี้มีภารกิจสำคัญที่จะเข้ามาปฏิรูปการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่างรัฐธรรมนูญ และการแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนการบริหารราชการให้มีความต่อเนื่อง เพื่อปูพื้นฐานสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามารับช่วงต่อหลังการเลือกตั้ง
แม้จะมีวาระบริหารประเทศเพียง 1 ปี แต่รัฐบาลมีภารกิจที่สำคัญในการวางรากฐานที่จะมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป เนื่องจาก รัฐบาลนี้จะเป็นผู้ดำเนินการผลักดันมาตรการต่าง ๆ ที่จะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจในปี 2550 ขณะเดียวกันรัฐบาลชุดนี้จะมีหน้าที่พิจารณาจัดทำงบประมาณสำหรับปีงบประมาณ 2551 ที่คงจะเริ่มจัดทำประมาณในไตรมาสแรก และนำเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติในเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2550 ซึ่งเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานของภาครัฐที่จะมีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจในปี 2551 นอกจากนี้ แนวทางที่รัฐบาลชุดนี้วางไว้ ถ้าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการเข้ามาปฏิรูป ก็น่าจะเป็นพื้นฐานสำหรับการดำเนินนโยบายของภาครัฐในอนาคตข้างหน้าด้วย
ในด้านนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายของรัฐบาลชุดนี้มีจุดเด่นในหลายประเด็น เช่น การเน้นถึงประสิทธิภาพ ความพอดี การระมัดระวัง และความยั่งยืน แต่ขณะเดียวกัน ก็มีบางประเด็นที่น่าจะต้องพิจารณาเพื่อให้การผลักดันนโยบายบังเกิดผลตามเจตนารมณ์ของการเข้ามาบริหารราชการภายใต้ช่วงเวลาอันเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประเทศ รวมทั้งสอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัฒน์ โดยสาระสำคัญที่น่าจะมีการพิจารณาสำหรับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลมีดังนี้ :-
เป้าหมาย … การปฏิรูปที่คาดหวังว่าจะนำไปสู่เสถียรภาพและคุณภาพของการเติบโต
ดังเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่านโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ ยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การใช้หลักคุณธรรมกำกับการพัฒนาเศรษฐกิจในระบบตลาดเสรี เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เศรษฐกิจระบบตลาด และเศรษฐกิจส่วนรวม ให้มีส่วนร่วมในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบความยั่งยืนและความพอดี โดยเน้นให้เอกชนมีบทบาทนำและผนึกกำลังร่วมกับรัฐ และภาคประชาสังคม เพิ่มความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจทั้งสามภาคส่วน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า เป้าหมายของนโยบายดังกล่าว มีข้อดีคือเน้นการสร้างรากฐานเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็ง เติบโตอย่างสมดุล เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงจากภายนอก รวมทั้งเน้นบทบาทของภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลเฉพาะกาลจะอยู่ในตำแหน่งเพียง 1 ปี แต่การวางกรอบแนวทางสำหรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะปานกลางถึงระยะยาวก็ยังคงมีความสำคัญ เนื่องจากประเทศไทยคงต้องพร้อมสำหรับการแข่งขันที่เข้มข้นในกระแสโลกาภิวัฒน์ ขณะเดียวกัน องค์ประกอบในเศรษฐกิจแต่ละส่วนจะต้องมีกลไกป้องกันตัวเองและกลไกรองรับผลกระทบต่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากภายนอกประเทศ
ทั้งนี้ การปฏิรูปในเชิงโครงสร้างการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่สังคมให้ความคาดหวังต่อรัฐบาลชุดนี้ค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นที่คาดหมายว่ารัฐบาลชุดนี้น่าจะเผชิญกับอุปสรรคจากการแทรกแซงโดยกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองน้อยกว่ารัฐบาลชุดก่อนหน้า ในขณะที่เจตนารมณ์ของรัฐบาลในการปฏิรูปกลไกตรวจสอบการทำงานฝ่ายบริหารและสร้างความโปร่งใสในระบบรัฐ ก็น่าจะสามารถส่งผลผลักดันต่อประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจในระยะยาว ประเด็นดังกล่าวมีความสำคัญเนื่องจากไทยเป็นประเทศหนึ่งในหลายๆประเทศที่ถูกมองจากนานาชาติว่ายังมีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน โดยปัญหาดังกล่าวเป็นต้นทุนแฝงของการดำเนินธุรกิจและต้นทุนทางเศรษฐกิจของภาคเอกชนไทย ดังนั้น การดำเนินการปฏิรูปกลไกตรวจสอบการทำงานและสร้างความโปร่งใสดังกล่าวของรัฐบาลเฉพาะกิจ จึงเป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังว่าจะสร้างเสถียรภาพและคุณภาพในการเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะต่อ ๆ ไป
ชูเศรษฐกิจพอเพียงนำนโยบายเศรษฐกิจ
นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้มีจุดเด่นที่การนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาบริหารประเทศ เป็นแนวทางที่จะวางรากฐานให้ประเทศเติบโตไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าแนวนโยบายถูกจัดทำในเชิงหลักการไว้อย่างกว้าง ๆ ถ้าได้มีการขยายรายละเอียดที่จะทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าใจถึงการนำเอาหลักการมาสู่แนวทางปฏิบัติ ก็จะทำให้นโยบายมีความสมบูรณ์มากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติซึ่งอาจจะยังคงมีความไม่เข้าใจอย่างครบถ้วน หรืออาจจะเข้าใจผิดถึงทิศทางที่รัฐบาลจะดำเนินการ เช่น ด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ ทั้งนี้ ความเข้าใจผิดที่มักพบเห็นได้คือ นักลงทุนต่างชาติยังเข้าใจสับสนในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง (ระหว่าง Sufficiency Economy กับ Self Sufficient) โดยอาจมองไปว่าไทยจะเดินไปในทิศทางที่ปิดกั้นการพึ่งพาภายนอกประเทศ ซึ่งความไม่เข้าใจดังกล่าวอาจส่งผลต่อการลงทุนจากต่างประเทศและธุรกิจต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคต
นอกจากนี้ การที่จะให้หลักคิดต่าง ๆ ได้รับการนำไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างไรนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่ารัฐบาลเฉพาะกาลซึ่งเป็นผู้ริเริ่มนี้จะต้องทำตัวอย่างเพื่อให้หลักคิดก่อเกิดผลและความเข้าใจจากประชาชนถึงคุณประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม โดยหากคนทั่วไปเห็นว่านโยบายนั้นเป็นนโยบายที่ดี ก็จะมีผู้เรียกร้องให้มีการดำเนินนโยบายนั้นต่อ ๆ ไป ความต่อเนื่องของรากฐานที่วางไว้ก็จะได้รับการสานต่อ ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า นโยบายที่มีการกำหนดไว้อย่างกว้าง ๆ ดังกล่าว ควรจะต้องเร่งขยายความให้เกิดความชัดเจนว่าภาคส่วนใดของเศรษฐกิจต้องดำเนินการในด้านใด อย่างไร และจะได้ผลลัพธ์เช่นใด โดยสำหรับนโยบายในแต่ละระดับนั้น ควรที่จะมีการกำหนดถึงกระบวนการ กลไก แผนปฏิบัติการ ตัวชี้วัด กรอบเวลา ตลอดจนวิธีการติดตามประเมินผลที่ชัดเจน ในภาพรวมแล้ว เนื่องจากรัฐบาลนี้มีภารกิจที่ต้องบริหารประเทศในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ต้องวางพื้นฐานที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงเห็นว่า นโยบายรัฐบาลน่าที่จะมีการแยกออกเป็นสองส่วน คือ นโยบายที่ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในช่วง 1 ปีที่รัฐบาลมีวาระดำรงตำแหน่ง และนโยบายที่มุ่งเน้นการวางรากฐาน เช่น กลไก ระบบ ข้อกฎหมาย และหน่วยสถาบัน ให้เป็นมาตรฐานที่ดีสำหรับรัฐบาลชุดต่อ ๆ ไป
นโยบายเศรษฐกิจ … ประเด็นที่ภาคเอกชนรอคอยความชัดเจน
นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ จัดแบ่งตามภาคเศรษฐกิจที่จำแนกออกเป็น เศรษฐกิจฐานราก เศรษฐกิจระบบตลาด และเศรษฐกิจส่วนรวม ซึ่งข้อดีคือแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญแก่กลุ่มเศรษฐกิจระดับต่าง ๆ อย่างทั่งถึง อย่างไรก็ตาม ภายใต้การแบ่งลักษณะนี้ นโยบายบางส่วนได้ถูกบรรจุไว้ภายใต้ภาคเศรษฐกิจหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วมีความเกี่ยวข้องกับภาคเศรษฐกิจอื่นด้วย ตัวอย่างเช่น โครงสร้างพื้นฐานปัญญา เป็นนโยบายภายใต้ภาคเศรษฐกิจระบบตลาด แต่ภาคเศรษฐกิจฐานรากก็น่าจะต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาด้วย เช่น การต่อยอดความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ในขณะเดียวกัน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ถือว่าอยู่ในนโยบายส่วนใด อยู่ในนโยบายโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา ภายใต้ภาคเศรษฐกิจระบบตลาด หรืออยู่ในนโยบายแรงงาน ภายใต้ภาคเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญบางประการที่น่าจะบรรจุอยู่ในนโยบายนี้ อาทิ การปรับโครงสร้างภาคเศรษฐกิจต่างๆและระบบกลไกเพื่อรองรับการเปิดเสรี โดยมีการพูดถึงแต่นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่มุ่งการดำเนินนโยบายร่วมมือระหว่างประเทศที่เหมาะสม นอกจากนี้ ประเด็นในภาคการเงินบางเรื่องก็ควรจะมีการระบุรายละเอียดอย่างชัดเจน เพราะภาคการเงินไทยยังคงต้องเร่งสร้างกลไกป้องกันตัวเองจากความเสี่ยงตลาดเงินตลาดทุนโลก และความเสี่ยงต่าง ๆ จากปัจจัยความไม่แน่นอนภายนอก
ประเด็นที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การปรับปรุงกฎหมายธุรกิจ ซึ่งเป็นที่สนใจหรืออาจเป็นข้อกังวลของนักลงทุนต่างชาติ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า รัฐบาลน่าจะระบุกรอบการทำงานเกี่ยวข้อการปรับปรุงกฎหมายให้มีความชัดเจนมากขึ้นว่าจะดำเนินการในส่วนใดบ้าง ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการปรับปรุงกฎหมายภายใต้กระแสของโลกที่เปลี่ยนแปลงนี้ นอกจากเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้า สร้างความเป็นธรรม และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันแล้ว กฎหมายน่าจะเป็นกลไกระบบป้องกันตัวเองสำหรับเศรษฐกิจไทยจากกระแสโลกเสรี โดยเน้นเหตุผลของการคุ้มครองดูแลผลประโยชน์ของผู้บริโภค และการแข่งขันที่เป็นธรรมบนพื้นฐานมาตรฐานเดียวกัน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า สิ่งที่รัฐบาลได้ทำอยู่นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี โดยเฉพาะแนวนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาจต้องเร่งทำความชัดเจนในเรื่องของประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติ ที่ยังคงไม่มีรายละเอียดปรากฏอย่างชัดเจนในเอกสารนโยบายของรัฐบาลให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (Foreign Business Act) โดยเฉพาะกรอบว่าด้วยเรื่องของตัวแทนผู้ถือหุ้นหรือ Nominees แผนการดำเนินการในโครงการเมกะโปรเจกต์ นโยบายเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีก ตลอดจนนโยบายและกรอบการดำเนินการในเรื่องของการเปิดเสรีทางด้านการค้าและการเงินของประเทศ ไม่ว่าจะเรื่องการเจรจาการค้าเสรีกับญี่ปุ่นซึ่งอาจมีผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยต่อไปในอนาคต หรือการเจรจาการค้าเสรีกับสหรัฐฯซึ่งจะมีผลต่อภาคบริการของไทย โดยเฉพาะธุรกิจการเงิน อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อว่ารัฐบาลคงจะได้เร่งแถลงรายละเอียดและความชัดเจนในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าว ซึ่งจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่อไป
การวางรากฐานและวิถีทางเศรษฐกิจพอเพียงในระบบเศรษฐกิจไทย
รัฐบาลได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นที่จะให้เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำไปใช้กับเศรษฐกิจในทุกระดับ ซึ่งถ้าแบ่งกลุ่มนโยบายและเป้าหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจออกเป็นนโยบายสำหรับภาคเศรษฐกิจฐานราก ภาคเศรษฐกิจระบบตลาด และภาคเศรษฐกิจส่วนรวมแล้ว การให้ความชัดเจนถึงการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงสำหรับเศรษฐกิจแต่ละระดับอาจมีความจำเป็น ซึ่งคงต้องมีแผนการที่มีรายละเอียดมากขึ้น
ทั้งนี้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีหัวใจของหลักคือ ความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล และการสร้างภูมิคุ้มกัน ได้มีการยึดถือเป็นหลักในการวางแนวนโยบายการพัฒนาประเทศมาตั้งแต่ครั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) แต่อาจกล่าวได้ว่ายังไม่มีการนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมอย่างกว้างขวาง แม้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) ได้มีการร่างโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงนำทางการพัฒนาประเทศ แต่ต้องยอมรับว่านโยบายของรัฐบาลชุดนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการหยิบยกเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นมาเป็นหลักนำนโยบายการบริหารประเทศ
เมื่อรัฐบาลยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารประเทศ การสร้างความเข้าใจถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้กับประชาชนในทุกภาคส่วน รวมถึงพันธมิตรทางเศรษฐกิจของไทยในต่างประเทศ จึงถือเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาลชุดนี้ ที่ผู้บริหารนโยบายของประเทศและกลไกภาครัฐควรจะต้องมีบทบาทเป็นผู้นำในการกำหนดความหมายและการประยุกต์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งสื่อความให้กับผู้ปฏิบัติในระดับต่าง ๆ เพื่อให้สามารถนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาขับเคลื่อนและสร้างประโยชน์ให้กับภาคเศรษฐกิจแต่ละส่วนหรือระบบองค์กรอย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม เนื่องจากองค์ประกอบของเศรษฐกิจแต่ละส่วนมีโครงสร้างและเนื้อหาที่แตกต่างกัน การนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในสาระสำคัญและวิธีการแล้วจึงต้องประยุกต์ให้เหมาะกับลักษณะองค์กรด้วย อย่างเช่น ในภาคเศรษฐกิจฐานราก ภาคเศรษฐกิจระบบตลาด และภาคเศรษฐกิจส่วนรวมนั้น แต่ละภาคส่วนจะมีสารัตถะของการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงที่แตกต่างกัน
โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า นโยบายที่รัฐบาลเฉพาะกาลได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติฯ นับได้ว่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในอนาคตภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อย่างไรก็ตาม แม้จะถือได้ว่าแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างฐานเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพที่แข่งขันได้ ควบคู่ไปกับการสร้างกลไกช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจที่แข่งขันไม่ได้ให้มีความสามารถปรับตัวไปสู่แนวทางที่อยู่รอดได้ดังกล่าวนั้นเป็นแนวทางที่เหมาะสมต่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน แต่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ก็มองว่าความท้าทายของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลอยู่ที่การรักษาความสมดุลของการปฏิรูปพื้นฐานเศรษฐกิจภายในประเทศและการรักษาสถานะบทบาทของไทยในเวทีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในสายตาของนานาประเทศ
สำหรับนโยบายที่รัฐบาลได้มีการแถลงไว้หลายประเด็นมีแนวคิดที่ดี แต่อาจยังไม่ระบุรายละเอียดเนื่องจากมีระยะเวลาค่อนข้างสั้นในการจัดทำร่างนโยบาย แต่เมื่อมีการประกาศนโยบายไว้แล้ว จึงนับเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เร่งชี้แจงรายละเอียดให้มีการดำเนินการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า รัฐบาลน่าจะเร่งทำความชัดเจนในเรื่องของประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจในขณะนี้ของนักลงทุน ทั้งในประเทศและต่างชาติ แต่รายละเอียดไม่ได้ปรากฏอย่างชัดเจนในเอกสารนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยเฉพาะกรอบว่าด้วยเรื่องของตัวแทนผู้ถือหุ้นหรือ Nominees แผนการดำเนินการในโครงการเมกะโปรเจกต์ แนวนโยบายเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีก ตลอดจนนโยบายและกรอบการดำเนินการในเรื่องของการเปิดเสรีทางด้านการค้าและการเงินของประเทศ ไม่ว่าจะการเจรจาการค้าเสรีกับญี่ปุ่นซึ่งอาจมีผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยต่อไปในอนาคต และการเจรจา FTA กับสหรัฐฯซึ่งจะมีผลต่อภาคบริการของไทย โดยเฉพาะธุรกิจการเงิน อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ก็เชื่อมั่นว่ารัฐบาลคงจะได้เร่งแถลงรายละเอียดและความชัดเจนในประเด็นต่าง ๆ ดังกล่าว ซึ่งจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศในที่สุด


