การใช้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เป็นเครื่องมือเพื่อชี้วัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้ในการประเมินแนวโน้มของเศรษฐกิจในอนาคต โดยในปัจจุบันได้ถูกนำเข้ามารวมเป็นหนึ่งในองค์ประกอบในการคำนวณดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index) ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยจากการที่มีเงินลงทุนไหลเข้าในตลาดหุ้นจำนวนมาก ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนเกี่ยวกับแนวโน้มการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน และการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าเมื่อพิจารณาโครงสร้างของกลุ่มอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ กับโครงสร้างทางเศรษฐกิจจริงของประเทศไทยจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติตามสาขาการผลิต จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแล้วพบว่า มีความแตกต่างกัน โดยโครงสร้างของกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยค่อนข้างที่จะมีการกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่กี่ประเภทในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยกว่าร้อยละ 53.2 ของมูลค่าหลักทรัพย์ ณ.ราคาตลาด(จากข้อมูล ณ.วันที่ 30 ตุลาคม 2549) อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 3 กลุ่ม ได้แก่ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 28.9 รองลงมาได้แก่ หมวดธนาคาร มีสัดส่วนร้อยละ 16.4 และหมวดวัสดุก่อสร้างร้อยละ 8 ในขณะเดียวกัน ทางด้านตัวเลขจีดีพีของไทยเมื่อจำแนกตามสาขาการผลิตในไตรมาส 2/2549 สามารถแบ่งได้เป็น ในภาคการเกษตรร้อยละ 9.4 และส่วนใหญ่อีกร้อยละ 90.6 ในภาคนอกเกษตร เมื่อจำแนกในรายละเอียดของภาคนอกเกษตรแล้วพบว่า สาขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 3 สาขา ได้แก่ สาขาอุตสาหกรรม คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 35 รองลงมา ได้แก่ สาขาการขายส่ง ขายปลีกและการซ่อมแซมยานยนต์ฯกว่าร้อยละ 15 และสาขาการขนส่ง คมนาคมและคลังสินค้าร้อยละ 7.3 ซึ่งทั้ง 3 สาขาดังกล่าวมีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 57.3 ของจีดีพีโดยรวม
นอกจากนั้นแล้ว มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า เมื่อพิจารณาขนาดของบริษัทจดทะเบียนใน
ตลาดหลักทรัพย์ไทยในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ยังมีขนาดที่ไม่ใหญ่นักโดยกว่าร้อยละ 36.4 ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดมีขนาดของมูลค่าหลักทรัพย์ ณ.ราคาตลาดอยู่ที่ประมาณ 1,000 – 5,000 ล้านบาท อีกทั้ง สัดส่วนของมูลค่าหลักทรัพย์ ณ.ราคาตลาด ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมจะค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น โดยสัดส่วนของมูลค่าหลักทรัพย์ ณ.ราคาตลาดสำหรับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 3 อันดับแรก เมื่อเทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ ณ.ราคาตลาดโดยรวมในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่าครึ่งหนึ่งในหลายๆอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มทรัพยากร(ร้อยละ 74.16) เทคโนโลยี(ร้อยละ 72.33) และอสังหาริมทรัพย์ (ร้อยละ 55)

ทั้งนี้ เมื่อคำนวณค่าความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนของ SET Index กับ อัตรา
การขยายตัวของจีดีพีรายไตรมาส นับตั้งแต่ปี 2541 (หลังจากที่มีการลอยตัวค่าเงินบาทในเดือน กรกฏาคม 2540) พบว่า มีค่าเป็นบวกที่ไม่มากนักที่ประมาณ 0.27 ในขณะที่ค่าความสัมพันธ์เมื่อพิจารณาเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรมที่มากที่สุดได้แก่ ในกลุ่มธนาคาร วัสดุก่อสร้าง บริการเฉพาะกิจ การแพทย์ และประกันภัย ที่ 0.39 0.26 และ 0.257 ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาความสามารถในการคาดการณ์เศรษฐกิจของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ตาม Granger Causality Test แล้วพบว่า ผลที่ได้ค่อนข้างไม่ชัดเจน โดยแม้ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ยังสามารถใช้เป็นเครื่องช่วยคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะ 5 ไตรมาสข้างหน้าได้ที่ระดับความเชื่อมั่นที่ประมาณ 90% แต่เมื่อพิจารณาเป็นดัชนีรายกลุ่มแล้วพบว่า เพียงบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่สามารถใช้คาดการณ์จีดีพีได้ โดยในระยะ3-5 ไตรมาสข้างหน้านั้น ดัชนีกลุ่มพาณิชย์ สามารถใช้คาดการณ์ได้ที่ระดับความเชื่อมั่นถึง 99% รองลงมา ได้แก่ ดัชนีกลุ่มวัสดุก่อสร้าง การเเพทย์ ของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน ประกันภัย และธนาคาร ซึ่งสามารถอธิบายได้ที่ระดับความเชื่อมั่นที่ 95% ขณะที่ดัชนีกลุ่มบริการเฉพาะกิจ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์ ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ และปิโตรเคมี สามารถอธิบายได้ที่ระดับความเชื่อมั่นที่ 90% นอกจากนั้น ความสามารถในการใช้คาดการณ์ยังเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา (Lag) ที่ใช้พิจารณา

จากสัดส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆภายในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบันที่มี
ความแตกต่างกันกับสัดส่วนในภาคเศรษฐกิจจริงและผลทางสถิติในข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงประเด็นทางด้านโครงสร้างของอุตสาหกรรมไทยในหลายๆแง่มุม นอกจากนั้น การที่หลายธุรกิจซึ่งถูกนับรวมเป็นองค์ประกอบในจีดีพีของประเทศยังคงอยู่นอกตลาดหลักทรัพย์มาจากสาเหตหลายประการ ทั้งจากเหตุผลของตัวธุรกิจเอง และจากระดับการพัฒนาของธุรกิจและเศรษฐกิจไทย อันได้แก่ การที่ธุรกิจเหล่านั้นยังมีขนาดเล็ก และมีคุณสมบัติไม่ถึงเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ตลอดจน การที่ผู้ประกอบการเองยังคงขาดความเข้าใจและไม่มีแรงจูงใจเพียงพอในการที่จะเข้าจดทะเบียน รวมไปถึงข้อจำกัดในระดับโครงสร้างของแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งจะพบว่าในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายประเภทต้องอาศัยเงินลงทุนจำนวนมาก ส่งผลให้มีผู้ประกอบการอยู่เพียงไม่กี่รายเท่านั้น โดยการที่จะส่งเสริมให้สัดส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหลักทรัพย์มีความใกล้เคียงกับภาคเศรษฐกิจรวมของประเทศ ถือเป็นมาตรการหนึ่งที่ได้มีการระบุไว้ในแผนพัฒนาตลาดทุนฉบับที่ 2 อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในเรื่องดังกล่าว ถือเป็นเป้าหมายระยะยาวที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความร่วมมือและประสานงานกันจากหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งคงจะหลีกเลี่ยงไม่พ้นการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ได้แก่ การพัฒนาและเสริมสร้างความแข็งเเกร่งให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยอาจจะอยู่ในรูปของมาตรการต่างๆที่เป็นการให้ความช่วยเหลือให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถเติบโตและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ความช่วยเหลือในเรื่องเงินทุน เทคโนโลยี และการให้คำแนะนำในเรื่องธุรกิจ เพื่อให้เป็นธุรกิจที่ขนาดใหญ่และสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในที่สุด ควบคู่กันไปกับการสนับสนุนทางให้บริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น เช่น การชักจูงและให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียน การลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน และการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม การลดกระบวนการและระยะเวลาในการพิจารณา เป็นต้น ซึ่งหลายๆมาตรการเป็นสิ่งที่ได้มีการดำเนินการไปแล้ว ตลอดจน การสนับสนุนให้มีการควบรวมกิจการ เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการรวมธุรกิจ หรือ Synergy จากความสามารถเฉพาะของแต่ละกิจการ (การที่ผลรวมของการควบรวมกิจการมีมูลค่ามากกว่าแต่ละส่วนรวมกัน) โดยการแก้ไขข้อจำกัดต่างๆของการควบรวมกิจการ เช่น กระบวนการที่ซับซ้อน และประเด็นทางด้านภาษี เป็นต้น

กล่าวโดยสรุปได้ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้ในการ
ประเมินแนวโน้มของเศรษฐกิจในอนาคต โดยในปัจจุบันได้ถูกนำเข้ามารวมเป็นหนึ่งในองค์ประกอบในการคำนวณดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index) ของธนาคารแห่งประเทศไทย อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าเมื่อพิจารณาโครงสร้างของกลุ่มอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ กับโครงสร้างทางเศรษฐกิจจริงของประเทศไทยจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติตามสาขาการผลิต จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแล้วพบว่ามีความแตกต่างกัน โดยโครงสร้างของกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยค่อนข้างที่จะมีการกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่กี่ประเภทในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยกว่าร้อยละ 53.2 ของมูลค่าหลักทรัพย์ ณ.ราคาตลาด(จากข้อมูล ณ.วันที่ 30 ตุลาคม 2549) อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 3 กลุ่ม ได้แก่ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดธนาคาร และหมวดวัสดุก่อสร้างร้อยละ ในขณะเดียวกัน ทางด้านตัวเลขจีดีพีของไทยเมื่อจำแนกตามสาขาการผลิตในไตรมาส 2/2549 สามารถแบ่งได้เป็น ในภาคการเกษตรร้อยละ 9.4 และส่วนใหญ่อีกร้อยละ 90.6 ในภาคนอกเกษตร เมื่อจำแนกในรายละเอียดของภาคนอกเกษตรแล้วพบว่า สาขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 3 สาขา ได้แก่ สาขาอุตสาหกรรม สาขาการขายส่ง ขายปลีกและการซ่อมแซมยานยนต์ฯ และสาขาการขนส่ง คมนาคมและคลังสินค้าซึ่งทั้ง 3 สาขาดังกล่าวมีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 57.3 ของจีดีพี ทั้งนี้ เมื่อคำนวณค่าความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนของ SET Index กับ อัตราการขยายตัวของจีดีพีรายไตรมาส นับตั้งแต่ปี 2541 (หลังจากที่มีการลอยตัวค่าเงินบาทในเดือน กรกฏาคม 2540) พบว่า มีค่าเป็นบวกที่ไม่มากนักที่ประมาณ 0.27 ในขณะที่ค่าความสัมพันธ์เมื่อพิจารณาเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรมที่มากที่สุดได้แก่ ในกลุ่มธนาคาร วัสดุก่อสร้าง บริการเฉพาะกิจ การแพทย์ และประกันภัย ที่ 0.39 0.26 และ 0.257 ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาความสามารถในการคาดการณ์เศรษฐกิจของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ตาม Granger Causality Test แล้วพบว่า ผลที่ได้ค่อนข้างไม่ชัดเจน โดยแม้ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ยังสามารถใช้เป็นเครื่องช่วยคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะ 5 ไตรมาสข้างหน้าได้ที่ระดับความเชื่อมั่นที่ประมาณ 90% แต่เมื่อพิจารณาเป็นดัชนีรายกลุ่มแล้วพบว่า เพียงบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่สามารถใช้คาดการณ์จีดีพีได้ โดยในระยะ3-5 ไตรมาสข้างหน้านั้น ดัชนีกลุ่มพาณิชย์ สามารถใช้คาดการณ์ได้ที่ระดับความเชื่อมั่นถึง 99% รองลงมา ได้แก่ ดัชนีกลุ่มวัสดุก่อสร้าง การเเพทย์ ของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน ประกันภัย และธนาคาร ซึ่งสามารถอธิบายได้ที่ระดับความเชื่อมั่นที่ 95% ขณะที่ดัชนีกลุ่มบริการเฉพาะกิจ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์ ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ และปิโตรเคมี สามารถอธิบายได้ที่ระดับความเชื่อมั่นที่ 90% นอกจากนั้น ความสามารถในการใช้คาดการณ์ยังเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา (Lag) ที่ใช้พิจารณา

จากสัดส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆภายในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบันที่มี
ความแตกต่างกันกับสัดส่วนในภาคเศรษฐกิจจริงและผลทางสถิติในข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงประเด็นทางด้านโครงสร้างของอุตสาหกรรมไทยในหลายๆแง่มุม นอกจากนั้น การที่หลายธุรกิจซึ่งถูกนับรวมเป็นองค์ประกอบในจีดีพีของประเทศยังคงอยู่นอกตลาดหลักทรัพย์มาจากสาเหตหลายประการ ทั้งจากเหตุผลของตัวธุรกิจเอง และจากระดับการพัฒนาของธุรกิจและเศรษฐกิจไทย อันได้แก่ การที่ธุรกิจเหล่านั้นยังมีขนาดเล็ก และมีคุณสมบัติไม่ถึงเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ตลอดจน การที่ผู้ประกอบการเองยังคงขาดความเข้าใจและไม่มีแรงจูงใจเพียงพอในการที่จะเข้าจดทะเบียน รวมไปถึงข้อจำกัดในระดับโครงสร้างของแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งจะพบว่าในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายประเภทต้องอาศัยเงินลงทุนจำนวนมาก ส่งผลให้มีผู้ประกอบการอยู่เพียงไม่กี่รายเท่านั้น โดยการที่จะส่งเสริมให้สัดส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหลักทรัพย์มีความใกล้เคียงกับภาคเศรษฐกิจรวมของประเทศ ถือเป็นมาตรการหนึ่งที่ได้มีการระบุไว้ในแผนพัฒนาตลาดทุนฉบับที่ 2 อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในเรื่องดังกล่าว ถือเป็นเป้าหมายระยะยาวที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความร่วมมือและประสานงานกันจากหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งคงจะหลีกเลี่ยงไม่พ้นการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ได้แก่ การพัฒนาและเสริมสร้างความแข็งเเกร่งให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยอาจจะอยู่ในรูปของมาตรการต่างๆที่เป็นการให้ความช่วยเหลือให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถเติบโตและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ความช่วยเหลือในเรื่องเงินทุน เทคโนโลยี และการให้คำแนะนำในเรื่องธุรกิจ เพื่อให้เป็นธุรกิจที่ขนาดใหญ่และสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในที่สุด ควบคู่กันไปกับการสนับสนุนทางให้บริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น เช่น การชักจูงและให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียน การลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน และการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม การลดกระบวนการและระยะเวลาในการพิจารณา เป็นต้น ซึ่งหลายๆมาตรการเป็นสิ่งที่ได้มีการดำเนินการไปแล้ว ตลอดจน การสนับสนุนให้มีการควบรวมกิจการ เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการรวมธุรกิจ หรือ Synergy จากความสามารถเฉพาะของแต่ละกิจการ (การที่ผลรวมของการควบรวมกิจการมีมูลค่ามากกว่าแต่ละส่วนรวมกัน) โดยการแก้ไขข้อจำกัดต่างๆของการควบรวมกิจการ เช่น กระบวนการที่ซับซ้อน และประเด็นทางด้านภาษี เป็นต้น