เศรษฐกิจอินโดจีนยังคงสดใสในปี 2550 โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของลาว กัมพูชา และพม่า จะเติบโตอยู่ในอัตราเฉลี่ยประมาณ 6.6%, 6.5% และ 5.5% ตามลำดับ เทียบกับอัตราประมาณการปี 2549 อยู่ที่ระดับราว 7.3%, 5.0 และ 7.0% ตามลำดับ ปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของลาว กัมพูชา และพม่า ในปีกุน ได้แก่ การขยายตัวภาคการส่งออก การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) และการท่องเที่ยว ในขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ควรระวังในปี 2550 ได้แก่ ภาวะราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น รวมถึงกระแสการกีดกันทางการค้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป เป็นต้น
ปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจของประเทศอินโดจีน 2550 ได้แก่
1. การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
กัมพูชา – การส่งออกของกัมพูชาขยายตัวเป็นลำดับในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ จากข้อมูลกรมศุลกากรของกัมพูชาล่าสุดรายงานว่า การส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 34% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 เป็นมูลค่า 1,255.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากมูลค่าส่งออก 937 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันปี 2548 โดยเป็นการส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอคิดเป็นสัดส่วนถึงกว่า 90% ของการส่งออกทั้งหมดของกัมพูชา เป็นที่น่าสังเกตว่า การส่งออกของกัมพูชาขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดมาตั้งแต่ปี 2548 เนื่องจากกัมพูชาเข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) ในวันที่ 13 ตุลาคม 2547 ทำให้สินค้าส่งออกของกัมพูชาเข้าสู่ตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ได้มากขึ้นจากการลดภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะการส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญอันดับ 1 ของกัมพูชา และยังได้รับผลดีต่อเนื่องจากการยกเลิกโควตาสิ่งทอของ WTO ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 โดยการส่งออกทั้งหมดของกัมพูชาขยายตัวประมาณ 14% เมื่อสิ้นสุดปี 2548 คิดเป็นมูลค่า 2,821 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับมูลค่าส่งออก 2,476 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีก่อนหน้า ภาวะการส่งออกของกัมพูชาที่ขยับขยายเพิ่มขึ้นเป็นลำดับติดต่อกัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปได้เข้าไปลงทุนและขยายกิจการในกัมพูชา เพื่อผลิตสินค้าและส่งออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ ทำให้คาดการณ์ว่าการส่งออกโดยเฉพาะสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปของกัมพูชายังคงขยายตัวต่อไปในปี 2550
ลาว – นับตั้งแต่ลาวได้รับสถานะความสัมพันธ์ทางการค้าแบบปกติ (Normal Trade Relation : NTR) จากสหรัฐอเมริกาในปี 2547 ส่งผลให้อัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าส่งออกของลาวลดลงจากอัตรา 45% เหลือ 2.4% มีผลทำให้การส่งออกของลาวในเวลาถัดมาขยายตัวถึง 21.7% ในปีงบประมาณ 2548/49 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2549) คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 455.6 ล้านดอลลาร์ เทียบกับมูลค่า 374.3 ล้านดอลลาร์ ในปีก่อนหน้า ดังนั้น จึงคาดว่าการลดภาษีของสหรัฐฯ จะส่งผลดีแก่การส่งออกของลาวต่อไป นอกจากนี้ การที่ลาวได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) จากประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นๆ ได้แก่ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และแคนาดา ทำให้การส่งออกของลาวในปีงบประมาณ 2549/50 มีลู่ทางสดใสยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปของลาวที่ถือเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ รองจากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ไม้และแร่ต่างๆ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูปยังก่อให้เกิดการจ้างงานในลาวกว่า 25,000 คน ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนลาวด้วย ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2549/50 (เมษายน-กรกฎาคม 2549) สหภาพยุโรปนำเข้าเสื้อผ้าและสิ่งทอจากลาวมูลค่าเพิ่มขึ้น 27.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของลาวอีกประการหนึ่ง คือ การส่งออกมายังประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของลาว คิดเป็นสัดส่วนกว่า 35% ของการส่งออกของลาวทั้งหมด ได้ขยายตัวอย่างน่าพอใจ ในช่วง 10 เดือนแรก 2549 ลาวส่งออกมาไทยเพิ่มขึ้นถึง 158% จากมูลค่าส่งออก 159.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 411.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าส่งออกของลาวมาไทยที่มีมูลค่าสูงสุด ได้แก่ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ คิดเป็นสัดส่วน 42% ของการส่งออกทั้งหมดของลาวมายังไทย รองลงมา ได้แก่ เชื้อเพลิงอื่นๆ (สัดส่วน 32%) ไม้ซุง ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ (สัดส่วน 16.8%) ตามลำดับ
นับว่าไทยมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของลาว เพราะนอกจากไทยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของลาวแล้ว ไทยยังเป็นประเทศที่ลาวนำเข้าสินค้ามากที่สุดด้วย (สัดส่วนกว่า 60% ของการนำเข้าทั้งหมดของลาว) ลาวนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากไทยเพิ่มขึ้น 43.8% ในช่วง 10 เดือนแรก 2549 ถือเป็นสินค้านำเข้าอันดับ 1 ที่ลาวนำเข้าจากไทย มูลค่าการค้าไทย-ลาว เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จากมูลค่าประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2544 เพิ่มขึ้นกือบถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2548 โดยเฉพาะในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2549 มูลค่าการค้าขยายตัวถึง 60% คิดเป็นจำนวนเงิน 1,247.5 ล้านดอลลาร์ เทียบกับมูลค่า 781 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปี 2548
ประเด็นที่น่าจับตาอีกประการหนึ่ง ได้แก่ สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 ซึ่งเชื่อมแขวงสะหวันนะเขตของลาวกับจังหวัดมุกดาหารของไทย ได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2549 คาดว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางไป-มาของพลเมืองและสินค้าระหว่าง 2 ประเทศ ช่วยกระตุ้นการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างลาวกับไทยให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 ยังเป็นประตูที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจตะวันออกและตะวันตก (East-West Corridor) เริ่มตั้งแต่เมืองดานังของเวียดนาม–แขวงสะหวันนะเขตของลาว–จังหวัดมุกดาหารและอำเภอแม่สอด จังหวัดตากของไทย ไปยังเมืองเมียงสอและเมืองมะละแม่งของพม่า นับเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจของภูมิภาคอินโดจีน และขับเคลื่อนให้กลุ่มประเทศแถบนี้เจริญเติบโตไปด้วยกัน
พม่า – การส่งออกของพม่าขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2549/50 (เมษายน-สิงหาคม 2549) เนื่องจากความต้องการพลังงาน ก๊าซธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ป่าไม้ ประมง และผลิตผลทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้นจากบรรดาประเทศคู่ค้าของพม่า ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2548/49 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2549) การส่งออกของพม่ามีมูลค่า 3,554 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่พม่านำเข้ามีมูลค่า 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้พม่าเกินดุลการค้ามูลค่า 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นยอดเกินดุลเพิ่มขึ้น 60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ พม่าเป็นประเทศที่มียอดเกินดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง เพราะก๊าซธรรมชาติเป็นสินค้าส่งออกสำคัญอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยพม่าส่งออกก๊าซธรรมชาติมาไทยประเทศเดียว นอกจากนี้ ตลาดส่งออกรวมของพม่าที่สำคัญที่สุด ได้แก่ กลุ่มอาเซียน คิดเป็นสัดส่วนราว 70% ของการส่งออกทั้งหมดของพม่า
ไทยนับเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของพม่า คิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของการส่งออกทั้งหมดของพม่า มูลค่าการส่งออกก๊าซธรรมชาติของพม่ามายังไทยในช่วง 10 เดือนแรก 2549 เป็นจำนวนเงินประมาณ 1,630 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 34.7% จากมูลค่า 1,211 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันปีก่อน สำหรับการนำเข้าสินค้าอื่นๆจากพม่า ได้แก่ ไม้ซุง ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ มูลค่านำเข้าราว 81 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ มูลค่านำเข้าราว 67 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
2. เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไหลเข้าต่อเนื่อง
กัมพูชา – กัมพูชามีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ได้แก่ ป่าไม้ ปาล์มน้ำมัน ยาง น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จึงเป็นแหล่งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้าไปตั้งโรงงานผลิตสินค้า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2549 โครงการลงทุนของต่างชาติที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกัมพูชามีจำนวน 65 โครงการ มูลค่ารวม 73.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยประเทศจีนยังคงเป็นแชมป์ที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชามากที่สุด รวม 26 โครงการ มูลค่าราว 21.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 30% ของโครงการลงทุนของต่างชาติที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกัมพูชาในช่วงดังกล่าว ประเภทโครงการลงทุนของจีน ได้แก่ โรงงานเสื้อผ้าและรองเท้า โครงการลงทุนด้านพลังงานน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า อุตสาหกรรมการเกษตร โรงแรม เป็นต้น
ส่วนนักลงทุนชาติอื่นในกัมพูชาที่ลงทุนมีมูลค่าสูงรองลงมา ได้แก่ ไต้หวัน รัสเซีย และไทย ตามลำดับ โครงการของไทยที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกัมพูชาในช่วง 10 เดือนแรกปี 2549 มี 2 โครงการ ได้แก่ โครงการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้า และโครงการสร้างโรงพยาบาล มีมูลค่ารวม 5.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 7.5% ของโครงการลงทุนของต่างชาติที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกัมพูชารวมทั้งสิ้น 73.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2549
ลาว – กรมส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนภายในและต่างประเทศของลาว รายงานว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 ไทยเป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนในลาวมากที่สุด รวม 30 โครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สาขาที่นักลงทุนไทยสนใจเข้าไปลงทุน ได้แก่ พลังงานไฟฟ้า โทรคมนาคมสื่อสาร โรงแรม&ท่องเที่ยว อุตสาหกรรม&หัตถกรรม ประเทศที่เข้าไปลงทุนในลาวมีมูลค่าสูงรองลงมาจากไทย ได้แก่ เวียดนาม จีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และไต้หวัน ตามลำดับ สาขาการลงทุนที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนมากที่สุด ได้แก่ การผลิตพลังงานไฟฟ้า คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 80% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในลาว รองลงมา ได้แก่ โทรคมนาคมสื่อสาร โรงแรม/ร้านอาหาร อุตสาหกรรม/หัตถกรรม ภาคบริการ อุตสาหกรรมไม้ การเกษตร การก่อสร้าง และเหมืองแร่ ตามลำดับ
บริษัทจีนและฝรั่งเศสทำข้อตกลงกับทางการลาวในโครงการก่อสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำ ส่วนออสเตรเลียเข้าไปสำรวจพบแหล่งแร่บ็อกไซต์จำนวนมากในเขตที่ราบสูง ซึ่งครอบคลุมหลายพื้นที่ทางใต้ของลาว คาดว่าปริมาณแร่บ็อกไซต์ในเขตดังกล่าวอาจเพียงพอสำหรับการทำเหมืองแร่ขนาดใหญ่ได้ และอาจจะสามารถผลิตบ็อกไซต์ได้มูลค่าถึง 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี นอกจากนี้ บริษัทเกาหลีใต้ร่วมทุนกับภาคเอกชนลาวสร้างโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ หรือ ไบโอดีเซล (Bio-Diesel) จากพืชสบู่ดำ มูลค่ากว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสนับสนุนให้เกษตรกรลาวปลูกพืชสบู่ดำในพื้นที่รวมกว่า 600,000 ไร่ และจะเริ่มดำเนินการสร้างโรงงานดังกล่าวได้ภายในต้นปี 2550 คาดว่าจะส่งผลดีต่อเกษตรกรชาวลาวให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกพืชสบู่ดำ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการใช้เป็นวัตถุดิบผลิตพลังงานทดแทน
พม่า – นับตั้งแต่พม่าเปิดต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศในปี 2531 จนถึงปัจจุบัน ประมาณว่าเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสะสมในพม่ามีมูลค่าประมาณ 13,840 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประเภทธุรกิจที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนมากที่สุด ได้แก่ การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ถือเป็นประเภทการลงทุนที่สร้างรายได้หลักเข้าพม่า โดยเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เข้าพม่าเฉพาะในปีงบประมาณ 2548/49 (เมษายน 2548 – มีนาคม 2549) มีมูลค่ารวม 6,065 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับว่าเป็นปีที่มีเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามายังพม่ามากที่สุด เพราะสถานการณ์น้ำมันในตลาดโลกผันผวน เป็นแรงจูงใจให้ประเทศต่างๆแสวงหาแหล่งพลังงานกันอย่างจริงจัง เพื่อเป็นพลังงานสำรองในอนาคต และพม่าก็เป็นประเทศหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจำนวนมาก
3. รายได้จากการท่องเที่ยวหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นักท่องเที่ยวต่างชาติในกัมพูชา ลาว และพม่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกัมพูชาและลาว มีอัตราการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 34.7% และ 22.4% ตามลำดับ ในปี 2548 ในขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติในพม่าเพิ่มขึ้นไม่มากเท่าที่ควรในปี 2548 เมื่อเทียบกับปี 2547 สาเหตุสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในพม่า และการย้ายเมืองหลวงของพม่าในช่วงปลายปี 2547 ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอการเดินทางเข้าพม่าในปีดังกล่าว เพื่อรอดูสถานการณ์ความมั่นคงจากการเปลี่ยนแปลงภายในพม่า อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในพม่า รวมทั้งกัมพูชา และลาว จะเพิ่มขึ้นจากมาตรการของอาเซียนที่ผลักดันการยกเว้นวีซ่าสำหรับประชาชนของประเทศอาเซียนในการเดินทางไปมาภายในภูมิภาคอาเซียน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในภูมิภาค รวมทั้งมาตรการภายในของประเทศัมพูชา ลาว และพม่าที่พยายามดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ
กัมพูชา – นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีจำนวน 813,392 คน ในช่วง 6 เดือนแรก 2549 หรือเพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ยังคงมีจำนวนมากที่สุดในบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางเข้าไปเที่ยวในกัมพูชาในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 คิดเป็นสัดส่วน 18.3% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในกัมพูชา รองลงมา ได้แก่ นักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อสิ้นสุดปี 2549 กัมพูชาจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนประมาณ 1.6 ล้านคน เทียบกับปี 2548 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในกัมพูชา 1.42 ล้านคน และจำนวน 1 ล้านคนในปี 2547
ทางการกัมพูชามีนโยบายเปิดน่านฟ้าเสรี (Open Sky Policy) เชื่อมโยงการบินระหว่างไทย กัมพูชา และเวียดนาม นอกจากนี้ กัมพูชาเน้นการพัฒนาเส้นทางคมนาคม เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐานและเชื่อมโยงธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) รวมทั้งการพัฒนาสนามบินนานาชาติเสียมเรียบ ซึ่งเป็นที่ตั้งของนครวัด-นครธม แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลก คาดว่าจะทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของกัมพูชาขยายตัว ทั้งนี้ ภาคท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชา โดยเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้เงินตราต่างประเทศที่สำคัญของประเทศ รวมทั้งก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศ ทางการกัมพูชาตั้งเป้าหมายให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 ล้านคน ในปี 2549 และ 3.12 ล้านคนในปี 2553 รวมทั้งสร้างรายได้เข้าประเทศประมาณ 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2549 และเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2553
ลาว – จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเยือนลาวในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2549/50 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2550) มีจำนวน 780,643 คน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยมากที่สุด มีจำนวนราว 432,810 คน นักท่องเที่ยวต่างชาติในลาวที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ประเทศอาเซียนซึ่งรวมถึงไทยและลาว ตกลงยกเว้นการตรวจวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวของประเทศในอาเซียนในเดือนตุลาคม 2548 นักท่องเที่ยวต่างชาติในลาวที่มีจำนวนมากรองลงมา ได้แก่ เวียดนาม (122,248 คน) และสหรัฐฯ (30,011 คน) ทั้งนี้ สถานที่ท่องเที่ยวมรดกโลกที่มีชื่อเสียงของลาว โดยเฉพาะเมืองหลวงพระบางและจำปาสัก มีส่วนสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ
ลาวดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงระบบคมนาคมขนส่ง เพิ่มการเชื่อมโยงสายการบินหลายแห่งระหว่างลาวกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยตั้งเป้าหมายให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในลาวเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 ล้านคนในปีงบประมาณ 2549/50 และเป็น 2 ล้านคน ในปี 2553 นอกจากนี้ ลาววางแผนจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวันนะเขตเพื่อพัฒนาเป็นเมืองใหม่ ซึ่งประกอบด้วยโรงแรม ศูนย์การค้า ศูนย์สุขภาพ สนามกอล์ฟ อุทยานการศึกษา และแหล่งบันเทิงครบวงจร คาดว่าจะสนับสนุนการท่องเที่ยวของลาวให้ขยายตัวในระยะต่อไป ทั้งนี้ ลาวตั้งเป้าหมายนำรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันราว 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2553 คาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศที่เพิ่มขึ้น จะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของลาว และบรรเทาปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของลาวในขณะนี้ด้วย
พม่า – นักท่องเที่ยวต่างชาติในพม่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดยขยายตัวถึง 40% จากจำนวน 470,000 คน ในปีงบประมาณ 2544/45 เป็น 660,206 คนในปีงบประมาณ 2548/49 และนำรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศเฉลี่ยประมาณ 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2543/44 ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวมูลค่าเพียง 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทางการพม่าตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 1 ล้านคนในช่วงฤดูท่องเที่ยวตั้งแต่เดือนตุลาคม 2549 – พฤษภาคม 2550 โดยมีโครงการขยายท่าอากาศยาน Minkaladon ในกรุงย่างกุ้ง ซึ่งจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 2.7 ล้านคน/ปี คาดว่าจะเสร็จในช่วงต้นปี 2550 นอกจากนี้ พม่าอยู่ระหว่างปรับปรุงท่าอากาศยาน 13 แห่งทั่วประเทศ และกำลังก่อสร้างสนามบินใหม่อีก 3 แห่ง ปัจจัยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ สถานที่ท่องเที่ยวของพม่า 8 แห่ง ได้รับการเสนอชื่อ เพื่อพิจารณาคัดเลือกเป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโก (UNESCO) นอกจากนี้ หากพม่ายอมยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจากประเทศอาเซียน ตามมาตรการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในอาเซียน ก็มีแนวโน้มที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศในอาเซียนให้เดินทางเข้ามาเยียมเยือนพม่ามากขึ้น
ข้อควรระวังของประเทศอินโดจีน
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เห็นว่าถึงแม้การส่งออก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการท่องเที่ยวของกัมพูชา ลาว และพม่า มีแนวโน้มขยายตัวในปี 2550 ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศกลุ่มอินโดจีน แต่ก็มีข้อพึงระวังบางประการที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกัมพูชา ลาว และพม่า ในปีกุน ดังนี้
กัมพูชา
– การแข่งขันส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทออย่างรุนแรงตั้งแต่ปี 2550 จากการที่เวียดนามกำลังเข้าเป็นสมาชิก WTO อย่างสมบูรณ์ในเดือนมกราคม 2550 ส่งผลให้เสื้อผ้าและสิ่งทอส่งออกจากเวียดนามจะไม่ถูกจำกัดด้วยโควตาอีกต่อไป รวมทั้งภายหลังปี 2551 มาตรการปกป้องพิเศษ (Safeguard Measure) ที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปใช้จำกัดการนำเข้าเสื้อผ้าและสิ่งทอจากจีนจะสิ้นสุดลง ส่งผลให้กัมพูชาจะต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างรุนแรงกับสินค้าส่งออกของจีนด้วย
– ภาวะขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง แม้การส่งออกของกัมพูชาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่การขยายตัวของการนำเข้าสูงกว่าการเพิ่มขึ้นของการส่งออก จากการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นแหล่งพลังงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของกัมพูชาทั้งการขนส่ง การผลิตกระแสไฟฟ้า และการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆ โดยในปี 2549 คาดว่ากัมพูชาอาจประสบภาวะขาดดุลการค้าเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ แม้ว่ากัมพูชาจะได้รายรับจากภาคท่องเที่ยวมาชดเชยการขาดดุลการค้า แต่คาดว่ากัมพูชาจะเผชิญภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องเช่นกัน
– การพัฒนาภาคเกษตรเชื่องช้า เนื่องจากสิทธิความเป็นเจ้าของที่ดินไม่ชัดเจน ทำให้เกษตรกรไม่มีความตั้งใจที่จะลงทุนเพื่อพัฒนาพื้นที่ ส่งผลให้พื้นที่ภาคเกษตรไม่ได้ถูกใช้อย่างเต็มที่และผลตอบแทนของพืชผลในกัมพูชาต่ำที่สุดในอนุภูมิภาค ทั้งนี้ ภาคเกษตรของกัมพูชามีความสำคัญ เพราะก่อให้เกิดการจ้างงาน คิดเป็นสัดส่วนถึง 72% ของกำลังแรงงานทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดปัญหาความยากจนของประเทศ
– อุปสรรคของการพัฒนาภาคเอกชน เช่น โครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอ ต้นทุนดอกเบี้ยสูง ขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ และความอ่อนแอด้านการบริหารงานภาครัฐ รวมทั้งความล่าช้าของการปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบภาครัฐให้มีความโปร่งใส อาจบั่นทอนการขยายตัวของลงทุนภายในประเทศและจากต่างประเทศ
ลาว
– ยอดขาดดุลการค้าโน้มสูงขึ้น ภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ผันผวนและราคาแพง ได้ส่งผลให้พลังงานเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นสินค้านำเข้าอันดับ 1 ของลาว มีมูลค่าสูงขึ้นด้วย ลาวจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าหมวดทุนและพลังงานเพื่อใช้ในโครงการลงทุนเหมืองและโครงการสร้างเขื่อนพลังงานน้ำต่างๆ ส่งผลให้ดุลการค้าของลาวมีแนวโน้มขาดดุลเพิ่มขึ้น และพลอยกดดันให้บัญชีเดินสะพัดของลาวขาดดุลตามไปด้วย
– ส่งออกสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปเผชิญภาวะแข่งขันรุนแรงตั้งแต่ปี 2550 เช่นเดียวกับกัมพูชา ซึ่งเป็นจากการที่เวียดนามจะเข้าเป็นสมาชิก WTO ในเดือนมกราคม 2550 และมาตรการปกป้องพิเศษ (Safeguard) ของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่จำกัดการนำเข้าสิ่งทอของจีนจะสิ้นสุดลงในปี 2551 ทำให้สิ่งทอและเสื้อผ้าส่งออกของลาวต้องเผชิญกับการแข่งขันเข้มข้นมากขึ้น
– ภาวะการขาดดุลงบประมาณ การขาดดุลงบประมาณของลาวในปัจจุบันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค และบั่นทอนเป้าหมายการลดปัญหาความยากจนของประเทศ
– การพึ่งพาการขนส่งสินค้าผ่านประเทศใกล้เคียง ลาวพยายามกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาประเทศเพื่อนบ้านประเทศใดประเทศหนึ่งจนเกินไปในด้านการคมนาคมขนส่งสินค้า ทำให้ลาวจำเป็นต้องเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านการขนส่ง โดยเชื่อมโยงการขนส่งของลาวกับประเทศใกล้เคียงทุกด้าน เพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมการส่งออกของลาว
พม่า
– การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากนานาชาติ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ออกกฎหมาย The Burmese Freedom and Democracy Act ในปี 2546 ห้ามบริษัทสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าทุกชนิดจากพม่า ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและภาคอุตสาหกรรมของพม่า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมของพม่าหดตัวลง ปรากฏจากการลดลงของการนำเข้าสินค้าทุนของพม่า และในเดือนกรกฎาคม 2549 สหรัฐฯ ขยายเวลาการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจพม่าออกไปอีก 3 ปี เนื่องจากประเทศตะวันตกไม่พอใจพม่ากรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
– เงินเฟ้อในพม่าพุ่งขึ้น พม่าปรับราคาพลังงานเพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2548 และทางการพม่าปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 500%-1,200% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้กดดันให้ราคาสินค้าและบริการในประเทศปรับตัวอยุ่ในระดับสูงตามไปด้วย
– ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานไม่เพียงพอ พม่าประสบกับปัญหาขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าและระบบสื่อสารที่ล้าหลัง รวมทั้งเส้นทางการคมนาคมขนส่งรูปแบบต่างๆ ยังไม่เชื่อมโยงเพียงพอ ส่งผลให้ภาคธุรกิจด้านต่างๆของพม่าไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร เนื่องจากระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเกื้อหนุนให้การลงทุนในพม่าเพิ่มพูนยิ่งขึ้น



