ผู้นำประเทศอาเซียน 10 ประเทศ มีกำหนดเดินทางไปประเทศฟิลิปปินส์เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 12 รวมทั้งประชุมผู้นำเอเชียตะวันออก (East Asia Summit : EAS) ครั้งที่ 2 ร่วมกับประเทศคู่เจรจาอีก 6 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ระหว่างวันที่ 13-15 มกราคม 2550 ณ เมืองเซบู หลังจากที่ฟิลิปปินส์เลื่อนการประชุมที่เดิมกำหนดจัดในวันที่ 10-14 ธันวาคม 2549 เนื่องจากฟิลิปปินส์ประสบภัยจากพายุไต้ฝุ่น รวมทั้งข่าวการก่อการร้ายในช่วงเวลาดังกล่าว
การต้านภัยการก่อการร้ายถือเป็นหนึ่งในวาระสำคัญของการประชุมระหว่างผู้นำอาเซียนในครั้งนี้ โดยผู้นำอาเซียนจะลงนามข้อตกลงความร่วมมือต่อต้านการก่อการร้าย (ASEAN Convention on Counterterrorism) และปรับปรุงความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อป้องกันการก่อการร้าย ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางการเมือง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ส่วนประเด็นสำคัญอื่นๆ ของการประชุมผู้นำอาเซียน ได้แก่ การลงนามปฏิญญาเซบู (Cebu Declaration) เพื่อเร่งรัดการจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ภายในปี 2558 การดำเนินการจัดทำร่างกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินการด้านกฎหมายและสถาบันของอาเซียนเพื่อรองรับการดำเนินการไปสู่การจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ให้มีประสิทธิภาพและมีความเป็นปึกแผ่นมากขึ้น การติดตามความคืบหน้าการดำเนินการของการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน และความร่วมมือผลักดันการเจรจาการค้าขององค์การการค้าโลกรอบโดฮาให้เกิดผลคืบหน้า หลังจากการเจรจาหยุดชะงักในเดือนกรกฎาคม 2549
สำหรับประเด็นสำคัญของการประชุมผู้นำเอเชียตะวันออกระหว่างอาเซียนร่วมกับประเทศคู่เจรจา 6 ประเทศ ได้แก่ การศึกษาการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชียตะวันออก (East Asia FTA) ซึ่งครอบคลุม 16 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ กับญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ปี 2550 : แนวโน้มขยายตัว แม้เผชิญหลายปัจจัยเสี่ยง
แม้ฟิลิปปินส์จะประสบปัญหาจากภัยก่อการร้าย ซึ่งกดดันบรรยากาศด้านการลงทุนของประเทศ แต่เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2546-2548) ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของฟิลิปปินส์เติบโตเฉลี่ย 5-6% และ คาดว่าเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์จะขยายตัวในอัตรานี้ต่อเนื่องในปี 2549-2550 โดยมีปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ ดังนี้
1. การส่งเงินกลับเข้าประเทศ (foreign remittances) ของแรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของฟิลิปปินส์ จำนวนเงินที่ส่งกลับเข้าฟิลิปปินส์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2549 จากมูลค่า 10.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2548 การส่งเงินกลับเข้าประเทศของฟิลิปปินส์เติบโตอย่างมากนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 5.4% เป็นปัจจัยสำคัญสนับสนุนให้ GDP ของฟิลิปปปินส์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 เติบโต 5.6% รายได้จากการส่งเงินกลับเข้าประเทศของแรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระหว่างปี 2550-2552 เนื่องจากผลของความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ทวิภาคีระหว่างฟิลิปปินส์กับญี่ปุ่นที่ญี่ปุ่นอนุญาตให้ชาวฟิลิปปินส์ซึ่งมีคุณสมบัติตรงตามที่ญี่ปุ่นกำหนดเข้าไปทำงานเป็นพยาบาลจำนวน 400 คน และผู้ดูแลคนป่วยจำนวน 600 คน ในญี่ปุ่นได้ภายใน 2 ปี นับจากวันที่ความตกลง FTA ฟิลิปปินส์-ญี่ปุ่นมีผลบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าความตกลง FTA นี้จะสามารถลงนามและมีผลบังคับใช้ได้ภายในปี 2550 จึงเป็นโอกาสของแรงงานฟิลิปปินส์ที่จะสร้างรายได้และนำเงินกลับเข้าประเทศ
2. การส่งออกขยายตัวได้ดี – การส่งออกของฟิลิปปินส์มีความสำคัญคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของ GDP โดยการส่งออกทั้งหมดของฟิลิปปินส์เติบโตด้วยตัวเลข 2 หลัก ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงตุลาคม 2549 ส่วนสำคัญมาจากการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่ขยายตัวอย่างแข็งขัน เนื่องจากตลาดโลกมีความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อใช้ในการผลิตสินค้าภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกอยู่ในระดับสูงรวมทั้งสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของฟิลิปปินส์ สนับสนุนให้การส่งออกเหล็กและผลิตภัณฑ์ของฟิลิปปินส์ขยายตัวได้ดี ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2549 การส่งออกเหล็กและผลิตภัณฑ์ของฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นถึง 114.7% จากมูลค่า 130.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปี 2548 เป็น 279.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับการส่งออกทั้งหมดของฟิลิปปินส์ในช่วง 10 เดือนแรก (มกราคม-ตุลาคม 2549) ของปี 2549 เพิ่มขึ้น 16.4% มูลค่าส่งออกทั้งหมด 39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าการส่งออกของฟิลิปปินส์ในปี 2550 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการเติบโตของการส่งออกของฟิลิปปินส์ในปี 2550 จะอ่อนแรงลง จากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับต้นๆ ของฟิลิปปินส์ รวมทั้งความสามารถทางการแข่งขันของฟิลิปปินส์ที่ลดลงจากค่าเงินเปโซของฟิลิปปินส์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินสกุลอื่นๆ ของเอเชีย ต่างแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้สินค้าส่งออกของฟิลิปปินส์ไม่สูญเสียความสามารถทางการแข่งขันมากนัก นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของฟิลิปปินส์ คาดว่าจะเพิ่มความต้องการสินค้าของฟิลิปปินส์มากขึ้น ชดเชยกับตลาดสหรัฐฯ และจีนที่อาจชะลอการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ฟิลิปปินส์พึ่งพิงกับการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของฟิลิปปินส์ โดยการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์คิดเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของการส่งออกทั้งหมดของฟิลิปปินส์ ในบรรดาประเทศเอเชีย ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากเป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย มาเลเซียส่งออกสินค้า อิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นสัดส่วนถึง 90% ของการส่งออกทั้งหมดของมาเลเซีย ในขณะที่ฟิลิปปินส์ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของการส่งออกทั้งหมดของฟิลิปปินส์ รองลงมา ได้แก่ จีน (สัดส่วน 40%) เกาหลีใต้ (สัดส่วน 38%) และไทย (เกือบ 30%) ตามลำดับ
ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2549 การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของฟิลิปปินส์มีมูลค่า 24.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 10.2% จากช่วงเดียวกันปี 2548 ที่มีมูลค่า 22.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของฟิลิปปินส์ยังคงมีแนวโน้มสดใสในปีนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัว เนื่องจากสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor Industry Association : SIA) ในสหรัฐฯ คาดว่าความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโต 11% ในปี 2550 เทียบกับปี 2549 ที่คาดว่าความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกจะขยายตัว 9.8% นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินเปโซมีส่วนช่วยผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของฟิลิปปินส์ที่นำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มาผลิตสินค้าสำเร็จรูปส่งออก เนื่องจากราคาสินค้าวัตถุดิบนำเข้าเหล่านี้ต่ำลง ช่วยให้ต้นทุนการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของฟิลิปปินส์ต่ำลงด้วย
3. เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น – จากข้อมูลของธนาคารกลางฟิลิปปินส์พบว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2549 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิมีมูลค่า 1.96 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 73.4% จากมูลค่าราว 1.13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันปี 2548 นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมีมูลค่าสูง ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ ประเภทโครงการลงทุนของต่างชาติที่สำคัญ ได้แก่ เคมีภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ และเหล็ก รวมถึงภาคบริการ ได้แก่ ธุรกิจเอาท์ซอสซิ่ง การวิจัยทางการแพทย์ วิศวกรรม และภาคก่อสร้าง ทั้งนี้ FDI เริ่มไหลเข้าฟิลิปปินส์ในปี 2548 อีกครั้งหลังจากที่ลดลงก่อนหน้านี้ จากปัญหาความไม่สงบทางการเมืองและภัยจากการก่อการร้าย โดยมูลค่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิเพิ่มขึ้น 790% จาก 109 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2547 เป็น 970 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า มูลค่า FDI ของฟิลิปปินส์ยังค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียนเดิม 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ไทย และมาเลเซีย อีกทั้ง FDI ของฟิลิปปินส์มีความสำคัญไม่มากนักต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยสัดส่วน FDI ต่อ GDP ของฟิลิปปินส์ค่อนข้างต่ำ
4. ภาคบริการ เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญอีกประการหนึ่งของฟิลิปปินส์ ภาคบริการคิดเป็นสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของ GDP ของฟิลิปปินส์ ธุรกิจบริการที่สำคัญของฟิลิปปินส์ ได้แก่ ธุรกิจเอาท์ซอสซิ่ง (business process outsourcing : BOP) โดยกิจกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจเอาท์ซอสซิ่ง ได้แก่ คอลเซ็นเตอร์ (call centers) รวมทั้ง ธุรกิจด้านโทรคมนาคม (ICT) ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพของฟิลิปปินส์ เนื่องจากบุคลากรของฟิลิปปินส์มีคุณภาพและถูกฝึกให้มีความชำนาญด้าน ICT เป็นอย่างดี นอกจากนี้สาขาบริการอื่นๆ ที่มีความสำคัญของฟิลิปปินส์ ได้แก่ ธุรกิจคมนาคมและขนส่ง
5. ดุลชำระเงินเกินดุล & เงินทุนสำรองต่างประเทศเพิ่มขึ้น – แม้ยอดดุลการค้าของฟิลิปปินส์จะขาดดุลติดต่อกันหลายปี แต่การส่งออกของฟิลิปปินส์ที่ขยายตัวได้ดีในปี 2549 ช่วยลดผลกระทบจากมูลค่านำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งการส่งเงินกลับเข้าประเทศจากแรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น และเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ขยายตัวในปี 2549 ส่งผลให้ดุลชำระเงินของฟิลิปปินส์เกินดุลมูลค่า 2,619 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 คิดเป็นสัดส่วน 3.2% ของ GDP และเงินทุนสำรองต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2549 เทียบกับเงินทุนสำรองต่างประเทศมูลค่า 18.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2548
6. การขาดดุลงบประมาณภาครัฐปรับตัวลดลง – ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ทางการฟิลิปปินส์ได้ดำเนินการปฏิรูปการคลังอย่างต่อเนื่องเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณภาครัฐ และในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ทางการฟิลิปปินส์ปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากอัตรา 10% เป็น 12% รวมทั้งเพิ่มอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลและอัตราภาษีสรรพสามิต ส่งผลให้รายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้น ช่วยลดการขาดดุลงบประมาณภาครัฐ การปฏิรูปดังกล่าวรวมถึงการจัดลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายภาครัฐ และความจำเป็นของการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ การขาดดุลงบประมาณภาครัฐของฟิลิปปินส์ลดลงจากระดับสูงสุดในปี 2545 ที่ยอดขาดดุลงบประมาณภาครัฐ คิดเป็นสัดส่วน 5.3% ของ GDP เหลือสัดส่วน 2.7% ของ GDP ในปี 2548 และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 การขาดดุลงบประมาณภาครัฐลดลงเหลือ 50.4 พันล้านเปโซ จากยอดขาดดุลงบประมาณ 108.5 พันล้านเปโซ ในช่วงเดียวกันของปี 2548
7. เงินเฟ้อปรับตัวลดลง – อัตราเงินเฟ้อในปี 2549 ลดลงจาก 7.6% ในปี 2548 อยู่ที่ระดับเฉลี่ย 6.2% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำสุดในรอบ 2 ปี หากพิจารณารายเดือน อัตราเงินเฟ้อในเดือนธันวาคม 2549 ลดลงเหลือ 4.3% จาก 4.7% ในเดือนพฤศจิกายน 2549 นับว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือนธันวาคม 2549 เป็นอัตราที่ต่ำสุดของฟิลิปปินส์ในรอบ 32 เดือน ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลฟิลิปปินส์สามารถดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายได้มากขึ้น โดยอาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยประมาณปลายเดือนมกราคม ศกนี้ เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2550
ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ข้างต้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น และคาดว่าสถาบันจัดอันดับระหว่างประเทศจะลดความเสี่ยงของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีในการเพิ่มความน่าเชื่อถือของประเทศ
ข้อควรระวังของฟิลิปปินส์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า แม้เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในปี 2549-2550 จากการขยายตัวของการส่งออก เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การส่งเงินกลับประเทศจากแรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศ ภาวะการคลังภาครัฐที่แข็งแกร่งขึ้น แต่มีปัจจัยบางประการทั้งจากภายนอกประเทศและภายในประเทศที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ รวมทั้งความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของประชาชนฟิลิปปินส์ สำหรับปัจจัยลบภายนอก ได้แก่ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ และจีน ที่คาดว่าจะส่งผลให้สินค้าส่งออกของฟิลิปปินส์ไปประเทศเหล่านี้ชะลอตัวลง ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง และมาตรการกีดกันการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers : NTBs) ในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป เช่น การเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping : AD) และการกำหนดมาตรฐานสินค้าในระดับสูง ส่วนปัจจัยลบภายในประเทศฟิลิปปินส์ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ มีดังนี้
– ปัญหาการว่างงาน – ปัญหาการว่างงานในฟิลิปปินส์ มีสาเหตุสำคัญจากการขาดการลงทุนใหม่ๆ ภายในประเทศ เนื่องจากการชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชนยังคงหดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 สาเหตุเนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักธุรกิจที่ยังไม่ดีขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองและภัยจากการก่อการร้าย ในขณะที่การลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐลดลงเช่นกัน จากมาตรการรัดเข็มขัดรายจ่ายภาครัฐ เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณภาครัฐ อย่างไรก็ตาม คาดว่าปัญหาการว่างงานของฟิลิปปินส์จะบรรเทาลง เนื่องจากทางการฟิลิปปินส์วางแผนลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภายในปี 2551 โดยเฉพาะโครงการด้านการขนส่งที่จะเริ่มดำเนินการก่อน รวมทั้งแผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้า ซึ่งจะกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนและเพิ่มการจ้างงานในประเทศด้วย
– ปัญหาความยากจน –ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) รายงานว่า ประชากรฟิลิปปินส์ราว 44% ของจำนวนประชากรฟิลิปปินส์ทั้งหมดมีเงินใช้น้อยกว่า 2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน ทางการฟิลิปปินส์จึงควรยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเพิ่มบริการทางการศึกษา สาธารณสุข และสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมทั้งเร่งพัฒนาชนบทและภาคเกษตร เนื่องจากคนยากจนส่วนใหญ่เป็นคนชนบทที่ไม่มีความรู้/การศึกษา การพัฒนาภาคเกษตรจึงเป็นการสนับสนุนการสร้างงานและรายได้ให้แก่แรงงานในชนบท
หากเปรียบเทียบประเทศสมาชิกอาเซียนเดิม 6 ประเทศ รายได้ต่อหัวของคนฟิลิปปินส์อยู่ในลำดับท้ายสุด โดยประเทศอาเซียนที่มีรายได้ต่อหัวสูงสุด ได้แก่ สิงคโปร์ โดยชาวสิงคโปร์มีรายได้ต่อหัว 26,836 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี รองลงมา ได้แก่ บรูไนฯ (25,754 ดอลลาร์สหรัฐฯ) มาเลเซีย (5,042 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ไทย (2,659 ดอลลาร์สหรัฐฯ) อินโดนีเซีย (1,283 ดอลลาร์สหรัฐฯ) และฟิลิปปินส์ (1,168 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ตามลำดับ ทั้งนี้ รายได้ต่อหัวของคนฟิลิปปินส์อยู่ในลำดับที่ 120 ของโลก จากทั้งหมด 182 ประเทศ
– ปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมือง & ภัยก่อการร้าย –รัฐบาลประธานาธิบดี กลอเรีย อาร์โรโย เผชิญกับปัญหาความชอบธรรมทางกฎหมายและธรรมาภิบาลที่ดี เป็นปัจจัยภายในกดดันต่อความมั่นคงของรัฐบาลและความสงบทางการเมือง ความไม่มั่นคงทางการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการลงทุนในฟิลิปปินส์ที่อาจส่งผลต่อเนื่องมาถึงปี 2550 ซึ่งรัฐบาลของประธานาธิบดีกลอเรีย อาโรโย จะต้องเผชิญกับศึกการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2550 นอกจากนี้ เสถียรภาพของรัฐบาลถูกบั่นทอนจากภัยก่อการร้าย ซึ่งฟิลิปปินส์ประสบปัญหาความไม่สงบจากกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มแบ่งแยกดินแดนตั้งแต่ปี 2511 และปัญหานี้ได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นหลังสหรัฐฯ ใช้กำลังทางทหารกับอิรัก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญกดดันให้เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่
– อุปสรรคจากขั้นตอนการดำเนินงานภาครัฐ – ความล่าช้าของการดำเนินงานภาครัฐในฟิลิปปินส์ เช่น ขั้นตอนการจัดตั้งธุรกิจที่ต้องใช้เวลา 48 วัน และการทำสัญญาทางธุรกิจที่ใช้เวลาถึง 600 วัน ส่งผลให้ต้นทุนทางธุรกิจในฟิลิปปินส์สูงขึ้น เป็นอุปสรรคต่อการเข้ามาลงทุนในฟิลิปปินส์ รวมทั้ง บั่นทอนบรรยากาศทางการลงทุนและขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ
การที่ฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพจัดประชุมผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 12 และการประชุมผู้นำเอเชียตะวันออก (East Asia Summit : EAS) ครั้งที่ 2 ร่วมกับผู้นำของ 6ประเทศคู่เจรจา ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ระหว่างวันที่ 13-15 มกราคม 2550 ณ เมืองเซบู ให้ดำเนินไปอย่างสงบเรียบร้อยและปราศจากอันตรายจากภัยก่อการร้าย จะเรียกความเชื่อมั่นและสร้างชื่อเสียงด้านความปลอดภัยให้กับฟิลิปปินส์มากขึ้น รวมทั้งเป็นผลดีกับธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดประชุมให้เติบโตในฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะเมืองเซบู ซึ่งเป็นสถานที่จัดประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นเมืองหนึ่งของฟิลิปปินส์ที่มีการพัฒนาระดับสูงและมีชื่อเสียงด้านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เนื่องจากตั้งอยู่บนเกาะเซบู ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นเกาะที่ดึงดูดการท่องเที่ยวมากเป็นอันดับ 8 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในปี 2548
อาเซียนจัดตั้งขึ้นมาครบรอบ 40 ปีในปี 2550 นับจากที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2510 การดำเนินการเพื่อรวมตัวทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรมของอาเซียนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นของภูมิภาคและสร้างอำนาจต่อรองในเวทีโลก แม้ว่าจะมีอุปสรรคจากความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองและปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศสมาชิกบางประเทศ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับนานาชาติ นอกจากนี้ การขยายความร่วมมือและความเชื่อมโยงไปสู่ประเทศนอกกลุ่มอาเซียน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของกลุ่ม โดยการดำเนินการจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ อินเดีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีความคืบหน้าเป็นลำดับ ทั้งนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนคาดว่าจะขยายตัวได้ราว 5.5% ในปีนี้ ซึ่งเติบโตมากกว่าเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวราว 4.9% ในปี 2550


