ไอบีเอ็มแถลงผลประกอบการไตรมาส 4/49

— บริษัทมีรายรับรวม 2.63 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7% ตามที่รายงานก่อนหน้านี้

— กำไรต่อหุ้นปรับลดอยู่ที่ 2.26 ดอลลาร์จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ เพิ่มขึ้น 12% ตามที่รายงาน หรือเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2548 หากไม่รวมค่าใช้จ่ายในการลดเงินบำนาญ

— การเซ็นสัญญาบริการมีมูลค่า 1.78 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55%

บริษัทไอบีเอ็มแถลงว่า กำไรต่อหุ้นปรับลดในไตรมาส 4/49 อยู่ที่ 2.26 ดอลลาร์จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ เพิ่มขึ้น 12% ตามที่รายงาน เทียบกับกำไรต่อหุ้นปรับลดที่ 2.01 ดอลลาร์ในไตรมาส 4/48 โดยกำไรต่อหุ้นปรับลดในไตรมาส 4/48 รวมถึงกำไร 0.10 ดอลลาร์ต่อหุ้นสำหรับค่าใช้จ่ายในการลดก่อนภาษีครั้งเดียวจำนวน 267 ล้านดอลลาร์ซึ่งเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านเงินบำนาญ ส่วนกำไรต่อหุ้นปรับลดในไตรมาส 4/49 เพิ่มขึ้น 7% เทียบกับ 2.11 ดอลลาร์ต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายต่อหุ้นที่เกิดขึ้นครั้งเดียว กำไรต่อหุ้นปรับลดในไตรมาส 4/49 ยังรวมถึงกำไร 0.06 ดอลลาร์อันเนื่องมาจากอัตราภาษีที่ลดลงด้วย

บริษัทมีรายได้จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ 3.5 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/49 เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับ 3.2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/48 โดยรายได้จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ในไตรมาส 4/49 เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับรายได้ในไตรมาส 4/48 จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ที่ 3.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว สำหรับรายรับรวมในไตรมาส 4/49 อยู่ที่ 2.63 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7% (4% เมื่อปรับตามค่าเงิน) จากไตรมาส 4/48

นายซามูเอล เจ. พาลมิซาโน ประธานกรรมการ ประธาน และซีอีโอของบริษัทไอบีเอ็มกล่าวว่า “ไอบีเอ็มมีไตรมาสที่ยอดเยี่ยมและปีที่ดีด้วยผลประกอบการเงินสด กำไร และกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่สูงเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งยังจ่ายเงินปันผลสูงเป็นประวัติการณ์ให้แก่ผู้ถือหุ้นด้วย เรามีความพร้อมอย่างมากในธุรกิจที่มีการเติบโตคืออุตสาหกรรมไอทีที่กำลังเปลี่ยนแปลง เรามุ่งเน้นรูปแบบธุรกิจที่มีวิวัฒนาการของเรา และเราเตรียมพร้อมรับความสำเร็จในระยะยาวสำหรับลูกค้าและผู้ถือหุ้นของเรา”

เมื่อพิจารณาตามภูมิภาค ธุรกิจในทวีปอเมริกามีรายรับ 1.11 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/49 เพิ่มขึ้น 6% ตามรายงาน (5% เมื่อปรับค่าเงิน) จากไตรมาส 4/48 ส่วนรายรับจากยุโรป/ตะวันออกกลาง/อเมริกาอยู่ที่ 9.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11% (3% เมื่อปรับค่าเงิน) ขณะที่เอเชีย-แปซิฟิคมีรายรับเพิ่มขึ้น 7% (5% เมื่อปรับค่าเงิน) สู่ 4.8 พันล้านดอลลาร์ และรายรับจากกลุ่ม OEM อยู่ที่ 1.0 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 3%จากไตรมาส 4/48

รายรับจากกลุ่มซอฟท์แวร์อยู่ที่ 5.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 14% (11% เมื่อปรับค่าเงิน) เทียบกับไตรมาส 4/48 ส่วนรายรับจากแบรนด์มิดเดิลแวร์ของไอบีเอ็ม ซึ่งได้แก่ผลิตภัณฑ์ WebSphere, Information Management, Tivoli, Lotus และ Rational อยู่ที่ 4.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาส 4/48 แต่รายรับจากระบบปฏิบัติการลดลง 2% สู่ 642 ล้านดอลลาร์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายรับจากซอฟท์แวร์และบริการอื่นๆเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Product Lifecycle Management

สำหรับผลิตภัณฑ์ซอฟท์แวร์ในตระกูล WebSphere ซึ่งเพิ่มขีดความสามารถของลูกค้าในการจัดการความหลากหลายของกระบวนการทางธุรกิจโดยใช้มาตรฐานแบบเปิดเพื่อเชื่อมต่อแอพพลิเคชันต่างๆ ข้อมูล และระบบปฏิบัติการนั้น มีรายรับเพิ่มขึ้น 22% ขณะที่รายรับสำหรับซอฟท์แวร์ Information Management ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถใช้ข้อมูลได้ตามต้องการนั้น เพิ่มขึ้น 28% รายรับจากซอฟท์แวร์ Tivoli ซึ่งเป็นซอฟท์แวร์พื้นฐานที่ทำให้ลูกค้าสามารถบริหารเครือข่าย ซึ่งรวมถึงความปลอดภัยและความจุของพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเป็นส่วนกลางนั้น เพิ่มขึ้น 25% และรายรับสำหรับซอฟท์แวร์ Lotus ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถทำงานร่วมกันและส่งข้อความในการจัดการการสื่อสารและความรู้แบบเรียลไทม์นั้น เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน ส่วนรายรับจากซอฟท์แวร์ Rational ซึ่งเป็นเครื่องมือครบวงจรที่ใช้ปรับปรุงขั้นตอนการพัฒนาซอฟท์แวร์นั้น เพิ่มขึ้น 12% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว

สำหรับธุรกิจบริการทั่วโลก รายรับจากบริการเทคโนโลยีทั่วโลกเพิ่มขึ้น 7% (4% เมื่อปรับค่าเงิน) สู่ 8.6 พันล้านดอลลาร์ และรายรับจากบริการธุรกิจทั่วโลกเพิ่มขึ้น 6% (3% เมื่อปรับค่าเงิน) สู่ 4.2 พันล้านดอลลาร์ โดยไอบีเอ็มได้เซ็นสัญญาบริการคิดเป็นมูลค่ารวม 1.78 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% จากปีก่อน และปิดปี 2549 ด้วยงานบริการที่มีอยู่ในมือ ซึ่งรวมถึงการจ้างบริการจากหน่วยงานอื่น (Strategic Outsourcing), บริการจากหน่วยอื่นเพื่อการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ บริการธุรกิจทั่วโลก บริการเทคโนโลยีแบบครบวงจร และการซ่อมบำรุงคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.16 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5 พันล้านดอลลาร์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

รายรับจากกลุ่มระบบและเทคโนโลยี (S&TG) มีมูลค่ารวม 7.4 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/49 เพิ่มขึ้น 3% (ทรงตัวเมื่อปรับค่าเงิน) โดยรายรับของกลุ่ม S&TG จากผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์ System z เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับการส่งมอบการใช้กำลังประมวลผล System z ซึ่งมีหน่วยเป็น MIPS (ล้านคำสั่งต่อวินาที) เพิ่มขึ้น 6% ขณะที่รายรับจากเซิร์ฟเวอร์ System p UNIX เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายรับจากเซิร์ฟเวอร์ System x เพิ่มขึ้น 7% แต่รายรับจากเซิร์ฟเวอร์ System i ลดลง 10% ส่วนรายรับจาก Microelectronics ลดลง 6% และรายรับจาก System Storage เพิ่มขึ้น 9%

กลุ่มโกลบอล ไฟแนนซิ่ง (Global Financing) มีรายรับเพิ่มขึ้น 3% (ทรงตัวเมื่อปรับค่าเงิน) ในไตรมาส 4/49 สู่ 620 ล้านดอลลาร์

บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นทั้งหมด 44.6% ในไตรมาส 4/49 เทียบกับ 44.1% ในไตรมาส 4/48
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดและรายได้อื่นๆเพิ่มขึ้น 11% สู่ 6.9 พันล้านดอลลาร์เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้าน SG&A เพิ่มขึ้น 7% สู่ 5.6 พันล้านดอลลาร์ ส่วนค่าใช้จ่าย RD&E เพิ่มขึ้น 9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้จากทรัพย์สินทางปัญญาและการพัฒนาการค้าเพิ่มขึ้นเป็น 241 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 228 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว ส่วน (รายได้) อื่นๆและค่าใช้จ่ายเป็นรายได้ 150 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/49 เทียบกับรายได้ 334 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/48 ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว กำไรจากธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ระดับสูงผิดปกติเนื่องจากการทำธุรกรรมใหญ่ๆหลายธุรกรรม เมื่อเทียบกับธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งเท่ากับลดลง 140 ล้านดอลลาร์เมื่อเทียบเป็นรายปี

อัตราภาษีที่ใช้ในการคำนวณของไอบีเอ็มในไตรมาส 4/49 อยู่ที่ 28.0% เทียบกับ 29.5% ในไตรมาส 4/48 โดยการลดลงของอัตราภาษีดังกล่าวมีสาเหตุมาจากผลที่เอื้อหนุนของหลายๆเรื่องในไตรมาสนี้ ซึ่งรวมถึงการคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้านวิจัยของสหรัฐโดยมีผลย้อนหลัง และการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของรายได้ในอำนาจภาษีที่หลากหลาย

สำหรับการดำเนินงานทั้งหมด รายได้สุทธิในไตรมาส 4/49 อยู่ที่ 3.5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.31 ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลด ซึ่งรวมถึงรายได้จากธุรกิจที่หยุดประกอบการแล้วซึ่งเกี่ยวข้องกับการชำระภาษีของประเทศจำนวน 76 ล้านดอลลาร์ เทียบกับไตรมาส 4/48 ที่มีรายได้สุทธิ 3.2 พันล้านดอลลาร์ หรือกำไรต่อหุ้นปรับลด 1.99 ดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงรายได้จากธุรกิจที่หยุดประกอบการแล้ว 3 ล้านดอลลาร์ และค่าใช้จ่าย 36 ล้านดอลลาร์สำหรับผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงหลักการทำบัญชีตามกฎ FASB Interpretation No. 47

การซื้อคืนหุ้นมีมูลค่ารวมประมาณ 1.4 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/49 โดยจำนวนหุ้นสามัญที่ปรับลดคงเหลือจากการเฉลี่ยโดยวิธีถ่วงน้ำหนักในไตรมาส 4/49 อยู่ที่ 1.53 พันล้านหุ้น เทียบกับ 1.60 พันล้านหุ้นในช่วงเดียวกันของปี 2548

ผลการดำเนินงานทั้งปี 2549
— บริษัทมีรายรับรวม 9.14 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4% หากไม่รวมธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไปแล้ว

— รายได้จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่มีมูลค่า 9.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% ตามรายงาน หรือเพิ่มขึ้น 9% หากไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในปี 2548

— กำไรต่อหุ้นปรับลดอยู่ที่ 6.06 ดอลลาร์จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ เพิ่มขึ้น 23% ตามรายงาน หรือเพิ่มขึ้น 14% หากไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในปี 2548

— เงินสดสุทธิจากการดำเนินงานมีจำนวน 1.53 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.2 พันล้านดอลลาร์หากไม่รวมบัญชีลูกหนี้ของกลุ่มโกลบอล ไฟแนนซิ่ง

กำไรต่อหุ้นปรับลดจากธุรกิจที่ประกอบการอยู่อยู่ที่ 6.06 ดอลลาร์ เทียบกับ 4.91 ดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปี 2548 ซึ่งรวมถึงกำไรต่อหุ้นปรับลด 0.40 ดอลลาร์สำหรับรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว เพิ่มขึ้น 23% หากไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในปี 2548 กำไรต่อหุ้นปรับลดในปี 2549 จะเพิ่มขึ้น 0.74 ดอลลาร์ หรือ 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

รายได้จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ในรอบปีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.2549 อยู่ที่ 9.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% จาก 8.0 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่าย 525 ล้านดอลลาร์สำหรับภาษีที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงินรายได้ในต่างประเทศกลับประเทศในปี 2548 และรายการก่อนหักภาษีที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสำหรับค่าใช้จ่ายในการลด 267 ล้านดอลลาร์ซึ่งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเงินบำนาญและค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างที่เพิ่มขึ้น 1.7 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็ถูกชดเชยด้วยรายได้ 1.1 พันล้านดอลลาร์จากการขายธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) และการยุติคดีทางกฎหมายจำนวน 775 ล้านดอลลาร์จากบริษัทไมโครซอฟท์ หากไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวและค่าใช้จ่ายด้านภาษีสำหรับปี 2548 รายได้จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ก็จะเพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน

รายรับจากธุรกิจที่ประกอบการอยู่มีมูลค่ารวม 9.14 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2549 ซึ่งแทบไม่เปลี่ยน แปลงจากที่รายงาน และเมื่อปรับค่าเงิน และเทียบกับ 9.11 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2548 ซึ่งรวมถึงรายรับจากธุรกิจพีซี 2.9 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2548 เท่านั้น หากไม่รวมธุรกิจพีซีที่ขายไปแล้ว รายรับเพิ่มขึ้น 4% (3% เมื่อปรับค่าเงิน) จากช่วงเดียวกันของปี 2548

เมื่อจำแนกตามภูมิภาค ทวีปอเมริกามีรายรับทั้งปี 3.95 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2% ตามรายงาน (4% เมื่อปรับค่าเงินและธุรกิจพีซี) จากปี 2548 ส่วนรายรับจากยุโรป/ตะวันออกกลาง/แอฟริกาอยู่ที่ 3.05 หมื่นล้านดอลลาร์ แทบไม่เปลี่ยนแปลง (เพิ่มขึ้น 2% เมื่อปรับค่าเงินและธุรกิจพีซี) ขณะที่เอเชีย-แปซิฟิคมีรายรับลดลง 6% (เพิ่มขึ้น 2% เมื่อปรับค่าเงินและธุรกิจพีซี) สู่ 1.76 หมื่นล้านดอลลาร์ และรายรับจากกลุ่ม OEM อยู่ที่ 3.9 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% จากปี 2548

รายรับจากกลุ่มซอฟท์แวร์ในปี 2549 มีจำนวนทั้งสิ้น 1.82 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8% (7% เมื่อปรับค่าเงิน) ขณะที่รายรับจากกลุ่มบริการเทคโนโลยีทั่วโลกมีจำนวน 3.23 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3% (2% เมื่อปรับค่าเงิน) เทียบกับปี 2548 และรายรับจากกลุ่มบริการธุรกิจทั่วโลกอยู่ที่ 1.60 หมื่นล้านดอลลาร์ ไม่เปลี่ยนแปลง (เพิ่มขึ้น 1% เมื่อปรับค่าเงิน) สำหรับรายรับจากกลุ่ม S&TG อยู่ที่ 2.20 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% (4% เมื่อปรับค่าเงิน) ขณะที่รายรับจากกลุ่มโกลบอล ไฟแนนซิ่งมีจำนวนรวม 2.4 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 2% (2% เมื่อปรับค่าเงิน)

สำหรับการดำเนินงานทั้งหมด รายได้สุทธิสำหรับปี 2549 อยู่ที่ 9.5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 6.11 ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลด ซึ่งรวมถึงรายได้จากธุรกิจที่หยุดประกอบการแล้วซึ่งเกี่ยวกับการชำระภาษีของประเทศจำนวน 76 ล้านดอลลาร์ เทียบกับรายได้สุทธิ 7.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2548 หรือ 4.87 ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลด ซึ่งรวมถึงผลขาดทุน 24 ล้านดอลลาร์จากธุรกิจที่หยุดประกอบการแล้ว และค่าใช้จ่าย 36 ล้านดอลลาร์สำหรับผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงหลักการทำบัญชีตามกฎ FASB Interpretation No. 47

ไอบีเอ็มปิดปี 2549 ด้วยเงินสดในมือและเงินสดสุทธิที่ได้จากการดำเนินงานจำนวน 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่รวมการเปลี่ยนแปลงบัญชีลูกหนี้ของกลุ่มโกลบอล ไฟแนนซิ่งที่ 1.53 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.2 พันล้านดอลลาร์จากปีที่แล้ว โดยงบดุลยังคงแข็งแกร่ง และบริษัทมีความพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสต่างๆที่มี

ในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้ใช้หลักมาตรฐานบัญชีการเงินหมายเลข 158 (Statement of Financial Accounting Standards No. 158 หรือ SFAS 158) ซึ่งเป็นหลักบัญชีใหม่ที่เกี่ยวกับเงินบำนาญและแผนการหลังเกษียณที่เผยแพร่โดยคณะกรรมการมาตรฐานบัญชีการเงินในเดือนก.ย.2549 มาตรฐานการทำบัญชีนี้กำหนดให้บริษัทต่างๆต้องรับรองสถานะที่มีเงินทุนสนับสนุนของแผนการหลังเกษียณในการรายงานงบการเงิน (หรืองบดุล) ซึ่งสถานะที่มีเงินทุนสนับสนุนดังกล่าวถูกประเมินว่าเป็นส่วนต่างระหว่างมูลค่าของสินทรัพย์ในแผนบำนาญและภาระด้านสิทธิประโยชน์ของบริษัทที่ให้แก่พนักงานปัจจุบันและที่เกษียณไปแล้ว การใช้หลักSFAS 158 ณ วันที่ 31 ธ.ค.2549 ทำให้สินทรัพย์ของบริษัทลดลง 9.2 พันล้านดอลลาร์ ทำให้หนี้สินบริษัทเพิ่มขึ้น 0.3 พันล้านดอลลาร์ และทำให้หุ้นของผู้ถือหุ้นลดลง 9.5 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงงบการเงินของบริษัทไม่ใช่เงินสด และจะไม่มีผลต่อเงื่อนไขหนี้สิน อันดับความน่าเชื่อถือ หรือความยืดหยุ่นทางการเงินที่มีอยู่แล้วของบริษัท

การซื้อคืนหุ้นมีมูลค่าประมาณ 8.0 พันล้านดอลลาร์ในปี 2549 โดยจำนวนหุ้นสามัญที่ปรับลดคงเหลือจากการเฉลี่ยโดยวิธีถ่วงน้ำหนักในปี 2549 อยู่ที่ 1.55 พันล้านหุ้น เทียบกับ 1.63 พันล้านหุ้นในปี 2548 และ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2549 มีหุ้นสามัญคงเหลือ 1.51 พันล้านหุ้น

หนี้สิน ซึ่งรวมถึงกลุ่มโกลบอล ไฟแนนซิ่ง มีจำนวนทั้งสิ้น 2.27 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับ 2.26 หมื่นล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2548 และเมื่อดูจากมุมมองของฝ่ายบริหาร อัตราส่วนหนี้ต่อทุนที่ไม่รวมของโกลบอล ไฟแนนซิ่ง อยู่ที่ 1.5 % ณ สิ้นปี 2549 และหนี้สินของโกลบอล ไฟแนนซิ่งเพิ่มขึ้น 1.8 พันล้านดอลลาร์จากสิ้นปี 2548 สู่ระดับรวมทั้งสิ้น 2.23 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้ต่อทุนอยู่ที่ 6.9 ต่อ 1

แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าและเชิงเตือน
นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตและคำพูดที่ปรากฏในที่นี้ ข้อความต่างๆที่อยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้อาจเป็นแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าตามความหมายของกฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคล พ.ศ. 2538 (Private Securities Litigation Reform Act of 1995) ดังนั้น แถลงการณ์เหล่านี้จึงมีความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และปัจจัยอื่นๆที่อาจทำให้ผลที่แท้จริงแตกต่างไปอย่างมาก ซึ่งรวมถึงความล้มเหลวของบริษัทในการพัฒนาและวางตลาดผลิตภัณฑ์และบริการที่มีการคิดค้นใหม่ๆ และการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ความกดดันด้านการแข่งขัน ความล้มเหลวต่อการได้รับหรือปกป้องสิทธิทางทรัพย์สินทางปัญญา ความผันผวนในแต่ละไตรมาสของรายรับและความผันผวนของราคาหุ้น ความสามารถของบริษัทที่จะดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสำคัญไว้ ผลกระทบที่ร้ายแรงจากประเด็นเรื่องภาษี ความผันผวนของค่าเงินและความเสี่ยงด้านการสนับสนุนทางการเงินของลูกค้า ความเสี่ยงด้านสินเชื่อของลูกค้าต่อบัญชีลูกหนี้การค้า ความล้มเหลวของบริษัทต่อการรักษาความเพียงพอของการควบคุมภายใน การใช้การคาดการณ์และการประมาณการณ์บางอย่างของบริษัท การพึ่งพาซัพพลายเออร์บางราย การเปลี่ยนแปลงของภาวะทางการเงินและธุรกิจของผู้แทนจัดจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายต่อของบริษัท ความสามารถของบริษัทในการจัดการการซื้อกิจการและการรวมกลุ่มพันธมิตรอย่างประสบความสำเร็จ ความล้มเหลวที่จะมีการประกันที่เพียงพอ ภาวะทางกฎหมาย การเมือง สุขภาพและเศรษฐกิจ ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์ของไอบีเอ็ม รวมทั้งความเสี่ยง ความไม่แน่นอนและปัจจัยอื่นๆที่ได้มีการระบุไว้ในเอกสาร Form 10-Q, Form 10-K และเอกสารอื่นๆที่บริษัทได้ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) หรือในข้อมูลที่มีการรวบรวมไว้เพื่อการอ้างอิง ทั้งนี้ บริษัทไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปรับปรุงหรือแก้ไขแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ

การนำเสนอข้อมูลในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้
เพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทตามที่กำหนดโดยมาตรฐานบัญชีสากล (GAPP) บริษัทยังได้เปิดเผยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับ GAPP ดังต่อไปนี้ ซึ่งฝ่ายบริหารเชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์:

ผลการดำเนินงานของไอบีเอ็ม
— ไม่มีรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวและรายการเฉพาะ
— ไม่มีธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไปแล้ว
— ปรับตามค่าเงิน (เช่น ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่)
— เงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน ไม่รวมบัญชีลูกหนี้ของกลุ่มโกลบอล ไฟแนนซิ่ง

เหตุผลสำหรับการใช้เกณฑ์ที่ไม่ใช่ GAPP ของฝ่ายบริหารถูกบรรจุรวมให้เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลเสริมที่ถูกนำเสนอไว้ในรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ซึ่งรายงานดังกล่าวมีการเผยแพร่ไว้ในส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ของไอบีเอ็มที่เว็บไซท์ www.ibm.com/investor และจะถูกรวมไว้ในเอกสารแนบ Attachment II (ข้อมูลเสริมที่ไม่ใช่ GAAP) ในเอกสาร Form 8-K ที่มีข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้รวมอยู่ด้วย และจะถูกยื่นต่อ SEC ในวันนี้

การประชุมทางไกลและการถ่ายทอดการประชุมผ่านเว็บ
ไอบีเอ็มจะจัดการประชุมทางไกลแถลงผลประกอบการรายไตรมาส โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 16.30 น.ตามเวลาฝั่งตะวันออกในวันนี้ ซึ่งนักลงทุนอาจมีส่วนร่วมได้ด้วยการชมการประชุมผ่านเว็บ (Webcast) ที่ www.ibm.com/investor/4q06 โดยจะมีการนำเสนอผลประกอบการในรูปแผนภูมิทางเว็บไซท์ก่อนการถ่ายทอดการประชุมผ่านเว็บ