ตลาดหุ้นภูมิภาคร่วง…..ผลต่อตลาดหุ้นไทยยังคงจำกัด

เมื่อวันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นต่างประเทศได้ปรับตัวลดลงอย่างมาก นำโดยการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นในจีน โดยดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ได้ปรับตัวลดลงไปมากที่สุดในรอบ 10 ปี หรือลดลงไปร้อยละ 8.8 ทั้งนี้ การร่วงลงของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ดังกล่าวยังได้ส่งผลให้ดัชนี DJIA ของสหรัฐฯร่วงลงถึงร้อยละ 3.29 หรือ 416.02 จุด อันเป็นการปรับตัวลดลงเมื่อคิดเป็นดอลลาร์ฯที่มากที่สุดนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วินาศกรรมเมื่อเดือนกันยายน 2544 เป็นต้นมา ตามมาด้วยการที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคยังคงร่วงลงอย่างต่อเนื่องในวันพุธ ส่งผลให้เมื่อรวมวันอังคารและวันพุธ ที่ผ่านมานั้น ดัชนีตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปรับตัวลงไปมากที่สุดรวมร้อยละ 9.25 รองลงมาได้แก่ ตลาดหุ้นมาเลเซียซึ่งลดลงไปร้อยละ 6 และตลาดหุ้นสิงคโปร์ปรับตัวลดลงไปร้อยละ 5.9 ขณะที่ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นสหรัฐฯสามารถที่จะขยับขึ้นได้อีกครั้งในวันพุธ ทั้งนี้ การปรับตัวของตลาดหุ้นต่างประเทศเหล่านั้น ได้ส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปร้อยละ 1.68 ในช่วงเวลาดังกล่าว ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นได้ในวันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม โดยปิดตลาดที่ 680.6 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.51 จากวันพุธ

โดยการร่วงลงของดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมานั้น จุดเริ่มต้นมาจากความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ทางการจีนอาจจะมีการออกมาตรการเพื่อควบคุมการขยายตัวอย่างมากของเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นจีนในช่วงที่ผ่านมา เช่น การเก็บภาษี Capital gains tax จากการลงทุนในตลาดหุ้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือควบคุมปริมาณเงินที่สามารถปล่อยกู้ ประกอบกับ ความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากที่นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯได้แสดงความคิดเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯอาจจะเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่ทางการสหรัฐฯได้รายงานตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนที่อ่อนแอในเดือน มกราคม ออกมาเมื่อวันอังคาร ซึ่งข่าวในเชิงลบต่างๆเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯเหล่านั้น ทำให้นักลงทุนใช้จังหวะดังกล่าวการขายทำกำไรในตลาดหุ้นต่างๆในภูมิภาคและตลาดหุ้นของสหรัฐฯ หลังจากที่ตลาดหุ้นเหล่านั้นได้ปรับตัวขึ้นไปอย่างมากในปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น แรงขายอย่างต่อเนื่อง ยังทำให้ Hedged fund ต้องทำการปิดสถานะการลงทุนโดยขายหุ้นออกมาเช่นกัน

ทั้งนี้ ประเด็นที่ต้องจับตามองในระยะต่อไป หลังจากการร่วงลงของตลาดหุ้นจีนและสหรัฐฯในลักษณะดังกล่าว ได้แก่ ผลกระทบที่จะเกิดต่อเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯและจีน และต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจของประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศ ไทยเนื่องจากประเทศต่างๆเหล่านั้นล้วนแล้วแต่อาศัยการส่งออกเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐและจีน

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การที่ดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศร่วงลง
อย่างมากในช่วงดังกล่าว อาจจะเป็นผลจากเรื่องของการปรับฐาน มากกว่าที่จะมาจากในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ พิจารณาจากประเด็นต่างๆ ได้แก่
? ทางการจีนได้ออกมาปฏิเสธข่าวการออกมาตรการจำกัดการขยายตัวของตลาดหุ้นโดยการใช้ Capital gains tax ขณะที่ ยังคงไม่มีท่าทีเพิ่มเติมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือออกมาตรการเพื่อจำกัดการขยายตัวของสินเชื่อ โดยเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ธนาคารกลางของจีนเพิ่งจะมีการออกมาตรการควบคุมการขยายตัวของปริมาณสินเชื่อในระบบมากขึ้น โดยผ่านทางการเพิ่มสัดส่วนเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่สำรองไว้ที่ธนาคารกลางของจีนอีกร้อยละ 0.5 สู่ร้อยละ 10.5 สำหรับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ส่วนเครื่องชี้อื่นๆ เช่น การลงทุนในสินค้าคงที่เริ่มมีทิศทางที่ชะลอลงเล็กน้อยในปีที่ผ่านมา โดยขยายตัวที่ร้อยละ 24 จากร้อยละ 26 ในปี 2548 และดัชนีกิจกรรมภาคการผลิตได้เริ่มชะลอลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2549 เช่นกัน

• เมื่อพิจารณาทางด้านตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ผ่านมานั้น ก็ยังคงไม่ได้บ่งชี้ให้เห็นถึงสัญญาณของการถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนในขณะนี้ ขณะที่ตัวเลขในภาคอสังหาริมทรัพย์หลายตัวยังมีทิศทางที่ไม่ชัดเจน เช่น ยอดขายบ้านใหม่ ในเดือน มกราคม ถึงแม้จะปรับตัวลดลง แต่ดัชนี NAHB Housing Market Index เดือน กุมภาพันธ์ ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2549 ของสหรัฐฯที่ทบทวนใหม่ซึ่งมีการขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 ซึ่งน้อยกว่าตัวเลขประมาณการครั้งแรกที่ร้อยละ 4.5 แต่เมื่อรวมทั้งปีแล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯยังมีการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.3 ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

• ตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับตัวใกล้กับระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เช่น ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ของจีน ดัชนี All Ordinaries Index ของออสเตรเลีย เพิ่งจะปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ส่วนดัชนีตลาดหุ้นสิงคโปร์ได้ปรับตัวสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ขณะที่ดัชนี DJIA ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ผนวกกับการที่ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวขึ้นไปอย่างมากในปีที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้ค่า P/E ของตลาดเหล่าเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูง ได้เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดแรงขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ การที่มองว่าสาเหตุของการลดลงของดัชนีตลาดหุ้นจีนและสหรัฐฯนั้นไม่
ได้มาจากในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจเป็นหลักตามที่ได้กล่าวในข้างต้น ทำให้คาด
ว่าการร่วงลงของตลาดหุ้นทั้งสองในช่วงที่ผ่านมาไม่น่าจะขยายขอบเขตจนทำให้เกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจทั่วโลก นอกจากนั้น ถึงแม้ว่า ดัชนี DJIA จะร่วงลงค่อนข้างมากถึง 416 จุดในวันอังคาร แต่หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์จะพบว่าลดลงไปเพียงร้อยละ 3.49 (ขณะที่ดัชนี DJIA เคยปรับตัวลดลงมากที่สุดเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ร้อยละ 22.6 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2530 หรือ Black Monday)

โดยในส่วนการปรับตัวของตลาดหุ้นไทยนั้น เป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจาก
การขายทำกำไรช่วง 2 วันที่ผ่านมาเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ โดยลดลงไปเพียงร้อยละ 1.68 และแม้ว่าการปรับฐานของตลาดหุ้นภูมิภาคจะยังคงดำเนินต่อไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่คาดว่าผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจและการปรับตัวของดัชนีตลาดหุ้นของไทยคงจะไม่มากนักเช่นกัน เนื่องจากเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงร้อยละ 4.7 ในปีที่แล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคล้วนแต่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้ง ตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นไปเพียงเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.3 ในปีนี้จนถึงก่อนวันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ และมีค่า P/E ที่ค่อนข้างน้อย ซึ่งหมายถึงมีราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆในภูมิภาค โดยเมื่อพิจารณาในประเด็นดังกล่าวแล้วน่าจะกลับเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยเป็นที่สนใจของนักลงทุนและมีแรงซื้อเข้ามาในตลาดได้ในระยะต่อไป นอกจากนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าเมื่อหาค่าความสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นในภูมิภาคตั้งแต่ต้นปี 2549 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน จะพบว่า มีค่าที่เป็นลบ ซึ่งหมายถึง การเคลื่อนไหวในทางที่ไม่ได้ไปในทางเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากค่าความสัมพันธ์ที่คำนวณจากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันค่อนข้างมาก ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการที่ในปี 2549 การปรับตัวของตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากปัจจัยต่างๆภายในประเทศค่อนข้างมากกว่าปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเมืองที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2549 การชุมนุมประท้วงต่างๆ เหตุการณ์รัฐประหาร การเปลี่ยนแปลงทางนโยบายต่างๆ เช่น การออกมาตรการดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าของธปท. และการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เป็นต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ถึงแม้มีแนวโน้มที่ตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบจากการปรับพอร์ตของตลาดทุนโลกในอนาคตเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของตลาดหุ้นไทยคงจะถูกกำหนดโดยปัจจัยพื้นฐานของเราเป็นหลัก โดยเฉพาะปัจจัยเฉพาะเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่แน่อนต่างๆภายในประเทศ ว่าจะสามารถคลี่คลายไปในเชิงบวกมากขึ้นมากน้อยเพียงไร

กล่าวโดยสรุปได้ว่า การปรับตัวของตลาดหุ้นต่างๆในภูมิภาคช่วงที่ผ่านมามีสาเหตุมาจากการปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนของนักลงทุนหลังจากที่ตลาดหุ้นเหล่านั้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่ความเสี่ยงในเรื่องปัจจัยทางเศรษฐกิจของประเทศจีน และสหรัฐฯ น่าจะยังมีอยู่อย่างจำกัด โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า นักลงทุนคงจะติดตามความคืบหน้าของประเด็นทางเศรษฐกิจ ทั้งแนวนโยบายและตัวเลขเศรษฐกิจของทั้งจีนและสหรัฐฯที่จะประกาศในอนาคตต่อไปอย่างใกล้ชิด รวมไปถึง การประชุมสภาประชาชนจีนในสัปดาห์หน้า เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าของตลาดหุ้นทั้งสองในระยะต่อไปได้ ขณะที่ มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของโลกยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแกร่งในขณะนี้ ทำให้โอกาสที่จะเกิดภาวะถดถอยทั่วโลกคงจะยังไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่านักลงทุนคงจะกระจายความเสี่ยงไปยังตราสารหลายประเภท และเริ่มมองหาแหล่งลงทุนอื่นๆที่มีความเสี่ยงน้อยลง เช่น การกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในพันธบัตร หรือทองคำมากขึ้น ตามลำดับ

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ถึงแม้จะยังคงมีแนวโน้มที่ตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบจากการปรับพอร์ตของตลาดทุนโลกในอนาคตเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของตลาดหุ้นไทยคงจะถูกกำหนดโดยปัจจัยพื้นฐานของเราเป็นหลัก โดยเฉพาะปัจจัยเฉพาะเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่แน่อนต่างๆภายในประเทศว่าจะสามารถคลี่คลายไปในเชิงบวกมากขึ้นมากน้อยเพียงไร