ข่าวการฆ่าลูกสุกรจำนวน 1,500 ตัว ที่หน้าสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครปฐม เมื่อวันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นับเป็นการประท้วงของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาราคาสุกรตกต่ำ โดยอ้างว่าเป็นการตัดวงจร ช่วยลดปัญหาการขาดทุน นับว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหาธุรกิจฟาร์มสุกรที่เผชิญปัญหาในช่วงวัฏจักรราคาสุกรตกต่ำอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนกันยายน 2549 ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้หน้าฟาร์มตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันราคาที่เกษตรกรขายได้ก็ตกลงมาเหลือเพียงกิโลกรัมละ 30 บาท และคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มราคาที่เกษตรกรขายได้จะยังคงตกต่ำต่อเนื่องไปอีกถึง 16 เดือนข้างหน้า(ถึงเดือนพฤษภาคม 2551) ถ้าไม่มีการเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ส่งผลให้ผู้เลี้ยงสุกรประสบปัญหาอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันต้นทุนการเลี้ยงสุกรเฉลี่ยกิโลกรัมละ 41-42 บาท หลังจากสถานการณ์การผลิตสุกรขุนล้นตลาด จากการประเมินช่วงระยะ 3 เดือนที่ผ่านมาความเสียหายที่ราคาสุกรตกต่ำ เกษตรกรและผู้ประกอบการผู้เลี้ยงสุกรขาดทุนทั้งระบบแล้วประมาณ 3,000 ล้านบาท
ช่วงที่ผ่านมาทางกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรพยายามแก้ไขปัญหาราคาสุกรตกต่ำ โดยมีโครงการตัดวงจรด้วยการทำลูกสุกรหันหรือหมูหัน ซึ่งสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติขอความร่วมมือกับสมาชิกตัดวงจร โดยส่งลูกสุกรขนาด 4-6 กิโลกรัม มาเข้าโครงการทำหมูหันตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2550 จนถึงปัจจุบันมีปริมาณสุกรเข้าโครงการประมาณ 9,000 ตัว กำหนดจะชดเชยค่าลูกสุกรให้เกษตรกรตัวละ 350 บาท (ค่าสุกร 200 บาทรวมกับราคาจำหน่ายหมูหัน 150 บาท) โดยทำหนังสือถึงกรมการค้าภายในขอเงินงบประมาณมาชดเชยให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมโดยตั้งเป้าไว้ 100,000 ตัว คำนวณแล้วต้องใช้เงินประมาณ 20 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการควบคุมการนำเข้าเครื่องในสุกรจากต่างประเทศ โดยให้มีการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ทางกรมการค้าภายในกำลังเร่งดำเนินการโครงการเนื้อหมู 2 กิโลกรัม 100 บาท เพื่อลดปัญหาสุกรล้นตลาดอีกทางหนึ่งด้วย
ปัญหาปริมาณสุกรล้นตลาดเริ่มตั้งเค้ามาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2549 ซึ่งสาเหตุของปัญหา มีดังนี้
1.ปริมาณการผลิตสุกรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 2547 ปริมาณการผลิตสุกรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงปลายปี 2548 เกษตรกรที่เลี้ยงสุกรบางรายประสบปัญหาโรคทางเดินหายใจระบาดในสุกรสร้างความเสียหายในกลุ่มสุกรแม่พันธุ์ ลูกสุกรและสุกรขุน รวมทั้งปัญหาน้ำท่วมก็สร้างความเสียหายบางส่วน แต่จังหวัดที่ประสบปัญหาน้ำท่วมไม่ได้เป็นแหล่งผลิตสุกรที่สำคัญ ดังนั้นทั้งสองปัญหานี้จึงส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตสุกรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ราคาจำหน่ายสุกรมีชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับเป็นมูลเหตุจูงใจสำคัญให้เกษตรกรขยายปริมาณการเลี้ยงสุกรเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากคนไทยหันมาบริโภคเนื้อสุกรแทนเนื้อไก่ จากปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกในปี 2547
ในปี 2549 ปริมาณการผลิตสุกรระหว่างปีเพิ่มขึ้นเป็น 11.01 ล้านตัว เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 ซึ่งเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2547 โดยราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งปีตั้งแต่ปี 2546 ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยราคาเฉลี่ยในปี 2546 เท่ากับ 33.03 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นเป็น 44.74 บาทต่อกิโลกรัมในปี 2547 และ 49.55 บาทต่อกิโลกรัมในปี 2548 ตามลำดับ และในช่วงต้นปี 2549 ราคาก็ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่หลังจากเดือนกันยายน 2549 เป็นต้นมาราคาจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นราคาเฉลี่ยในปี 2549 ก็ยังอยู่ในเกณฑ์สูงที่ระดับ 49.55 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนมกราคม 2551 ราคาสุกรที่เกษตรกรขายได้ลดต่ำมาอยู่ในระดับเพียง 33.32 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงเริ่มเล็งเห็นถึงวิกฤตของราคาสุกรที่มีแนวโน้มจะตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
2.ปริมาณการบริโภคสุกรเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ในขณะที่ปริมาณการผลิตสุกรยังคงเพิ่มขึ้นมาก แต่ปริมาณการบริโภคสุกรในประเทศกลับเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แม้จะมีข่าวการตรวจพบไข้หวัดนกรอบใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2549 โดยผู้บริโภคยังคงบริโภคเนื้อและผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกตามปกติ ประกอบกับปริมาณการผลิตไก่เนื้อและไก่ไข่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาเนื้อไก่และไข่ไก่มีราคาถูกลงด้วย ทำให้ผู้บริโภคยังคงเลือกที่จะบริโภคเนื้อไก่และไข่ไก่ ซึ่งมีราคาต่อหน่วยถูกกว่าเนื้อสุกร
3.มูลค่าการส่งออกสุกรและผลิตภัณฑ์ลดลงในปี 2549 ไทยมีการผลักดันการส่งออกสุกรและผลิตภัณฑ์ โดยการผลักดันให้มีการจดทะเบียนฟาร์มเลี้ยงสุกรทั่วประเทศและเร่งผลักดันฟาร์มเข้าสู่ระบบมาตรฐาน พร้อมกับสำรวจและขึ้นทะเบียนรถขนส่งซากสัตว์ทั้งหมด ตลอดจนดำเนินการปรับปรุงสถานที่จำหน่ายเนื้อสัตว์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ดำเนินโครงการสร้างพื้นที่ปลอดโรคปากและเท้าเปื่อย เนื่องจากปัญหาโรคปากและเท้าเปื่อยเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์สุกรของไทยมาโดยตลอด ทั้งนี้เพื่อให้องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ(International Office of Epizootics’ : OIE)รับรองว่าเป็นเขตปลอดโรคปากและเท้าเปื่อย และดำเนินการจัดระเบียบโรงฆ่าสัตว์ในประเทศทั้งหมดเพื่อให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน นโยบายยกระดับมาตรฐานการผลิตทั้งระบบของธุรกิจสุกรส่งผลทั้งในแง่ที่คนไทยจะได้บริโภคเนื้อสุกรที่มีคุณภาพ และการเจาะขยายตลาดเพิ่มเติมในการส่งออก เนื่องจากในปัจจุบันมีหลายประเทศหันมาสั่งนำเข้าเนื้อสุกรจากไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย กระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์สุกรของไทยจัดว่ามีศักยภาพสูงอยู่ในระดับชั้นนำของเอเชียและเหนือกว่าบางประเทศในยุโรป นอกจากนี้ไทยยังมีความพร้อมในด้านเทคโนโลยีและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาพันธุ์สุกร ทำให้ในอนาคตจะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและส่งออกพันธุ์สุกรของภูมิภาคนี้
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาสุกรในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง นับเป็นอุปสรรคสำคัญในการส่งออกสุกรและผลิตภัณฑ์ แม้ว่าเมื่อพิจารณามูลค่ารวมของการส่งออกสุกรและผลิตภัณฑ์ในปี 2549 ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับในปี 2548 แต่เมื่อพิจารณาการส่งออกแต่ละผลิตภัณฑ์จะเห็นได้ว่ามีเพียงเนื้อสุกรใส่เกลือ แห้งหรือรมควัน และเนื้อสุกรปรุงแต่งเท่านั้นที่มูลค่าการส่งออกขยายตัว ส่วนมูลค่าการส่งออกสุกรมีชีวิต เนื้อสุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง และส่วนอื่นๆของสุกรที่บริโภคได้สดแช่เย็นแช่แข็งมีแนวโน้มลดลง กล่าวคือ มูลค่าการส่งออกสุกรและผลิตภัณฑ์ในปี 2549 เท่ากับ 1,163.04 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในปี 2348 แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ในขณะที่มูลค่าการส่งที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับในปี 2548 นั้นมีเพียงเนื้อสุกรใส่เกลือ แห้งหรือรมควัน ซึ่งมีมูลค่าส่งออก 20.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2 เท่าตัว และเนื้อสุกรปรุงแต่งมีมูลค่าส่งออก 776.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 64.3 ส่วนสุกรมีชีวิต เนื้อสุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง และส่วนอื่นๆที่บริโภคได้ของสุกรสดแช่เย็นแช่แข็งนั้น มูลค่าการส่งออกสุกรมีชีวิตเท่ากับ 98.83 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 26.2 เนื้อสุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง 240.22 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 45.8 และส่วนอื่นๆที่บริโภคได้ของสุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง 26.26 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 62.5
4.มูลค่าการนำเข้าสุกรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะที่มูลค่าการส่งออกสุกรและผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มลดลง มูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์สุกรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเครื่องใน เนื้อสุกรใส่เกลือ แห้งหรือรมควัน และเนื้อสุกรปรุงแต่ง นับว่าเป็นปัจจัยทางอ้อมที่กดราคาสุกรและผลิตภัณฑ์ในประเทศ เนื่องจากผู้บริโภคบางกลุ่มหันไปนิยมบริโภคผลิตภัณฑ์สุกรนำเข้า
ปัจจัยที่ส่งผลให้มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์สุกรเพิ่มขึ้นคือ การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน ส่งผลให้ประเทศในอาเซียนกลายเป็นแหล่งนำเข้าเครื่องในสุกรที่สำคัญของไทย โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ ส่วนการนำเข้าเนื้อสุกรใส่เกลือ แห้งหรือรมควัน และเนื้อสุกรปรุงแต่งนั้นเป็นการนำเข้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าระดับบนที่นิยมบริโภคสินค้าต่างประเทศ แหล่งนำเข้าสำคัญคือ ออสเตรเลีย และอิตาลี ส่วนการนำเข้าสุกรมีชีวิตนั้นเกือบทั้งหมดเป็นการนำเข้าสุกรพันธุ์ ซึ่งปัจจุบันไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าพันธุ์สุกรเพื่อการปรับปรุงสายพันธุ์สุกรในประเทศ
นอกจากนี้ในช่วงต้นปี 2550 กระทรวงเกษตรฯ กลุ่มผู้เลี้ยงและบริษัทที่ทำธุรกิจครบวงจร วางแนวทางแก้ปัญหาราคาสุกรตกต่ำ โดยกำหนดมาตรการเร่งด่วน ดังนี้
1) ให้ตัดปริมาณลูกสุกรออกจากระบบประมาณ 40,000 ตัว/เดือน และขอความร่วมมือให้ทำลายลูกสุกร 1 ตัวต่อคอก
2) แม่หมูให้ใช้งานไม่เกิน 5 ท้อง แล้วให้ตัดออกจากระบบ กล่าวคือ ขอความร่วมมือให้เกษตรกรปลดแม่สุกรจำนวน 100,000 ตัว หลังจากให้ลูกครอกที่ 5 และตัดแม่สุกรร้อยละ 10 ออกจากระบบ
3) กระทรวงเกษตรฯ จะมีมาตรการควบคุมปริมาณสุกรที่มีอยู่ในประเทศ โดยขั้นแรกได้ให้สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ในการสำรวจจำนวนที่แท้จริงของสุกร จากนั้นจะปรับลดปริมาณ โดยนำลูกสุกร 100,000 ตัวมาทำหมูหัน รวมทั้งเก็บสุกรขุนประมาณ 30,000 ตัวเข้าห้องเย็นเพื่อนำไปแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์ และผลักดันให้ภาคเอกชนส่งออกเนื้อหมูปรุงสุกไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปอีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ทางกระทรวงพาณิชย์เปิดตลาดจำหน่ายเนื้อหมู 2 กก./100 บาท และมีผลตอบรับที่น่าพอใจจากกว่า 300 จุดจำหน่าย ซึ่งข้อสรุปจากการหารือถ้าทุกฝ่ายพร้อมให้ความร่วมมือ คาดว่าจะสามารถการแก้ไขปัญหาราคาสุกรตกต่ำก็น่าจะยุติลงได้ภายในช่วง 8 เดือนต่อจากนี้ไป(ประมาณเดือนสิงหาคม 2550) และจะสามารถทำให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรทั้งรายย่อยและรายใหญ่อยู่รอดได้
อย่างไรก็ตาม ในวงการธุรกิจสุกรประเมินว่าในทางปฏิบัติคงไม่ได้รับความร่วมมือจากบรรดาผู้เลี้ยงสุกรเท่าที่ควร เนื่องจากที่ผ่านมาเมื่อมีปัญหาราคาสุกรตกต่ำทุกครั้งก็จะมีการขอความร่วมมือในการตัดวงจรปริมาณสุกรส่วนเกิน แต่ก็ไม่เคยได้ผลมากนัก เพราะความไม่จริงใจในการแก้ปัญหาในกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรด้วยกันเอง เมื่อกลุ่มหนึ่งยอมตัดปริมาณสุกรออกจากระบบก็จะมีผู้เลี้ยงอีกกลุ่มหนึ่งรอจังหวะจะขยายการเลี้ยงขึ้นมาแทน การแก้ปัญหาที่ได้ผลต้องรอให้เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ เพื่อให้ผู้เลี้ยงปรับตัวเองตามกำลังของแต่ละรายให้กิจการอยู่รอดต่อไปได้ ซึ่งผู้เลี้ยงที่จะอยู่รอดส่วนใหญ่จะเป็นผู้เลี้ยงรายใหญ่ ส่วนกลุ่มผู้เลี้ยงที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นกลุ่มผู้เลี้ยงอิสระและผู้เลี้ยงรายย่อย
กล่าวโดยสรุปแล้ว วิธีการแก้ไขปัญหาราคาสุกรตกต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยผู้เลี้ยงสุกรร่วมมือกันตัดวงจรสุกรเพื่อลดปริมาณสุกรที่จะออกสู่ตลาด นับว่าเป็นเพียงมาตรการระยะสั้น เนื่องจากเมื่อใดก็ตามที่ราคาสุกรกลับมาสูงอีกครั้งหนึ่ง ก็มีแนวโน้มว่าบรรดาผู้เลี้ยงสุกรจะหันมาขยายการผลิตและก็จะเกิดปัญหาสุกรล้นตลาดอีก นับว่าเป็นวัฏจักรสุกรที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง ซึ่งแนวทางที่จะดำเนินการได้คือ
1.การร่วมมือกันอย่างจริงจังในการควบคุมปริมาณการผลิตสุกรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมทั้งการเร่งปรับประสิทธิภาพการผลิต โดยเฉพาะในส่วนของต้นทุนอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญที่มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 60 ของต้นทุนการเลี้ยงสุกร โดยเกษตรกรควรได้รับข่าวสารความเคลื่อนไหวของแนวโน้มราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์อย่างทันต่อเหตุการณ์ทั้งนี้เพื่อการปรับสูตรอาหารสัตว์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เปลี่ยนแปลงไป
2.การเร่งผลักดันให้มีการส่งออกสุกรและผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันปริมาณการส่งออกนั้นคิดเป็นเพียงร้อยละ 1 ของปริมาณการผลิตสุกรทั้งหมด ดังนั้นการเร่งผลักดันการส่งออกจะเป็นการสร้างตลาดของผลิตภัณฑ์สุกรให้ขยายวงกว้างขวางมากขึ้น แทนการพึ่งพิงเฉพาะตลาดในประเทศเท่านั้น
ตลาดส่งออกที่น่าสนใจนั้นส่วนใหญ่เป็นประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนตลาดความหวังของไทยในอนาคตที่ต้องผลักดันต่อไปคือ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้และไต้หวัน ซึ่งประเทศเหล่านี้ยังต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์สุกร เนื่องจากข้อจำกัดของเนื้อที่ในการเลี้ยงสุกร โดยผู้เกี่ยวข้องในวงการสุกรของไทยต้องฟันฝ่าอุปสรรคในเรื่องความเข้มงวดในการตรวจสอบทางด้านสุขอนามัย ตลาดเหล่านี้นับเป็นความหวังของวงการสุกรของไทยในระยะยาว

