การประท้วงของพระสงฆ์และประชาชนชาวพม่าที่เกิดขึ้นหลังจากทางการพม่าประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในวันที่ 15 สิงหาคม 2550 จนทางการพม่าประกาศเคอร์ฟิวในกรุงย่างกุ้งและเมืองมัณฑะเลย์ ในวันที่ 25 กันยายน 2550 เป็นเวลา 60 วัน เหตุการณ์ประท้วงครั้งนี้ส่งผลให้มีพระสงฆ์และประชาชนพม่าเสียชีวิต คาดว่าหากเหตุการณ์ความไม่สงบในพม่าครั้งนี้ยืดเยื้อและรุนแรงมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยที่ไปลงทุนในพม่าในด้านภาคการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอการเดินทางท่องเที่ยวเข้าไปในพม่า นอกจากนี้ ธุรกิจในภาคการผลิตของไทยที่ผลิตสินค้าในพม่าเพื่อส่งออก อาจได้รับผลกระทบจากการถูกมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติเพิ่มเติม ทั้งนี้ ปัจจุบันมีนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในพม่าหลายสาขา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต (ที่สำคัญ ได้แก่ โรงงานน้ำตาล ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า และไม้แปรรูป) โรงแรมและท่องเที่ยว ประมง เหมืองแร่ การขนส่ง การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้า การก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และเกษตรกรรม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าหากสถานการณ์ความไม่สงบในพม่าในครั้งนี้ยืดเยื้อต่อเนื่อง พม่าอาจจะถูกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากนานาชาติ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป รวมทั้งประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในพม่า ดังนี้
ธุรกิจโรงแรม-ท่องเที่ยว – นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจชะลอการเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในพม่า เนื่องจากความไม่แน่ใจในความปลอดภัยจากสถานการณ์ความไม่สงบในพม่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมและบริษัทนำเที่ยวของไทยที่ดำเนินธุรกิจในพม่า การลงทุนของนักลงทุนไทยในโครงการด้านโรงแรมและท่องเที่ยวในพม่ามีมูลค่ารวมราว 228.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2531 ที่พม่าเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศจนถึงปัจจุบัน คิดเป็นสัดส่วนราว 3.1% ของมูลค่าโครงการลงทุนต่างชาติทั้งหมดในพม่าที่ได้รับอนุมัติการลงทุนจากทางการพม่าในช่วงเดียวกัน ปัจจุบันธุรกิจด้านโรงแรมและท่องเที่ยวของไทยเข้าไปลงทุนในพม่าทั้งในลักษณะจัดตั้งบริษัทโดยถือหุ้นเอง 100% และเข้าไปร่วมลงทุนกับนักลงทุนชาวพม่า ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในพม่าจำนวนเฉลี่ยปีละราว 650,000 คน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2547-2549)
ธุรกิจผลิตสินค้า – ธุรกิจไทยที่เข้าไปตั้งฐานการผลิตสินค้าในพม่าเพื่อส่งออกอาจเสี่ยงต่อการถูกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากนานาชาติ ซึ่งอาจออกมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าต่างๆ จากพม่า ซึ่งปัจจุบันนักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนผลิตสินค้าในพม่าทั้งสินค้าเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าปศุสัตว์ สินค้าประมง น้ำตาล ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า และไม้แปรรูป นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในพม่าในอุตสาหกรรมการผลิตมีมูลค่าโครงการสะสมทั้งสิ้น 614.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2531 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2550 คิดเป็นสัดส่วน 8.3% ของมูลค่าโครงการลงทุนสะสมทั้งหมดของไทยในช่วงเดียวกัน ส่วนโครงการลงทุนด้านประมงในช่วงเดียวกันมีมูลค่ารวม 171 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และโครงการด้านเกษตรกรรมมีมูลค่ารวม 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ การส่งออกของพม่าถูกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ ในปี 2546 จากปัญหาสิทธิมนุษยชนในพม่า หลังจากที่สหรัฐฯ ที่ออกกฎหมาย The Burmese Freedom and Democracy Act ในปี 2546 ห้ามบริษัทสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าทุกชนิดจากพม่า ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและภาคอุตสาหกรรมของพม่า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมของพม่าหดตัวลง จากก่อนหน้านี้ที่เคยขยายตัวได้ดี โดยส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอไปสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนราว 65% ของการส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอทั้งหมดของพม่า ในช่วงก่อนปี 2546
สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าของไทยในพม่าที่มีมูลค่า 6,030 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งได้รับอนุมัติการลงทุนจากทางการพม่าในเดือนมีนาคม 2549 คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นโครงการลงทุนระยะยาว โดยเป็นการก่อสร้างเขื่อนท่าสางกั้นแม่น้ำสาละวินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า โดยคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการ 6 ปี การลงทุนของไทยในโครงการก่อสร้างเขื่อนดังกล่าวทำให้มูลค่าการลงทุนของไทยสะสมในพม่าตั้งแต่ปี 2531 ที่พม่าเปิดรับเงินลงทุนจากต่างประเทศจนถึงปัจจุบันพุ่งขึ้นเป็น 7,380 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนในพม่ามากเป็นอันดับ 1 ในบรรดาประเทศทั้งหมดที่เข้าไปลงทุนในพม่า และเป็นอันดับ 1 ในบรรดาประเทศอาเซียน รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ตามลำดับ
สำหรับการค้าชายแดนระหว่างไทยกับพม่า หากสถานการณ์ความไม่สงบในพม่าจากเหตุการณ์การประท้วงครั้งนี้ไม่รุนแรงมากขึ้นจนทางการพม่าต้องสั่งปิดด่านชายแดน โดยเฉพาะด่านการค้าชายแดนไทย-พม่า ที่สำคัญ ได้แก่ ด่านท่าขี้เหล็กตรงข้ามอำเภอแม่สาย ด่านเมียวดีตรงข้ามอำเภอแม่สอด และด่านเกาะสองตรงข้ามจังหวัดระนอง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าจะส่งผลให้การค้าชายแดนไทย-พม่าซบเซาลงในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากผู้ประกอบการส่งออก-นำเข้าชะลอการค้าขายเพื่อรอดูสถานการณ์ในพม่า โดยการค้าชายแดนไทย-พม่าทั้งปี 2550 คาดว่าจะมีมูลค่ารวมราว 109,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 5% จากมูลค่า 104,000 ล้านบาทในปี 2549 เนื่องจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติของไทยจากพม่าในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2550 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการส่งออกเหล็ก/เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติกของไทยไปพม่าเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่หากสถานการณ์ดังกล่าวในพม่ารุนแรงมากขึ้น และพม่าสั่งปิดด่านชายแดนไทย-พม่าอาจส่งผลให้การค้าชายแดนไทย-พม่าในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ซบเซาลง จากปัจจุบันที่มูลค่าการค้าชายแดนไทย-พม่า (ส่งออก+นำเข้า) มีมูลค่าเดือนละราว 9,000 ล้านบาท โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปพม่าราว 1,650 ล้านบาท และนำเข้าจากพม่าทางชายแดนราว 7,500 ล้านบาท
สำหรับการค้าชายแดนไทย-พม่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2550 ไทยส่งออกไปพม่ามูลค่า 14,492 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 และการนำเข้าของไทยจากพม่ามีมูลค่า 47,430 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าชายแดนกับพม่าในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้มูลค่า 32,937 ล้านบาท โดยไทยนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่ามากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึงราว 90% ของการนำเข้าทั้งหมดของไทยจากพม่า


