“มิลล์คอน” ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเหล็กเส้น-เหล็กรูปพรรณนานาชนิด พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายใน เดือน พ.ย.นี้ เผยธุรกิจเหล็กในประเทศจะเติบโตอย่างแน่นอนจากปีที่ผ่านมาหลังจากภาครัฐมีการเร่งรัดการใช้จ่ายทั้งภาครัฐและการกระตุ้นภาคเอกชนเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้า ชูจุดเด่นบริการ “One – Stop Service” เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย
นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ Mill ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเหล็กเส้นก่อสร้าง-เหล็กรูปพรรณนานาชนิด เปิดเผยว่า จากการที่ราคาเหล็กในตลาดโลกยังทรงตัวในระดับสูงซึ่งมีแนวโน้มว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ไปอีกซักระยะหนึ่ง หรืออาจมีสิทธิ์เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกทั้งในเอเชียและยุโรป ทำให้ปริมาณความต้องการการบริโภคเหล็กเพิ่มขึ้นจากต่างประเทศ
ส่วนแนวโน้มของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทยมีโอกาสที่จะเติบโตแน่นอน เนื่องจากภาครัฐได้มีการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ หรือ เมกกะโปรเจกต์ เช่น การอนุมัติการก่อสร้างรถไฟฟ้าไปแล้ว 2 สาย ซึ่งการที่รัฐบาลมีความชัดเจนมากขึ้นอย่างนี้ก็จะทำให้อุตสาหกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็จะมีการเติบโตตามไปด้วยเช่นกัน เช่น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็จะมีการลงทุนเพิ่มตามแนวเส้นทางที่รถไฟฟ้าผ่านอย่างแน่นอน นอกจากนี้การเจริญเติบโตของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม หรือ ลาว ซึ่งมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างรวดเร็วก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งเช่นกันที่จะสามารถกระตุ้นตลาดเหล็กในประเทศได้
การลงทุนจากต่างชาติที่ได้มีการขยายการผลิตเข้ามาสู่ประเทศไทยก็มีมากขึ้นจากทั้งข้อมูลจาก BOI ที่มีการขออนุญาตเพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน หรือ อีโคคาร์ ทำให้มีการสร้างโรงงานใหม่ๆ และจะมีการจ้างงานเพิ่มตามขึ้นมาก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน นอกจากนี้ ยังมีความชัดเจนของการเลือกตั้งที่ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า มีขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ ซึ่งก็จะทำให้ภาคเอกชนและนักลงทุนชาวต่างชาติ มีความมั่นใจว่าภาครัฐน่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะต้องจับตามองอยู่ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในระยะเวลานี้ ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าประเทศจีนยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ความต้องการเหล็กยังอยู่ในระดับสูงต่อไป เนื่องจากประเทศจีนบริโภคเหล็กเป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่า ความต้องการโดยเฉลี่ยในปี 2551 จะอยู่ที่ 11.5 % สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ 11.4 % ในปี 2550 และคิดเป็น 35% ของปริมาณความต้องการเหล็กของโลก
“ในช่วงที่ราคาเหล็กทรงตัวในระดับสูงหลังจากมีความผันผวนมากในช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัทได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและมีการจัดการที่มีประสิทธิภาพทำให้บริษัทสามารถมีการเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งปัจจัยภายนอกที่จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทเติบโตดีขึ้นไปอีก” นายสิทธิชัยกล่าว
กรรมการผู้จัดการ Mill ยังกล่าวถึงการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ด้วยว่า ขณะนี้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปแล้ว และคาดว่า หุ้นของบริษัทฯ จะเข้าจดทะเบียนและทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2550
ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 บริษัท มิลล์คอนสตีลฯ มีทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท โดยมีสินทรัพย์ประมาณ 1.77 พันล้านบาท มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 5 แสนตันต่อปี แบ่งเป็นการผลิตเหล็กเส้นและเหล็กข้ออ้อยประมาณ 2.50 แสนตันต่อปี และเหล็กรูปพรรณประมาณ 2.50 แสนตันต่อปี
“การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นอกจากจะทำให้บริษัทฯ มีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น เราก็ต้องพัฒนาองค์กรในด้านต่างๆ ทั้งในส่วนของบุคลกรอย่างเป็นระบบระเบียบและมีวินัยทางการเงินมากขึ้นในการลงทุน เพราะเราต้องสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนที่จะเข้ามาถือหุ้นว่าเงินของท่านเหล่านี้จะนำไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงที่สุดและทั้งตัวบริษัทและนักลงทุนก็จะเติบโตไปด้วยกัน ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วย” กรรมการผู้จัดการ Mill กล่าว
สำหรับกลยุทธ์ของ Mill นั้นมีนโยบายที่จะเพิ่มผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งลูกค้าสามารถหาผลิตภัณฑ์เหล็กก่อสร้างได้ทุกประเภทจากบริษัทที่เดียวในลักษณะ “One – Stop Service” และยังส่งผลให้มีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบอีกด้วย
นอกจากนี้ Mill ยังคงเน้นคุณภาพของสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมเน้นพัฒนาด้านการบริการให้หลากหลาย ซึ่งบริษัทฯ จะต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าทำอย่างไรจึงจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายนี้ให้ได้มากที่สุด และพยายามหาทางเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเน้นการบริการที่ดี