อัตราเงินเฟ้อของจีนและไทย ปี 2550
ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2550 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนอยู่ที่ร้อยละ 11.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วง 9 เดือนแรกของจีนที่วัดจากราคาสินค้าผู้บริโภค (CPI) อยู่ที่ร้อยละ 4.1 เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 1.3 เท่านั้น และเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าไทยที่มีค่าเฉลี่ยในช่วงเดียวกันที่ร้อยละ 2.0 ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของจีนที่ปรับสูงขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา สืบเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากราคาสินค้าผู้บริโภคในหมวดอาหารซึ่งเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึงร้อยละ 10.7 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของจีนในเดือนกันยายน 2550 สูงถึงร้อยละ 6.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็เป็นอัตราที่ลดลงจากเดือนสิงหาคมที่สูงถึงร้อยละ 6.5 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการควบคุมราคาเนื้อหมูในประเทศที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2550 เริ่มประสบผลสำเร็จด้วยดี
ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของจีนที่วัดจากราคาสินค้าของผู้ผลิต (PPI) ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2550 อัตราดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 2.7 ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่ร้อยละ 3.0 หากเปรียบเทียบกับไทยจะพบว่าในช่วงดังกล่าวอัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ที่ร้อยละ 2.0 เท่านั้น และแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อโดยรวมของจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงเล็กน้อยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ยังเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้ทางการจีนเองยังไม่สามารถนิ่งนอนใจ
ทางด้านนโยบายการเงิน ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทางการจีนได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อในประเทศด้วยการควบคุมอุปทานเงินตราไม่ให้ไหลสู่ตลาดมากจนเกินไป อาทิ การสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์เคร่งครัดในการปล่อยสินเชื่อในรูปของเงินหยวนไม่ให้เติบโตเกินเป้าหมายของปี 2550 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 15 นอกจากนี้ ธนาคารกลางของจีนยังได้ออกพันธบัตรรวมมูลค่า 1,500 พันล้านหยวนเพื่อดูดซับสภาพคล่องของตลาดอีกด้วย รวมถึงการเพิ่มอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องจากเดิมที่ระดับร้อยละ 12.5 เป็นร้อยละ 13.0 หรือเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.5 ทั้งนี้ จีนได้ทยอยปรับเพิ่มอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องถึง 8 ครั้งตลอดช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับร้อยละ 9.0 ในช่วงต้นปีมาอยู่ที่ร้อยละ 13.0 ในปัจจุบัน มาตรการเหล่านี้คาดว่าจะเห็นผลในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตามทางการจีนยังคงดำเนินมาตรการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนเพื่อไม่ให้แข็งค่าขึ้นมากนัก แม้ว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินหยวนอาจช่วยผ่อนคลายภาวะเงินเฟ้อของจีนได้ระดับหนึ่ง
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยทั้งที่วัดจากราคาผู้บริโภคและผู้ผลิตยังต่ำกว่าจีน แต่ในด้านการส่งออก อัตราแลกเปลี่ยนก็เป็นตัวแปรที่สำคัญเช่นกัน หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะพบว่าในช่วงปี 2550 เงินเหรียญสหรัฐฯได้อ่อนค่าลงร้อยละ 9.4 เมื่อเทียบกับเงินบาท แต่อ่อนค่าลงเพียงร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับเงินหยวนของจีน และเมื่อนำผลจากการเปลี่ยนแปลงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราเงินเฟ้อของทั้งสองประเทศมาพิจารณาร่วมกันจะพบว่า อัตราแลกเปลี่ยนบวกด้วยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่วัดจากราคาสินค้าผู้บริโภคและผู้ผลิตได้ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าที่ผลิตในไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 และ 11.4 ตามลำดับ ในขณะที่ต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 8.4 และ 8.0 เท่านั้น เห็นได้ว่าไทยยังคงเสียเปรียบจีนจากต้นทุนการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า
การปรับตัวของไทยในยุคเงินบาทแข็งค่า
ปัญหาต้นทุนส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นมากจากภาวะเงินเฟ้อและเงินบาทแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมาได้กระทบผู้ส่งออกของไทยในวงกว้าง โดยเฉพาะผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการใช้แรงงานมาก อาทิ อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมของเล่น ฯลฯ มีผู้ผลิตและผู้ส่งออกของไทยจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกับปัญหาคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง และมีบางส่วนถึงกับต้องล้มเลิกกิจการไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจนทำให้ไทยเสียเปรียบจีนด้านต้นทุนส่งออก แต่วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนสำหรับไทยเพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศรวมถึงจีน ควรมุ่งเน้นที่การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของอุตสาหกรรมของประเทศ ท่ามกลางภาวะวิกฤติดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าภาครัฐควรจะมีบทบาทสำคัญในการเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการของไทย ดังนี้
ภาครัฐควรกำหนดแผนนโยบายการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้เป็นวาระแห่งชาติ และกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ในระยะยาว แผนนโยบายดังกล่าวควรให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะของบุคลากร การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง การให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี รวมถึงการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างคุ้มค่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เป็นต้น
ภาครัฐและภาคเอกชนของไทยควรมองหาโอกาสในการร่วมมือทางธุรกิจกับจีน เช่นที่ผ่านมาจีนมีการนำเข้าวัตถุดิบจากไทยเป็นจำนวนมาก อาทิ ยางพารา มันสำปะหลัง เม็ดพลาสติก ลำใยอบแห้ง ฯลฯ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าต่างๆ ภาครัฐควรให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคและเงินทุนแก่ผู้ผลิตของไทยเพื่อให้สามารถผลิตวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อการส่งออก
ในส่วนของอุตสาหกรรมที่ไทยยังมีทักษะในการผลิตแต่เสียเปรียบจีนด้านต้นทุน เช่นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลัก ภาครัฐควรเร่งส่งเสริมให้ผู้ประกอบกการไทยเข้าไปลงทุนในประเทศที่ค่าแรงต่ำและทรัพยากรราคาถูก เช่นลาว เวียดนาม ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันกับจีนในด้านการส่งออกได้มากขึ้น
ท่ามกลางภาวะการแข่งขันอย่างรุนแรงจากนานาประเทศรวมถึงจีน การปรับตัวของภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนของไทยจึงมีความสำคัญเร่งด่วน และเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลใหม่ที่คาดว่าจะเข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นไปควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เพื่อเป็นหลักประกันว่าภาคการผลิตและการส่งออกของไทยจะยังสามารถขยายตัวต่อเนื่องในอนาคต