คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรก … ขยายตัวสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 5.5-5.7

นับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างชัดเจน ที่สำคัญเป็นผลเนื่องมาจากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน หลังจากแรงกดดันทางการเมืองเริ่มผ่อนคลายลง และเมื่อมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลได้มีแนวทางชัดเจนที่จะใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากความผันผวนของเศรษฐกิจต่างประเทศ โดยได้มีการดำเนินนโยบายเพื่อที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นมาเป็นลำดับ ตั้งแต่มาตรการชุดแรก คือการยกเลิกมาตรการดำรงสำรองเงินทุนระยะสั้น ชุดที่สอง คือการออกมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ และชุดที่สาม คือมาตรการเงินทุนเพื่อประชาชนและเศรษฐกิจฐานราก รวมไปถึงความพยายามในการดูแลราคาสินค้าและการผลักดันโครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ซึ่งถือได้ว่าเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่น่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจของไทย อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในระยะข้างหน้าจะต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญของโลก จากปัญหาการล่มสลายของภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการเงินในสหรัฐฯที่กำลังลุกลามไปยังบางประเทศในยุโรปและภูมิภาคอื่นๆ และปัญหาการพุ่งทะยานสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันและสินค้าอาหาร ท่ามกลางสภาวะดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรก และในระยะที่เหลือปี 2550 ดังต่อไปนี้ :-

 เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก ได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศ
ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดในระยะที่ผ่านมาของปี 2551 บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจภายในประเทศปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างชัดเจน โดยหากพิจารณาจากเครื่องชี้ในด้านอุปสงค์ (Demand Side) ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2551 (ระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์) ดัชนีการบริโภคของภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 7.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้นจากร้อยละ 4.3 ในไตรมาสที่ 4/2550 ตามการปรับตัวดีขึ้นของบรรยากาศความเชื่อมั่นและความคาดหวังของผู้บริโภค ต่อทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจ ดังที่เห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 มาที่ระดับ 80.7 ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่า 80 เป็นครั้งแรกในรอบ 15 เดือน นอกจากนี้ ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศในเดือนมีนาคม 2551 ก็ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 18.0 โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้น 66,107 คัน นับเป็นยอดขายต่อเดือนที่สูงสุดในรอบ 15 เดือน ขณะเดียวกัน ภาวะการลงทุนมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ดัชนีการลงทุนของภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 5.1 สูงขึ้นจากร้อยละ 3.8 ในไตรมาสที่ 4/2550 ในขณะที่การส่งออกขยายตัวร้อยละ 24.6 ใกล้เคียงกับร้อยละ 24.0 ในไตรมาสที่ 4/2550 แต่การนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดอาจเกินดุลลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของระดับที่เกินดุล 6,184 ล้านดอลลาร์ฯในไตรมาสที่ 4/2550

สำหรับเครื่องชี้ในด้านอุปทาน (Supply Side) ในช่วง 2 เดือนแรก มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นอย่างกระจายทั่วถึงในหลายสาขาธุรกิจ ทั้งในภาคเกษตร อุตสาหกรรม และการบริการ โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 14.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้นจากร้อยละ 12.1 ในไตรมาสที่ 4/2550 ขณะเดียวกัน ดัชนีผลผลิตทางการเกษตรขยายตัวร้อยละ 9.1 สูงขึ้นจากร้อยละ 4.1 ในไตรมาสที่ 4/2550 รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวสูงร้อยละ 12.4 ในช่วง 2 เดือนแรก จากร้อยละ 8.8 ในไตรมาสที่ 4/2550

จากตัวเลขเศรษฐกิจข้างต้นทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1/2551 จะยังขยายตัวสูงในระดับประมาณร้อยละ 5.5-5.7 ใกล้เคียงกับร้อยละ 5.7 ในไตรมาสที่ 4/2550 โดยเป็นผลมาจากการที่เครื่องยนต์เศรษฐกิจทั้ง 4 คือการบริโภคของภาคเอกชน การบริโภคของภาครัฐ การลงทุน และการส่งออก ขับเคลื่อนไปพร้อมกันอย่างสมดุลมากขึ้น จากเดิมที่มีเพียงการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก อย่างไรก็ตาม สาเหตุอีกส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานเปรียบเทียบที่ต่ำในไตรมาสแรกของปีก่อน ที่ในเวลานั้นการบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลงอย่างมาก และการลงทุนทรุดตัวลงรุนแรง

 แนวโน้มในไตรมาสที่เหลือของปี เผชิญปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้น
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่เหลือของปี 2551 แม้คาดว่าจะมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่จะเริ่มมีผลลงไปสู่เศรษฐกิจในระดับต่างๆอย่างชัดเจนมากขึ้น แต่ปัจจัยเสี่ยงที่สร้างความกังวลว่าอาจจะเป็นอุปสรรคต่อความต่อเนื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีเพิ่มสูงขึ้น นั่นก็คือภาวะความเสียหายและผลกระทบที่ตามมาจากวิกฤติซับไพรม์ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกจะรุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ รวมทั้งวิกฤติราคาอาหารและพลังงานที่สูงเป็นประวัติการณ์ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงทั่วโลก ซึ่งปัจจัยทั้งสองมีแนวโน้มที่จะบั่นทอนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

ในรายงาน World Economic Outlook, April 2008 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ที่เพิ่งออกเผยแพร่ในเดือนเมษายนนี้ ได้ปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2551 ลงเป็นร้อยละ 3.7 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 4.9 ในปี 2550 (และเป็นการตัดลดประมาณการเป็นครั้งที่สอง หลังจากเมื่อเดือนมกราคม ได้ปรับลดลงมาเป็นร้อยละ 4.1) เนื่องจากผลกระทบของปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐฯ ที่ IMF กล่าวถึงว่าเป็นความสับสนอลหม่านในตลาดการเงินที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปรากฏการณ์เศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (The Great Depression) เมื่อกว่า 80 ปีที่แล้ว และยังมองเห็นโอกาสความเป็นไปได้ร้อยละ 25 ของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ขณะที่มองว่าการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างช้าๆ โดยคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2552 อยู่ที่ร้อยละ 3.8 สูงขึ้นกว่าปีนี้เพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างอ่อนๆ (Mild Recession) ทำให้อัตราการขยายตัวทั้งปีอยู่ที่เพียงร้อยละ 0.5 ในปี 2551 และร้อยละ 0.6 ในปี 2552 การคาดการณ์ของ IMF อยู่บนสมมติฐานว่าราคาน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก อยู่ที่ระดับ 95.50 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล ในปี 2551 เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.3 จากปีก่อน และจะลดลงร้อยละ 1.0 ในปี 2552 มาอยู่ที่ 94.50 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล นอกจากนี้ยังคาดว่าราคาสินค้าอาหารโดยเฉลี่ยทั่วโลกจะสูงขึ้นร้อยละ 18.2 ในปี 2551 และเริ่มปรับลดลงร้อยละ 0.9 ในปี 2552 การปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้าอาหารและพลังงานส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะสูงขึ้นเป็นร้อยละ 4.8 ในปี 2551 แต่จะลดลงในปี 2552 โดยมาอยู่ที่ร้อยละ 3.7

ภาวการณ์ที่ไม่ปกติของเศรษฐกิจทั่วโลกนี้นำมาสู่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในหลายด้าน กล่าวคือ

การส่งออก การชะลอตัวรุนแรงของเศรษฐกิจสหรัฐฯและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าในประเทศที่เป็นตลาดส่งออกของไทย ขณะเดียวกันการส่งออกยังอาจได้รับผลกระทบจากแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท ท่ามกลางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯที่ถูกกดดันจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงของสหรัฐฯ

อัตราเงินเฟ้อ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ทะยานสูงขึ้นดังที่เป็นอยู่นี้ นับเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ปกติ เนื่องจากภาวะอุปทานที่ตึงตัวค่อนข้างมาก ประกอบกับภาวะการเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าจนเกิดภาวะฟองสบู่ สถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างแรงกดดันเพิ่มขึ้นต่ออัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อในปี 2551 ขึ้นเป็นร้อยละ 4.8 โดยมีช่วงประมาณการระหว่างร้อยละ 4.0-5.5 (จากประมาณการเงินเฟ้อเดิมอยู่ที่ร้อยละ 3.5-4.5)

การดำเนินนโยบายการเงิน แม้ว่าผลต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไทยกับสหรัฐฯอาจจะเพิ่มขึ้นอีกหากธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น แต่จากทิศทางอัตราเงินเฟ้อที่จะคงอยู่ในระดับสูงต่อไปนี้ อาจจะเป็นข้อจำกัดต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และส่งผลกดดันต่อการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับกรอบแนวทางในการรักษาเสถียรภาพเป็นสำคัญ

รายได้ของภาคเกษตร ราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มสูงอย่างมากนั้น ในด้านหนึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อรายได้เกษตรกรและธุรกิจเกี่ยวข้องอื่นๆ ทั้งนี้ ตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่ารายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.8 ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2551 ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 และราคาสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 และถ้าหากผลผลิตทางการเกษตรสามารถคงอัตราการขยายตัวในระดับประมาณร้อยละ 10 นี้ไว้ได้ตลอดทั้งปี อาจประเมินได้ว่าการเติบโตของภาคเกษตรในช่วงปีนี้จะมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของจีดีพีโดยภาพรวมประมาณร้อยละ 1.0-1.5 จากความสำคัญของภาคเกษตรกรรมที่มีน้ำหนักต่อจีดีพีประมาณร้อยละ 11 ในปี 2550 นอกจากนี้ยังมีผลจากรายได้เกษตรกรในส่วนที่เพิ่มขึ้นจากด้านราคาเมื่อหักภาระค่าใช้จ่ายในการครองชีพและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เช่นราคาน้ำมันและปุ๋ยแล้ว ที่จะมีผลในรอบต่อไปไปสู่ภาคเศรษฐกิจอื่นๆ (เม็ดเงินที่หมุนเวียนผ่านการใช้จ่ายและการลงทุนของครัวเรือนเกษตรกร) ซึ่งแรงหนุนจากการเติบโตของภาคเกษตรนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงมองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแรงส่งให้สามารถเติบโตได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับในปีที่ผ่านมา แม้ว่าปัจจัยลบจากปัญหาภายนอกประเทศจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น

นอกเหนือจากปัจจัยสนับสนุนที่มาจากภาคการเกษตรแล้ว การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลก็เป็นปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ ผ่านการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ การผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการลงทุนที่สำคัญของประเทศให้มีความคืบหน้า ผลดังกล่าวจะช่วยเพิ่มอำนาจซื้อให้แก่กลุ่มผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการเหล่านั้น เช่น ภาระการจ่ายภาษีที่ลดลง การเข้าถึงเงินทุนด้วยต้นทุนการเงินที่ต่ำลง หรือโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นตามมากับโครงการภาครัฐ เป็นต้น แต่ขณะเดียวกัน ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ายังมีคนบางกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขความเดือดร้อนจากภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น เนื่องจากไม่ได้อยู่ในข่ายที่จะได้ประโยชน์จากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น หรือได้รับรายได้กลับมาคืนในรูปของภาษีที่ลดลง ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนทำงานกินเงินเดือนหรือมีรายได้คงที่ และไม่ได้อยู่ในฐานการจ่ายภาษีให้แก่รัฐ

อย่างไรก็ดี ผลบวกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ยังมีโอกาสเผชิญกับความไม่แน่นอน จากประเด็นทางการเมืองในระยะข้างหน้า ที่สำคัญได้แก่ ผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีคดียุบพรรคการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อาจเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความขัดแย้ง ทั้งนี้ เสถียรภาพของรัฐบาลจะมีผลต่อความคืบหน้าของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งแผนการใช้จ่ายในโครงการต่างๆของภาครัฐ อีกทั้งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

จากปัจจัยต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสถัดๆ ไปมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง โดยจะมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 5.0 ในไตรมาสที่ 2/2551 ก่อนที่จะชะลอลงมาที่ร้อยละ 4.6 ในไตรมาสที่ 3/2551 และร้อยละ 4.3 ในไตรมาสที่ 4/2551 ซึ่งนอกจากผลของปัจจัยกระทบต่างๆแล้ว ยังมีผลของฐานเปรียบเทียบในปีก่อนหน้า ที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลงค่อนข้างมาก แต่ค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี สำหรับอัตราเงินเฟ้อในระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะยังคงมีระดับที่สูง และกว่าที่จะเห็นเงินเฟ้อชะลอตัวลงชัดเจนอาจต้องเป็นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยหากเศรษฐกิจสหรัฐฯและเงินดอลลาร์ฯฟื้นตัวขึ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาจจะเผชิญกับการปรับฐาน

โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1/2551 จะมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 5.5-5.7 ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ 4/2550 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.7 โดยเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นสำคัญ สำหรับในระยะที่เหลือของปี คาดว่าเศรษฐกิจจะได้รับแรงสนับสนุนที่สำคัญคือการเติบโตของรายได้ในภาคเกษตรและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ในขณะที่ปัจจัยฉุดเศรษฐกิจที่สำคัญคือความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯและปัญหาเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ประเด็นทางการเมืองในระยะข้างหน้าอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งอาจจะกระทบความต่อเนื่องเชิงนโยบายและความเชื่อมั่นของนักลงทุน จากปัจจัยลบหลายประการนี้ ประกอบกับผลของฐานเปรียบเทียบที่ต่ำของปีก่อน คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสถัดๆไปขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง

ในกรณีพื้นฐาน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2551 จะมีอัตราการขยายตัวโดยมีค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 4.9 ใกล้เคียงกับร้อยละ 4.8 ในปี 2550 โดยสมมติฐานราคาน้ำมันดิบเบรนท์มีค่าเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ระดับ 98 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล (เทียบกับ 72.5 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล ในปีก่อน) อัตราเงินเฟ้อมีค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 4.8 (จากร้อยละ 2.3 ในปีก่อน) การบริโภคของภาคเอกชนและการลงทุนขยายตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.0 และร้อยละ 5.6 ตามลำดับ (จากที่ต่างก็ขยายตัวร้อยละ 1.4 ในปีก่อน) การใช้จ่ายของรัฐบาลเร่งตัวขึ้น ส่งผลให้การขาดดุลงบประมาณสูงขึ้นเป็นร้อยละ 1.9 ของจีดีพี (จากร้อยละ 1.5 ของจีดีพีในปีก่อน) สำหรับการส่งออกคาดว่าชะลอตัวลงมามีอัตราการขยายตัวร้อยละ 12.5 (จากร้อยละ 18.1 ในปีก่อน) การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 19.5 (เร่งขึ้นจากร้อยละ 9.6 ในปีก่อน) ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงมาที่ 7.7 พันล้านดอลลาร์ฯ (จาก 14.9 พันล้านดอลลาร์ฯในปีก่อน)

อย่างไรก็ตาม แม้เป็นที่คาดหวังว่านโยบายการคลังที่กระตุ้นการขยายตัว และการใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในปีงบประมาณ 2552 (ที่จะเริ่มต้นในเดือนตุลาคม 2551) จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่รายได้ภาคเกษตรในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากราคาสินค้าในตลาดโลกที่สูงขึ้นอย่างมาก อาจช่วยชดเชยผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจอื่นๆได้ในระดับหนึ่ง แต่ความเสี่ยงจากวิกฤติการเงินที่ถือเป็นครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลก และความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของโลก ย่อมเป็นสิ่งที่เศรษฐกิจไทยที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจโลกนี้หลีกเลี่ยงผลกระทบได้ยาก เนื่องจากประเทศไทยมีการพึ่งพาการส่งออกสินค้าและบริการคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 70 ของจีดีพี ขณะที่มีการพึ่งพาการใช้น้ำมันสูงเป็นอันดับต้นในภูมิภาค จากความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้อาจมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำลงกว่าค่ากลางของประมาณการ หากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐและราคาน้ำมันรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ให้กรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2551 ไว้อยู่ในช่วงระหว่างร้อยละ 4.6 -5.2 ภายใต้สมมติฐานที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในช่วงร้อยละ 4.0-5.5