เหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.8 ริคเตอร์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนในวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 ครอบคลุมหลายมณฑลของจีน ได้แก่ เสฉวน กานซู ส่านซี ฉงชิ่ง ยูนนาน ซานสี กุ้ยโจว และหูเป่ย ส่งผลให้มียอดผู้เสียชีวิตจนถึงปัจจุบันพุ่งขึ้นเป็นจำนวนอย่างน้อย 15,000 คน โดยผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดอยู่ในมณฑลเสฉวน นอกจากการสูญเสียชีวิตของผู้คนที่ประเมินมูลค่าไม่ได้แล้ว ระบบการคมนาคม ระบบไฟฟ้าและการสื่อสารต่างๆ ถูกตัดขาด ตลอดจนบ้านเรือน อาคาร และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก นับเป็นเหตุภัยพิบัติครั้งใหญ่ของจีนหนที่ 2 ในปีนี้ หลังจากที่จีนประสบเหตุพายุหิมะถล่มทางตอนใต้ในช่วงปลายเดือนมกราคม-ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วงดังกล่าวชะลอตัวลง
เหตุแผ่นดินไหวในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบให้เกิดภาวะชะงักงันในภาคธุรกิจของมณฑลเสฉวน โดยเฉพาะเมืองเฉิงตูซึ่งเป็นเมืองเอกขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของมณฑลเสฉวน คาดว่าความสามารถของการผลิตภาคเกษตรและอุตสาหกรรมของมณฑลเสฉวนจะได้รับผลกระทบในระดับหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้ผลผลิตภาคการผลิตและภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากระบบคมนาคมขนส่ง การสื่อสารและระบบไฟฟ้าที่ถูกตัดขาด ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว นอกจากนี้ การรื้อถอนซากปรักหักพังและการบูรณะพื้นที่ที่ได้รับเสียหายต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของทางการจีนสำหรับการบูรณะฟื้นฟูในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายในครั้งนี้ รวมถึงเม็ดเงินค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจสอบอาคาร/ตึกสูงที่เหลืออยู่เพื่อเตรียมรองรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของมณฑลเสฉวนได้ในระดับหนึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่น่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนโดยรวมมากนัก ทั้งนี้รายได้ประชาชาติ (จีดีพี) ของมณฑลเสฉวนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.8 ของจีดีพีของจีนทั้งประเทศ การชะลอตัวของเศรษฐกิจของมณฑลเสฉวนจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อจีดีพีของจีนไม่เกินร้อยละ 0.3 ในขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจของจีนโดยรวมในปี 2551 ยังคงขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 9.0 จากไตรมาสแรกของปีนี้ที่ขยายตัวร้อยละ 10.6
ทั้งนี้ มณฑลเสฉวนเป็นมณฑลที่ขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกของจีน และใหญ่เป็นอันดับที่ 9 ของทั้งประเทศจีน จากทั้งหมด 31 มณฑลของจีน รายได้ประชาชาติของมณฑลเสฉวนในปี 2550 ราว 138.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เศรษฐกิจของมณฑลเสฉวนในปี 2550 เติบโตในอัตราร้อยละ 14.2 นับว่าสูงกว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนทั้งประเทศในปี 2550 ที่เติบโตร้อยละ 11.9
เฉิงตูถือเป็นเมืองหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การขนส่งและคมนาคมของจีน และมีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูณ์ประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่ เหล็ก ไททาเนียม ทองแดง ตะกั่ว อลูมิเนียม ทองคำ เงิน ยิปซั่ม ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ส่งผลให้เฉิงตูเป็นฐานการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมหนัก การผลิตอลูมิเนียม และเคมีภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงการแปรรูปอาหาร อีกทั้งเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และสถาบันวิจัยและพัฒนาด้านอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติหลายแห่ง ปัจจุบันเฉิงตูอยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาภาคบริการ โดยเน้นการพัฒนาด้านโลจีสติกส์ การเป็นศูนย์กลางด้านการเงิน และฐานการผลิตภาคบริการที่ทันสมัย
เฉิงตูยังเป็นแหล่งเพาะปลูกสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ที่สำคัญ ได้แก่ พืชเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ข้าว เมล็ดเรฟ (rapeseed) ถั่วลิสง เมล็ดงา ผัก ผลไม้ สมุนไพรจีน และเนื้อหมู กล่าวได้ว่าในระดับมณฑลของจีน มณฑลเสฉวนเป็นแหล่งผลิตธัญพืชมากเป็นอันดับที่ 2 ของจีน และสามารถผลิตเนื้อหมูได้มากเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ ความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตภาคเกษตรของมณฑลเสฉวน คาดว่าจะทำให้อุปทานสินค้าในหมวดอาหารลดลงและกดดันภาวะเงินเฟ้อของจีน โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของจีนในปี 2551 อาจอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6.5-7.5 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.8 ในปีก่อนหน้า ถือว่าเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 12 ปี ซึ่งน่าจะส่งผลให้ธนาคารกลางของจีนยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไป หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราเงินสำรอง (Reserve Requirement Ratio : RRR) อีกร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 16.5 ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไป นับเป็นการปรับขึ้นอัตราเงินสำรองของจีนครั้งที่ 4 ตั้งแต่ต้นปี 2551


