ดัชนีราคาผู้ผลิตพุ่ง … กดดันการดำเนินงานของธุรกิจ

จากรายงานตัวเลขดัชนีราคาสินค้า ในเดือนพฤษภาคม 2551 โดยกระทรวงพาณิชย์ ที่ออกมาสูงเหนือความคาดหมายของทุกฝ่าย สะท้อนแรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเสถียรภาพราคาสินค้าภายในประเทศ โดยนอกเหนือจากอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นไปถึงร้อยละ 7.6 จากร้อยละ 6.2 ในเดือนเมษายน และเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบเกือบ 10 ปีแล้ว ดัชนีราคาผู้ผลิตก็พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปีเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้นจากร้อยละ 12.7 ในเดือนเมษายน ขณะที่ ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 26.5 สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการจัดทำดัชนี ทั้งนี้ ต้นทุนภาคธุรกิจที่พุ่งสูงขึ้นดังกล่าว ถือเป็นระดับใกล้เคียงกับยุควิกฤตการณ์น้ำมันในอดีต

ราคาสินค้าผู้ผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ เป็นสัญญาณเตือนว่าอัตราเงินเฟ้อมีความเสี่ยงที่จะสูงขึ้นไปอีกในไตรมาสถัด ๆ ไป เมื่อผู้ประกอบการไม่สามารถทานทนต่อแรงกดดันต้นทุนต่อไปได้ ทำให้จำเป็นต้องปรับราคาสินค้าขึ้นไปอีก

 นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์แนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ พบว่าสินค้าหลายรายการมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อไป โดยเฉพาะน้ำมันและเหล็ก เป็นต้น ซึ่งถ้าหากราคาปัจจัยการผลิตสำคัญดังกล่าวยังคงเพิ่มขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตโดยเฉลี่ยตลอดทั้งปี 2551 จะปรับตัวสูงขึ้นประมาณร้อยละ 15-18 ขณะที่ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างอาจจะปรับตัวสูงขึ้นประมาณร้อยละ 23-26 สูงขึ้นอย่างมากจากปี 2550 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 และร้อยละ 4.9 ตามลำดับ

 จากทิศทางราคาสินค้าปัจจัยการผลิตดังกล่าว กล่าวได้ว่า ต้นทุนของภาคธุรกิจโดยเฉลี่ยในปี 2551 อาจจะพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งหนึ่ง ดังเช่นปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในยุควิกฤตการณ์ราคาน้ำมัน ครั้งที่ 1 ในช่วงปี 2516-2517 และครั้งที่ 2 ในช่วงปี 2523 ที่ต้นทุนภาคอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้นประมาณร้อยละ 15-18 ขณะที่ต้นทุนภาคก่อสร้างพุ่งสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 20

ท่ามกลางสภาวะดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ธุรกิจที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบรุนแรง ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง ขณะที่ ภาวะค่าครองชีพที่พุ่งสูง คงจะกดดันให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงธุรกิจค้าปลีกด้วยเช่นกัน

จากสัญญาณอันตรายของเสถียรภาพด้านราคา รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับปัญหาเศรษฐกิจและเงินเฟ้อมาเป็นอันดับแรก เนื่องจากหากปล่อยให้สถานการณ์ทางการเมืองยังมีความไม่แน่นอน อาจยิ่งซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจให้ยิ่งชะลอตัวลงไปมากกว่าที่คาด ทั้งนี้ นอกเหนือจากภารกิจในการดูแลราคาสินค้าและแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนแล้ว ภารกิจที่ท้าทายสำหรับรัฐบาลอีกด้านหนึ่ง คือ การดูแลแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการที่ประสบกับภาวะต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบกว่า 2 ทศวรรษ รวมทั้งการเตรียมพร้อมในเชิงนโยบายเพื่อตั้งรับต่อปัญหาต่างๆ ที่จะตามมา หากผลกระทบในภาคธุรกิจมีความรุนแรงกว่าที่คาด