บมจ.ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จับมือผู้รับหมารายใหญ่ไทยรับงานก่อสร้างขยายเหมืองทองคำทองแดงเซโปน สปป.ลาว พร้อมตั้งแผนขยายรับงานคอนกรีตนอกประเทศเพิ่มยอดรายได้ หลังพบภาพรวมงานก่อสร้างภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีแรกยังชะลอตัว ต่างกับภาคตะวันออกที่งานก่อสร้างยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการบริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ “CCP” เปิดเผยถึงสภาวะงานก่อสร้างในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า ผลกระทบจากราคาน้ำมัน ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และปัญหาซับไพร์ม ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและกำลังซื้อของผู้บริโภค ประกอบกับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐบาลยังอยู่ในขั้นตอนการประมูล และขั้นตอนศึกษารายละเอียด จึงทำให้โครงการก่อสร้างของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภาพ รวมยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ดังนั้น เพื่อรักษาระดับรายได้ของบริษัทให้อยู่ในเป้าหมายที่วางไว้ บริษัทจึงมีแผนงานที่จะขยายธุรกิจคอนกรีตไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น ในลักษณะร่วมมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างในประเทศไปร่วมประมูลโครงการก่อสร้างต่างๆ โดยล่าสุด เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2551 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ให้เข้าร่วมงานก่อสร้างในส่วนคอนกรีตผสมเสร็จสำหรับโครงการส่วนต่อขยายของเหมืองเซโปน ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป,ลาว) ซึ่งเป็นเหมืองทองคำ-ทองแดงที่ใหญ่ที่สุดในแขวงสะหวันนะเขต ของ สปป.ลาว
“งานคอนกรีตผสมเสร็จของเหมืองเซโปนนี้ เป็นการรับงานนอกประเทศครั้งที่ 2 ของ CCP หลังจากเคยได้รับเลือกจากชิโนไทยให้ร่วมงานก่อสร้างที่เกาะมัลดีฟ เมื่อปี 2547 โดยขณะนี้ ทีมงานของเราได้ดำเนินการตั้ง Plant คอนกรีตผสมเสร็จในเหมืองเซโปนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งงานก่อสร้างดังกล่าวจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ทั้งนี้ จากประสิทธิภาพของระบบควบคุมคุณภาพการผลิตคอนกรีตผสมเสร็จของ CCP ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เรามีศักยภาพเหนือกว่าผู้ผลิตคอนกรีตรายอื่นจากประเทศเวียดนามและสิงคโปร์ จนทำได้รับเลือกให้ร่วมโครงการก่อสร้างครั้งนี้นั้น จึงทำให้เรามั่นใจว่า คุณภาพผลงานและความสำเร็จของความร่วมมือดังกล่าว จะช่วยให้ CCP มีโอกาสได้รับเลือกให้เข้าร่วมโครงการก่อสร้างเหมือง ในสปป.ลาว ที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในอนาคตอันใกล้นี้” นายชาคริตกล่าว
อย่างไรก็ตาม สภาวะงานก่อสร้างในภาคตะวันออก ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของ CCP พบว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองพัทยาและจังหวัดชลบุรียังขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราขยายตัวของการลงทุนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมเขตภาคตะวันออก ยังเติบโตทรงตัวเท่ากับปีที่ผ่านมา ทำให้ CCP ยังคงสามารถรับงานประมูลได้อย่างต่อเนื่อง จึงได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของธุรกิจก่อสร้างโดยรวมไม่มากนัก โดยขณะนี้ บริษัทมีโครงการขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างดำเนินงานสำหรับธุรกิจคอนกรีต เช่น โรงงาน NTS Steel ของบริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด, ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล เวิร์ล พัทยา, คอนโดมิเนียม เดอะ โคฟ พัทยา, คอนโดมิเนียม วิวทะเล มารีน่า พัทยา, คอนโดมิเนียม เดอะ แซงทัวรี่ หาดวงศ์อำมาตย์ พัทยา เป็นต้น
สำหรับแผนงานในการสร้างยอดรายได้ของบริษัทฯ นอกจากการขยายธุรกิจเพื่อไปรับงานก่อสร้างในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น บริษัทฯ ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีคอนกรีตผสมเสร็จอีกหลายประเภท เพื่อให้สอดรับกับความต้องการใช้งานของกลุ่มลูกค้าทุกประเภท ทั้งลูกค้าโครงการ และลูกค้าเจ้าของบ้าน เช่น คอนกรีตกำลังอัดสูงพิเศษ (Ultra High Strength Concrete) สำหรับอาคารที่ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงพิเศษ เพื่อวัตถุประสงค์เรื่องความสวยงาม เพิ่มพื้นที่ใช้สอย หรือลดต้นทุนในการก่อสร้าง, คอนกรีตปรับระดับตัวเอง (Self Leveling Concrete) สำหรับงานซ่อมแซมพื้นผิว, คอนกรีตทนเกลือคลอไรด์ (Anti Chloride Concrete) สำหรับงานชายฝั่งทะเล เป็นต้น อีกทั้ง บริษัทฯ มีแผนงานที่จะเพิ่มช่องทางจำหน่ายคอนกรีตผสมเสร็จ CCP ผ่านตัวแทนร้านค้าวัสดุก่อสร้างรายย่อยเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย