พลตำรวจโทวรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 7 กล่าวว่า “ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าคดีที่มีหมายจับนั้นมีอยู่มากมาย การติดตามจับกุมคนร้ายจึงจำเป็นต้องเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจประสงค์จะตรวจสอบประวัติของบุคคลต้องสงสัยก็จะต้องโทรเข้าไปยังศูนย์ข้อมูล ซึ่งบางครั้งล่าช้า ดังนั้นจึงร่วมมือกับเอไอเอส พัฒนาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถส่ง SMS ไปยังศูนย์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบประวัติบุคคลได้แบบ Real Time ด้วยแนวคิด “สายสืบมือถือ”
นายวิเชียร เมฆตระการ, กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนการทำงานของตำรวจด้วยเทคโนโลยีสื่อสารไร้สาย โดยครั้งนี้เราได้นำ SMS เข้ามาประยุกต์ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย ดังนั้นเราจึงพัฒนาซอฟต์แวร์ให้สามารถส่ง SMS แบบ 2 ทาง เพื่อดึงข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลของตำรวจมาที่มือถือภายใน 3-5 วินาที ทำให้ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่บริเวณไหนก็จะสามารถตรวจสอบข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับแนวคิดของเอไอเอส ที่ต้องการอยู่เคียงข้างคุณและพร้อมมอบความช่วยเหลือให้ตลอดเวลา”
“สายสืบมือถือ” เป็นโครงการต้นแบบที่สำนักงานตำรวจภูธร ภาค 7 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 8 จังหวัด ประกอบด้วย สุพรรณบุรี, กาญจนบุรี, นครปฐม, ราชบุรี, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, เพชรบุรี และ ประจวบคีรีขันธ์ พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ตรวจสอบบุคคลที่โดนหมายจับ หรือ ตราวจสอบรถสูญหาย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ ประชาชนที่ร่วมเป็นอาสาสมัครในโครงการ สามารถส่ง SMS หมายเลขบัตรประชาชน, ทะเบียนรถ ไปยังหมายเลข 4514000 โดยจะมีข้อความตอบกลับมาแบบ Real Time อันจะทำให้กระบวนการติดตาม จับกุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการ สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 100% และคาดว่าจะขยายผลของโครงการไปยังหน่วยงานตำรวจทั่วประเทศในเร็วๆนี้
พลเมืองดีที่สนใจเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในโครงการ “สายสืบมือถือ” นี้ สามารถติดต่อไปที่หมายเลขโทรศัพท์ 034-256486, 034-256946 หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.police7.go.th