ในวันที่ 8 ตุลาคม 2551 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีกำหนดจะประชุมรอบที่ 7 ของปีนี้เพื่อพิจารณาทิศทางนโยบายการเงิน หรืออัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 3.75 หลังจากที่ กนง.ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อครั้งในการประชุมสองรอบก่อนหน้า ทั้งนี้ จากความเสี่ยงด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นชัดเจน ในขณะที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีความน่าวิตกกังวลลดน้อยลง ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า กนง.อาจโน้มเอียงที่จะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับที่ค่อนข้างต่ำเช่นปัจจุบันในการประชุมวันที่ 8 ตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นความเสี่ยงทางด้านเครดิตในตลาดการเงินโลกที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นอีกปัจจัยที่ กนง.คงจะต้องเฝ้าติดตามและประเมินผลกระทบสำหรับการพิจารณานโยบายอัตราดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า
มุมมองของศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ความเสี่ยงด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นชัดเจน จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2551 บ่งชี้ว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญปรับตัวในทิศทางที่ชะลอลงแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การผลิตภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งเมื่อมองไปในระยะข้างหน้า เครื่องชี้เศรษฐกิจส่วนใหญ่ก็อาจยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวในทิศทางที่ไม่สดใส โดยเฉพาะการส่งออก ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญๆ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และอาเซียน ในขณะเดียวกัน ปัญหาวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ที่มีทีท่าว่าจะขยายลุกลามไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก และคงจะต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรกว่าที่ปัญหาจะได้รับการเยียวยาแก้ไขจนกลับมาสู่ภาวะปกติ ก็อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในทางอ้อมผ่านการถดถอยลงของภาวะความเชื่อมั่น การเคลื่อนย้ายของเงินลงทุนที่รวดเร็ว รวมทั้งการปรับตัวของตลาดเงิน ตลาดทุน และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ผันผวน นอกจากนี้ ปัจจัยการเมืองในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน ก็เป็นอีกปัจจัยลบที่อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นและกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าด้วย ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ต่อเนื่องถึงครึ่งแรกของปี 2552 หลังจากที่ขยายตัวร้อยละ 5.7 ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
แรงกดดันเงินเฟ้อยังอยู่ในเกณฑ์สูง แต่มีแนวโน้มชะลอตัวลง แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยจะยังปรับตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างสูง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปล่าสุดอยู่ที่ร้อยละ 6.0 (year-on-year) ในเดือนกันยายน 2551 และมีค่าเฉลี่ยที่ร้อยละ 7.3 ในช่วงไตรมาสที่ 3/2551 แต่อัตราเงินเฟ้อดังกล่าวก็ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนและไตรมาสก่อนหน้า อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสดและพลังงาน ในเดือนกันยายน ก็ชะลอตัวลงเช่นกัน และมีระดับที่ต่ำกว่าเพดานกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของ ธปท.ที่ร้อยละ 0-3.5 เป็นเดือนที่สองติดต่อกันด้วย ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ภาวะน้ำท่วมและเทศกาลกินเจอาจทำให้ราคาสินค้าบางประเภทปรับตัวสูงขึ้นในเดือนตุลาคม แต่อัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปีนี้อาจมีแนวโน้มชะลอตัวลงมาอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวลมากเท่าในอดีต หากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังมีแนวโน้มทรงตัวใกล้ระดับปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแรงกดดันเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลง ก็น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อภาวะค่าครองชีพของประชาชน ตลอดจนเอื้อให้ทางการไทยมีทางเลือกมากขึ้นในการดำเนินนโยบายเพื่อรับมือกับความผันผวนจากภายนอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงระดับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 12 เดือนที่แท้จริง ที่ยังมีค่าติดลบอยู่ที่ร้อยละ 4.18 ในเดือนสิงหาคม 2551 และการที่ กนง.เพิ่งจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาในการประชุมสองรอบก่อนหน้า (16 กรกฎาคม และ 27 สิงหาคม) ก็อาจจะเป็นการเร็วเกินไปที่ กนง.จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมวันที่ 8 ตุลาคมนี้
ความเสื่อมถอยของสถานะด้านเครดิต อาจทำให้ธนาคารกลางหลักจำต้องลดดอกเบี้ยลงในไม่ช้า จากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาวะสภาพคล่องในตลาดการเงินทั่วโลก และกำลังลุกลามไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริง ดังสะท้อนได้จากการระดมทุนของภาคเอกชนที่ประสบกับความยากลำบากมากขึ้น หลังจากที่สถาบันการเงินมีความระมัดระวังมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินก็ยังพุ่งขึ้นตามภาวะตลาดที่ตึงตัว ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้ว่าในที่สุดแล้วทางการสหรัฐฯจะลงมติอนุมัติแผนกอบกู้ภาคการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ฯ แต่การผ่านแผนความช่วยเหลือดังกล่าวก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ซึ่งกระบวนการคลี่คลายปัญหาในภาคการเงิน ยังคงต้องอาศัยระยะเวลาในการดำเนินการกว่าที่จะทยอยปรากฏผล ดังนั้น ในระหว่างนี้จนกว่าจะถึงวาระปกติสำหรับการพิจารณานโยบายอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 28-29 ตุลาคม 2551 และของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2551 นั้น หากสถานการณ์ทางด้านเครดิตปรับตัวไปในทิศทางที่เลวร้ายลง จนส่งผลกระทบต่อภาวะสภาพคล่องของภาคธุรกิจเอกชน หรืออัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินพุ่งสูงขึ้นไม่หยุด (ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่แผนกอบกู้ภาคการเงินไม่ผ่านการลงมติของสภาคองเกรส) ก็มีความเป็นไปได้ที่ทั้งเฟดและอีซีบีอาจจะต้องตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงฉุกเฉินในไม่ช้านี้ได้
โดยสรุป คงต้องยอมรับว่า สถานะทางด้านเครดิตของตลาดการเงินโลกมีการปรับตัวไปในทิศทางที่แย่ลงอย่างรวดเร็ว และยากที่จะประเมินผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทยได้อย่างแน่ชัดในระยะนี้ อย่างไรก็ตาม จากการที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ในอัตราที่น่าพอใจ ประกอบกับสถานะของสถาบันการเงินในประเทศก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง รวมทั้งสภาพคล่องในระบบการเงินไทยก็ยังคงมีระดับที่ค่อนข้างสูงและไม่ได้อยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะประสบกับปัญหา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ณ ขณะนี้ ผลกระทบจากปัญหาการเงินโลกต่อเศรษฐกิจไทยยังคงไม่รุนแรงถึงระดับวิกฤต ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจโน้มเอียงที่จะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ไว้ที่ร้อยละ 3.75 ตามเดิมในการประชุมวันที่ 8 ตุลาคม 2551 นี้ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงระดับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 12 เดือนที่แท้จริงที่ยังมีค่าติดลบอยู่ที่ร้อยละ 4.18 ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กระนั้นก็ดี การประเมินน้ำหนักความเสี่ยงของ กนง. เพื่อพิจารณานโยบายอัตราดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า คงมีแนวโน้มที่จะให้น้ำหนักมากขึ้นกับความเสี่ยงด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อผ่อนคลายลง ซึ่งก็สอดคล้องกับคำแถลงของรองผู้ว่าการ ธปท. เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ภายใต้สถานการณ์ทางด้านเครดิตในตลาดการเงินโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นปัจจุบัน ความอ่อนไหวและเปราะบางของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ อาจนำมาสู่ความจำเป็นที่ธนาคารกลางของประเทศเหล่านั้น เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจำต้องพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างฉุกเฉินก่อนหน้าการประชุมตามวาระปกติ ซึ่งประเด็นความถดถอยลงของสถานการณ์ดังกล่าว ย่อมเป็นปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ และคงจะมีอิทธิพลต่อการให้น้ำหนักความเสี่ยงเพื่อพิจารณานโยบายอัตราดอกเบี้ยของ กนง.ในระยะถัดไปด้วยเช่นกัน


