เศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 3 ปี 2551 ชะลอตัวเหลือ 9% … ต่ำสุดในรอบ 5 ปี : ปัจจัยลบจากวิกฤตการเงินโลก

เศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 3 ของในปี 2551 ชะลอตัวเหลือตัวเลขหลักเดียวที่ร้อยละ 9.0 ถือเป็นอัตราขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีของจีน ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้เติบโตชะลอลงเหลือร้อยละ 9.9 จากช่วงเดียวกันของปี 2550 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 10.4 ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2551 มีแนวโน้มชะลอเหลือร้อยละ 9.7 ลดลงร้อยละ 2.2 จากที่เติบโตร้อยละ 11.9 ในปี 2550

จีนเผชิญปัจจัยลบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา โดยเฉพาะวิกฤตภาคการเงินสหรัฐฯ ที่รุนแรงมากขึ้นและลุกลามให้เกิดปัญหาสินเชื่อตึงตัวทั่วโลก ทำให้ประเทศต่างๆ รวมทั้งจีนต้องปรับลดดอกเบี้ยลง เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินในประเทศ โดยธนาคารจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นโยบายระยะเวลา 1 ปี (Benchmark Interest Rate) ลง 2 ครั้งๆ ละร้อยละ 0.27 ในระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม 2551 ซึ่งถือการปรับลดดอกเบี้ยของจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ส่งผลให้อัตราเงินกู้นโยบายของจีนลดลงจากร้อยละ 7.47 เหลือร้อยละ 7.20 ในวันที่ 16 กันยายน 2551 และเหลือร้อยละ 6.93 ในวันที่ 9 ตุลาคม 2551 สำหรับในเดือนตุลาคมนี้ ธนาคารกลางจีนยังได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงร้อยละ 0.27 ด้วย ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของจีนลดลงจากร้อยละ 4.14 เหลือร้อยละ 3.87 ในวันที่ 9 ตุลาคม 2551

นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนได้ปรับลดสัดส่วนเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์ (Reserve Requirement Ratio : RRR) ลง 2 ครั้งในเดือนกันยายน-ตุลาคม จากเดิมร้อยละ 17.5 เป็นร้อยละ 16.5 ในวันที่ 25 กันยายน 2551 และร้อยละ 16 ในวันที่ 15 ตุลาคม 2551 นโยบายผ่อนคลายทางการเงินข้างต้นของจีนเพื่อกระตุ้นภาคเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยสนับสนุนให้ภาคธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่องปล่อยกู้มากขึ้นและช่วยให้ต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจปรับลดลง คาดว่าทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นภาคเศรษฐกิจเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีนี้ทั้งมาตรการทางการเงินและมาตรการทางการคลัง เนื่องจากดัชนีทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกสะท้อนถึงภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาคการส่งออก ภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ในขณะที่ภาวะเงินเฟ้อของจีนวัดโดยดัชนีราคาผู้ผลิต (CPI) ในเดือนกันยายนชะลอลงเหลือร้อยละ 4.6 จากที่อยู่ในอัตราร้อยละ 4.9 ในเดือนสิงหาคม ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือนกันยายนก็ชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 9.1 เทียบกับร้อยละ 10.1 ในเดือนสิงหาคม

การส่งออกของจีนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้เติบโตชะลอลงเหลือร้อยละ 22 (yoy) เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 (yoy) ที่ขยายตัวร้อยละ 27 (yoy) หากเทียบเป็นรายเดือนพบว่า การส่งออกของจีนในเดือนกันยายน 2551 นี้ ชะลอตัวต่อเนื่องจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีอัตราเติบโตราวร้อยละ 21 ใกล้เคียงกับเดือนสิงหาคม เทียบกับช่วง 7 เดือนแรกก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 26.8 (yoy) ส่วนการนำเข้าของจีนในเดือนกันยายนก็ชะลอตัวลงค่อนข้างมาก เนื่องจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนที่อ่อนแรงลงตามภาคส่งออก ทำให้ความต้องการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางของจีนชะลอลงด้วย โดยการนำเข้าในเดือนกันยายนที่ผ่านมาเติบโตร้อยละ 20.9 (yoy) เทียบกับการนำเข้าในช่วง 8 เดือนแรกที่ขยายตัวถึงร้อยละ 30 (yoy)

 ขณะที่ภาคเศรษฐกิจภายในของจีนก็ประสบภาวะอ่อนแรงลงเช่นกัน การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนนี้ชะลอลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าลงมาเหลือร้อยละ 11.4 (yoy) จากที่เติบโตร้อยละ 12.8 ในเดือนสิงหาคม 2551 เนื่องจากภาคส่งออกที่อ่อนแรงลง ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกชะลอลงตามไปด้วย ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ในจีนลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนกันยายน เนื่องจากความต้องการจับจ่ายใช้สอยของคนจีนลดลง ตามภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ในจีนลดลงร้อยละ 1.44 ในเดือนกันยายน 2551 จากช่วงเดียวกันของปี 2550 ขณะที่เดือนสิงหาคม 2551 ยอดขายรถลดลงร้อยละ 6.24 ซึ่งนับเป็นยอดขายรถยนต์รายเดือนที่ลดลงครั้งแรกตั้งแต่ต้นปี 2548 ส่วนอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และวัสดุก่อสร้างชะลอลงตามภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแรงลง ทั้งนี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองสำคัญๆ 70 แห่งของจีนในเดือนสิงหาคม 2551 มีอัตราเติบโตชะลอลงเหลือร้อยละ 5.3 (yoy) จากที่ขยายตัวร้อยละ 7.0 ในเดือนก่อนหน้า โดยยอดขายบ้านในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ลดลงร้อยละ 55.5 และร้อยละ 38.5 ตามลำดับ ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรอ่อนแรงลงเช่นกัน โดยเฉพาะการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับภาคส่งออกและภาคอสังหาริมทรัพย์

 ผลจากวิกฤตการเงินโลกที่ส่งผลให้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหลักทรัพย์ในจีนเช่นเดียวกับประเทศต่างๆ ในเอเชีย โดยนักลงทุนต่างชาติต่างดึงเงินทุนกลับประเทศเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินที่ประสบปัญหาตึงตัวจากวิกฤตการเงินโลก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียปรับลดลงอย่างหนัก ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Composite Index) ของจีนในปัจจุบันปรับลดลงราวร้อยละ 60.6 เมื่อเทียบกับระดับปิด ณ สิ้นปี 2550 การปรับลดลงของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จีนส่งผลให้ความมั่งคั่งของนักลงทุนจีนปรับลดลง ทำให้การบริโภคและการลงทุนของนักลงทุนจีนชะลอลงด้วย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงติดต่อกัน 5 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2550 ที่เติบโตร้อยละ 12.2 จนเหลือร้อยละ 9.0 ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ส่งผลกระทบต่อแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจเอเชียและไทยด้วย เนื่องจากจีนถือได้ว่าเป็นโรงงานสำคัญของโลกและมีบทบาทสำคัญด้านการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเอเชียเพื่อใช้สำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรมในจีนทั้งสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง เพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศในเอเชีย ภาคเศรษฐกิจภายในของจีนที่อ่อนแรงลงทำให้ความต้องการนำเข้าของจีนที่ชะลอลงตามไปด้วย ทำให้ประเทศต่างๆ ในเอเชียและไทยที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของจีนต้องประสบปัญหาภาค ส่งออกที่ชะลอลงด้วย

สำหรับประเทศไทย การส่งออกของไทยไปจีนในเดือนกันยายนที่ผ่านมาเติบโตชะลอลงเป็นเลขหลักเดียวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 จากในช่วง 7 เดือนก่อนหน้านี้ที่การส่งออกไปจีนเติบโตเป็นเลข 2 หลักมาโดยตลอด โดยการส่งออกในเดือนกันยายนเติบโตชะลอลงเหลือร้อยละ 6.1 (yoy) และเดือนสิงหาคมที่การส่งออกไปจีนชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 1.4 (yoy) การส่งออกไปจีนที่ชะลอลงค่อนข้างมากในเดือนสิงหาคม-กันยายน ส่งผลให้การส่งออกของไทยไปจีนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ชะลอลงเหลือร้อยละ 22.37 เทียบกับช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ที่ขยายตัวร้อยละ 29 และการส่งออกของไทยไปจีนในปี 2550 ที่เติบโตร้อยละ 26.38 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปจีนในเดือนกันยายน 2551 ซึ่งเป็นสินค้าที่จีนใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมมีมูลค่าส่งออกลดลง ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ โดยมีอัตราลดลงร้อยละ 14.3 ร้อยละ 5.9 และร้อยละ 39.1 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเงินเฟ้อของจีนที่ชะลอลงทั้งดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิต คาดว่าจะส่งผลให้ทางการจีนสามารถใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งมาตรการทางการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น และมาตรการด้านการคลังโดยใช้จ่ายเงินลงทุนในโครงการก่อสร้างต่างๆ รวมถึงนโยบายภาษีเพื่อช่วยเหลือภาคส่งออกและกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแรงลง ซึ่งถือเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญที่มีบทบาทต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน และหากพิจารณาเสถียรภาพด้านต่างประเทศของจีนถือว่า เศรษฐกิจจีนยังมีความแข็งแกร่ง เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีเงินสำรองต่างประเทศสูงที่สุดในโลก มูลค่าราว 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกันยายน 2551 ซึ่งสูงกว่าหนี้ต่างประเทศที่มีมูลค่า 342 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ค่อนข้างมาก โดยหนี้ต่างประเทศของจีนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.6 ของจีดีพี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่จีนมีดุลงบประมาณที่เกินดุล ทำให้ทางการจีนสามารถใช้จ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัวในขณะนี้ได้

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของทางการจีนคาดว่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 นี้ไม่ให้ชะลอตัวลงมากนัก ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนทั้งปี 2551 น่าจะเติบโตได้ในอัตราต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 9.7 แม้ว่าจะชะลอลงจากที่เติบโตร้อยละ 11.9 ในปี 2550 ซึ่งเศรษฐกิจจีนที่เติบโตได้ต่อเนื่องจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเอเชียและไทยให้ขยายตัวต่อไปได้ผ่านแรงขับเคลื่อนของภาคส่งออกไปจีน

สรุป
เศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 นี้เติบโตเหลือตัวเลขหลักเดียวที่ร้อยละ 9.0 เป็นอัตราชะลอตัวติดต่อกัน 5 ไตรมาสของจีน และเป็นอัตราขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 ปีของจีน ต้นตอจากภาวะซบเซาของเศรษฐกิจโลกที่รุนแรงมากขึ้นที่มีสาเหตุจากวิกฤตภาคการเงินโลกที่ส่งผลกระทบให้เกิดสภาพล่องตึงตัวไปทั่วโลก และกระทบไปถึงภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศต่างๆ ที่เป็นตลาดส่งออกหลักของจีนให้ชะลอตัวลงไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อภาคส่งออกของจีนที่ชะลอลง รวมถึงเศรษฐกิจภายในของจีนทั้งการบริโภคและการลงทุนที่อ่อนแรงลงด้วย โดยการส่งออกของจีนในเดือนกันยายน 2551 นี้ ชะลอตัวต่อเนื่องจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีอัตราเติบโตราวร้อยละ 21 ใกล้เคียงกับเดือนสิงหาคม เทียบกับช่วง 7 เดือนแรกก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 26.8 (yoy) ส่วนการนำเข้าของจีนในเดือนกันยายนก็ชะลอตัวลงค่อนข้างมาก โดยการนำเข้าในเดือนกันยายนที่ผ่านมาเติบโตร้อยละ 20.9 (yoy) เทียบกับการนำเข้าในช่วง 8 เดือนแรกที่ขยายตัวถึงร้อยละ 30 (yoy)

การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนนี้ชะลอลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าลงมาเหลือร้อยละ 11.4 (yoy) จากที่เติบโตร้อยละ 12.8 ในเดือนสิงหาคม 2551 (yoy) ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแรงลง โดยราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองสำคัญๆ 70 แห่งของจีนมีอัตราเติบโตชะลอลงเหลือร้อยละ 5.3 (yoy) จากที่ขยายตัวร้อยละ 7.0 ในเดือนก่อนหน้า โดยยอดขายบ้านในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ลดลงร้อยละ 55.5 และร้อยละ 38.5 ตามลำดับ ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรอ่อนแรงลงเช่นกัน โดยเฉพาะการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับภาคส่งออกและภาคอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติดึงเงินลงทุนออกจากตลาดหลักทรัพย์จีนเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินที่กำลังตึงตัว ทำให้ความมั่งคั่งของนักลงทุนจีนลดลง และส่งผลซ้ำเติมต่อภาคการบริโภคและการลงทุนในจีน

สัญญาณเงินเฟ้อของจีนวัดโดยดัชนีราคาผู้บริโภคได้ชะลอลงเหลือร้อยละ 4.6 ในเดือนกันยายน 2551 และดัชนีราคาผู้ผลิตได้ชะลอลงเหลือร้อยละ 9.1 ในเดือนกันยายน 2551 และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้เนื่องจากราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ชะลอตัวลงตามภาวะซบเซาของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ทางการจีนสามารถดำเนินนโยบายทางการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในได้มากขึ้น โดยคาดว่าทางการจีนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีนี้และลดอัตราเงินสำรองของธนาคาพาณิชย์ด้วย เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินและช่วยให้ต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจปรับลดลง รวมถึงมาตรการทางการคลังที่เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐมากขึ้น และใช้มาตรการทางภาษีกระตุ้นภาคส่งออกและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในภาวะชะลอตัว โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ เงินสำรองต่างประเทศของจีนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกราว 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกันยายน 2551 ขณะที่จีนมีดุลงบประมาณที่เกินดุล ทำให้ทางการจีนสามารถใช้จ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัวในขณะนี้ได้

ความต้องการนำเข้าของจีนที่ชะลอลงตามภาวะซบเซาของภาคส่งออก ทำให้ประเทศเอเชียและไทยที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของจีนต้องประสบปัญหาภาคส่งออกไปจีนที่ชะลอลงด้วย สำหรับประเทศไทย การส่งออกของไทยไปจีนในเดือนกันยายนที่ผ่านมาเติบโตชะลอลงเป็นเลขหลักเดียวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 จาก 7 เดือนก่อนหน้านี้ที่เติบโตเป็นเลข 2 หลักมาโดยตลอด โดยการส่งออกในเดือนกันยายนเติบโตร้อยละ 6.1 (yoy) ในขณะที่การส่งออกในเดือนสิงหาคมเติบโต ร้อยละ 1.4 (yoy) ส่งผลให้การส่งออกของไทยไปจีนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ชะลอลงเหลือร้อยละ 22.37 เทียบกับช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ที่ขยายตัวร้อยละ 29 และในปี 2550 ที่การส่งออกของไทยไปจีนเติบโตร้อยละ 26.38 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปจีนในเดือนกันยายน 2551 ที่มีมูลค่าส่งออกลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ โดยมีอัตราลดลงร้อยละ 14.3 ร้อยละ 5.9 และร้อยละ 39.1 ตามลำดับ ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่จีนใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม มาตรการต่างๆ ที่กระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนให้เติบโตต่อเนื่องในปี 2551 นี้ แม้ว่าอัตราเติบโตจะชะลอลงก็ตาม และคาดว่าจะช่วยผลักดันภาคส่งออกของประเทศต่างๆ ในเอเชียและไทยให้เติบโตต่อเนื่อง ในภาวะที่ตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปประสบปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวรุนแรง โดยจีนถือได้ว่าเป็นโรงงานสำคัญของโลกและมีบทบาทสำคัญด้านการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเอเชียเพื่อใช้สำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั้งสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง และส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศในเอเชีย