นับเป็นปีที่ 14 แล้ว ที่วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมของเศรษฐีหุ้นในปี 2551 ซึ่งวัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศที่ถือหุ้นสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป ตามการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุดก่อนวันที่ 30 กันยายน 2551 จำนวน 5,095 ราย มีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวมทั้งสิ้น 397,901 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 ถึง 78,285 ล้านบาท หรือลดลง 16.44%
ความมั่งคั่งของเศรษฐีหุ้นไทยที่มีมูลค่าลดลงถึงกว่า 78,000 ล้านบาทในปีนี้ เนื่องมาจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณมูลค่าการถือครองหุ้นของบรรดาเศรษฐีหุ้นประจำปี 2551 นั้นปรับตัวลดลงถึง 248.96 จุดจากปี 2550 โดยปรับลงมาอยู่ที่ระดับ 596.94 จุด ลดลง 29.45%% ซึ่งเป็นผลจากวิกฤติการเงินโลกและปัญหาการเมืองภายในประเทศ
สำหรับผลการจัดอันดับในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนธันวาคม 2551 ปรากฏว่า ตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นประจำปี 2551 ได้แก่ อนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บิ๊กบอสแห่งวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้สร้างสถิติใหม่ด้วยการรักษาตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นไว้ได้อีกครั้งเป็นปีที่ 6 โดยถือครองหุ้นมูลค่าสูงสุดรวม 14,657.45 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) 23.98% มูลค่า 14,633.23 ล้านบาท และ บมจ.แมนดารินโฮเต็ล (MANRIN) 1.67% มูลค่า 4.21 ล้านบาท
สำหรับเส้นทางการครองตำแหน่งเศรษฐีหุ้นไทยของอนันต์นั้น เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2537 มีมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 21,680.33 ล้านบาท หลังจากนั้นก็ทิ้งห่างไป 7 ปี จึงได้กลับมาติดอันดับหนึ่งอีกครั้งในปี 2545 ถือครองหุ้นมูลค่า 9,858.16 ล้านบาท และปี 2546 ถือครองหุ้นมูลค่า 16,373.37 ล้านบาท เว้นไป 2 ปีก็ทวงแชมป์กลับคืนมา โดยครั้งนี้อยู่ในอันดับหนึ่งติดต่อกัน 3 ปี คือปี 2549 ถือครองหุ้นมูลค่า 13,139.86 ล้านบาท ปี 2550 ถือครองหุ้นมูลค่า 13,230.23 ล้านบาท และในปี 2551 ที่ยังถือครองหุ้นมูลค่าสูงสุดถึง 14,657.45 ล้านบาท
ส่วนเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ยังเป็นของ ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ แห่งพฤกษาเรียลเอสเตท หรือ PS ซึ่งครองตำแหน่งนี้ติดต่อกัน 3 ปีแล้ว โดยปีนี้ถือครองหุ้นมูลค่ารวม 9,599.16 ล้านบาท จากการถือหุ้น PS ในสัดส่วน 61.85% รวยลดลง 1,554.79 ล้านบาท หรือ 13.94% เนื่องจากราคาหุ้น PS ได้ปรับตัวลดลงถึง 13.93%
สำหรับเศรษฐีหุ้นอันดับ 3 ก้าวขึ้นมาจากอันดับ 4 เมื่อปีที่แล้ว ได้แก่ นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ หรือหมอเสริฐ แห่งบางกอกแอร์เวย์ส โดยถือหุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) 13.55% และ บมจ.โรงพยาบาลนนทเวช (NTV) 0.79% รวมมูลค่า 5,111.20 ล้านบาท ลดลง 1,167.80 ล้านบาท หรือ 18.60% เศรษฐีหุ้นอันดับ 4 ไต่ขึ้นจากอันดับ 8 เมื่อปีที่แล้ว ได้แก่ ประวิทย์ มาลีนนท์ แห่งช่อง 3 โดยถือครองหุ้น บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) 11.42% มูลค่ารวม 4,864.92 ล้านบาท รวยลดลง 433.96 ล้านบาท หรือ 8.19%
ด้านนักลงทุนรายใหญ่ อย่าง นิติ โอสถานุเคราะห์ ทายาท สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ แห่งโอสถสภา ไต่อันดับเศรษฐีหุ้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จากอันดับ 10 ในปี 2549 มาอยู่ในอันดับ 9 เมื่อปี 2550 และขึ้นมาอยู่ในอันดับ 5 ในปี 2551 โดยปีนี้นิติลงทุนในหุ้นทั้งหมด 16 บริษัท รวมมูลค่าหุ้นที่ถือครองทั้งสิ้น 4,372.48 ล้านบาท ลดลง 901.70 ล้านบาท หรือ 17.10% เนื่องจากราคาหุ้นที่ถือเกือบทั้งหมดปรับตัวลดลงในปีที่ผ่านมา
เช่นเดียวกันกับเศรษฐีหุ้นอันดับ 6 ที่ตกเป็นของ พวงพันธุ์ บูลศักดิ์ นักลงทุนรายใหญ่อีกราย ที่ก้าวกระโดดจากอันดับ 148 เมื่อปีที่แล้ว โดยถือครองหุ้นรวมมูลค่า 3,776.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 3,177.67 ล้านบาท หรือ 530.27% ประกอบด้วย บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE) ที่ถือหุ้นสูงสุดเป็นอันดับ 1 คือ 12.94% และถือหุ้นเป็นอันดับ 2 ใน บมจ.บลิส-เทล (BLISS) 4.98% นอกจากนี้ ยังถือหุ้น บมจ.ไอ.อี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล (IEC) 8.16% และ บมจ.ซี.ไอ.กรุ๊ป (CIG) 3.67%
สำหรับนิจพร จรณะจิตต์ พี่สาวของ เปรมชัย กรรณสูต บิ๊กบอสอิตาเลี่ยนไทย ยังรักษาอันดับ 7 ไว้ได้เป็นปีที่ 3 โดยถือหุ้นมูลค่ารวม 3,631 ล้านบาท ลดลง 1,774.28 ล้านบาท หรือ 32.82% ประกอบด้วย บมจ.อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) 11.03% บมจ.โรงแรมโอเรียนเต็ล (OHTL) 21.91% และ บมจ.โพส พับบลิชชิ่ง (POST) 2.52%
เจ้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ แกรมมี่ อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ปีนี้ขยับขึ้นมาเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 8 หลังจากหล่นไปอยู่ในอันดับ 25 เมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากปีนี้ราคาหุ้น บมจ.แกรมมี่ (GRAMMY) ที่ถืออยู่ 55.34% ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 31.92% ทำให้มูลค่าหุ้นที่ถือครองเพิ่มขึ้นเป็น 3,525.75 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นถึง 1,165.77 ล้านบาท หรือ 49.40%
เช่นเดียวกับประชุม มาลีนนท์ ที่ก้าวขึ้นจากอันดับ 12 มาเป็นเศรษฐีหุ้นในอันดับ 9 รวย 3,390.01 ล้านบาท จากการถือหุ้น บมจ.บีอีซี เวิล์ด (BEC) 7.86% บมจ.ศิครินทร์ (SKR) 3.87% และ บมจ.ชูไก (CRANE) 0.71% ตามติดด้วยเศรษฐีหุ้นอันดับ 10 อัมพร มาลีนนท์ ที่ไต่ขึ้นมาจากอันดับ 13 เมื่อปีที่แล้ว รวย 3,363.08 ล้านบาท ถือหุ้น BEC 7.86% และ SKR 1.60%
ทั้งนี้นอกจากประชุม และอัมพร มาลีนนท์ ยังมีเศรษฐีหุ้นที่เป็นเครือญาติในตระกูลมาลีนนท์ เจ้าของไทยทีวีสีช่อง 3 ได้แก่ ประวิทย์ รัตนา ประสาร นิภา ปิยวดี สกลศรี แคทลีน และเทรซีแอนน์ มาลีนนท์ ซึ่งเมื่อรวมมูลค่าหุ้นของเครือญาติทั้ง 10 คนแล้ว ส่งผลให้ตระกูลมาลีนนท์ครองอันดับ 1 ของตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยได้อีกครั้งในปีนี้ โดยมีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวม 24,426.93 ล้านบาท ลดลง 2,045.23 ล้านบาท หรือ 7.73% ซึ่งหุ้นที่ตระกูลมาลีนนท์ถือครอง ได้แก่ ถือหุ้น บมจ.บีอีซี เวิล์ด (BEC) บมจ.ศิครินทร์ (SKR) บมจ.ซีวีดี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (CVD) และบมจ.ไอที ซิตี้ (IT)
สำหรับตระกูลอัศวโภคิน ยังคงรักษาอันดับ 2 ไว้ได้อีกปีหนึ่ง จากการถือหุ้นของธุรกิจในตระกูล ได้แก่ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) บมจ.แมนดาริน โฮเต็ล (MANRIN) บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) และ บมจ.เอพี พร๊อพเพอร์ตี้ (AP) ของ 7 เครือญาติ อนันต์ อนุพงษ์ ทรงพล บุญทรง สุดา อภิชิต และอาชวิน อัศวโภคิน รวมมูลค่าหุ้นที่ตระกูลอัศวโภคินถือครองทั้งสิ้น 17,684.70 ล้านบาท ลดลง 156.17 ล้านบาท หรือ 0.88%
อันดับ 3 เป็นของตระกูลวิจิตรพงศ์พันธุ์ เจ้าของโครงการหมู่บ้านจัดสรรแบรนด์ “พฤกษา” ที่ก้าวขึ้นมาจากอันดับ 4 เมื่อปีที่แล้ว โดยเป็นการถือหุ้น บมจ.พฤกษา (PS) ร่วมกันของครอบครัววิจิตรพงศ์พันธ์ นำโดย ทองมา และภรรยา ทิพย์สุดา รวมทั้งทายาท มาลินี-ชัญญา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รวมมูลค่า 11,409.66 ล้านบาท ลดลง 1,848.04 ล้านบาท หรือ 13.94%
ส่วนตระกูลจิราธิวัฒน์ แห่งเซ็นทรัล ซึ่งมีเครือญาติในตระกูลที่ติดอันดับเศรษฐีหุ้นมากที่สุดถึง 25 คน ปีนี้อยู่ในอันดับ 4 โดยถือหุ้นรวมมูลค่า 10,916.73 ล้านบาท ลดลง 5,174.62 ล้านบาท หรือ 32.16% โดยหุ้นที่กลุ่มจิราธิวัฒน์ถือส่วนใหญ่ จะเป็นหุ้นของธุรกิจในตระกูล เช่น บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN), บมจ.โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา (CENTEL), บมจ.บิ๊กซีซูเปอร์เซนเตอร์ (BIGC), บมจ.เอบิโก้โฮลดิ้ง (ABICO) และ บมจ.ธนมิตร แฟคตอริ่ง (DM)
และอันดับ 5 ยังเป็นของตระกูลปราสาททองโอสถ ด้วยมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวม 6,624.74 ลดลง 1,192.89 ล้านบาท หรือ 15.26% จากการถือครองหุ้นของ นายแพทย์ปราเสิรฐ-ปรมาภรณ์-พล.ต.ต.วิสนุ และ สมิทธ์ ปราสาททองโอสถ ในโรงพยาบาลชื่อดัง อย่าง บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) และโรงพยาบาลนนทเวช (NTV) รวมทั้ง บมจ.นวลิสซิ่ง (NVL) บมจ.บล.ไซรัส (SYRUS) และ บมจ.เอกรัฐวิศวกรรม (AKR)
ส่วนตระกูลชินวัตรของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ตกลงมาหนึ่งอันดับจากอันดับ 47 มาอยู่อันดับ 48 ในปีนี้ โดยรวยลดลงเหลือ 1,369.31 ล้านบาท หรือลดลง 18.98% ซึ่งลูกสาวคนโต พิณทองทา ชินวัตร และลูกสาวคนสุดท้อง แพทองธาร ชินวัตร ยังคงเป็นเศรษฐีหุ้นในอันดับ 108 ทั้งคู่ ถือหุ้น บมจ.เอสซี แอสเซท (SC) ในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 28.97% มูลค่า 627.69 ล้านบาท ส่วนคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถือหุ้น บมจ.โรงพยาบาลวิภาวีดี (VIBHA) และ SC รวมมูลค่าเพียง 6.45 ล้านบาท