ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่รายงานโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในภาพรวมสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศต่อเศรษฐกิจไทยที่มีความชัดเจนมากขึ้น โดยการบริโภค การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการส่งออก หดตัวลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งนี้ การบริโภคภาคเอกชนหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปีครึ่ง ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี ขณะที่ การส่งออกหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีครึ่ง
การใช้จ่ายของภาคเอกชน … ชะลอลงทั้งการบริโภคและการลงทุน
การบริโภคภาคเอกชนหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปีครึ่ง (นับตั้งแต่เดือนพ.ค.2550) โดยการบริโภคภาคเอกชนพลิกกลับมาหดตัวลงร้อยละ 1.6 (YoY) ในเดือนพ.ย. จากที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 ในเดือนต.ค. โดยองค์ประกอบหลัก อาทิ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และการนำเข้าสินค้าเพื่อการบริโภค หดตัวลงถึงร้อยละ 4.3 และหดตัวร้อยละ 7.6 ในเดือนพ.ย. เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 8.6 และร้อยละ 9.0 ในเดือนต.ค.ตามลำดับ ในขณะที่ ปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ (ขยายตัวเพียงร้อยละ 6.4 ในเดือนพ.ย. จากร้อยละ 19.4 ในเดือนก่อนหน้า) ชะลอตัวลงตามภาวะซบเซาของเศรษฐกิจในประเทศ อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศได้ส่งผลทำให้ปริมาณจำหน่ายน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์พลิกกลับมาขยายตัวร้อยละ 1.5 ในเดือนพ.ย. หลังจากที่หดตัวลงในช่วง 8 เดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ การบริโภคที่หดตัวลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวลงสู่ระดับ 74.2 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2545 จากระดับ 75.8 ในเดือนต.ค.
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่ำสุดในรอบ 14 เดือน แม้ว่าการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมจะยังคงขยายตัวได้ร้อยละ 1.3 (YoY) ในเดือนพ.ย. ต่อเนื่องจากที่ขยายตัวร้อยละ 2.2 ในเดือนต.ค. แต่องค์ประกอบหลักสะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณความอ่อนแอของการลงทุนอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น นำโดยยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ยอดขายปูนซีเมนต์ และมูลค่าโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุน ซึ่งหดตัวลงอีกร้อยละ 36.7 หดตัวร้อยละ 22.4 และหดตัวร้อยละ 44.3 ในเดือนพ.ย. (ต่อเนื่องจากที่หดตัวร้อยละ 28.3 หดตัวร้อยละ 16.0 และหดตัวร้อยละ 25.0 ในเดือนก่อนหน้า ตามลำดับ) ทั้งนี้ การชะลอตัวลงของการลงทุนดังกล่าว มีความสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจซึ่งปรับตัวลงแตะระดับ 34.4 ในเดือนพ.ย. ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่มีการจัดทำข้อมูลในปี 2543 จากระดับ 38.3 ในเดือนต.ค.
การผลิต … ภาคอุตสาหกรรมหดตัวครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี
ผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวลงครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงถึงร้อยละ 6.6 (YoY) ในเดือนพ.ย. ซึ่งนับเป็นอัตราการหดตัวลงที่รุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี (นับตั้งแต่เดือนพ.ย.2541)จากที่ขยายตัวร้อยละ 2.3 ในเดือนต.ค. โดยการผลิตสินค้าที่สัดส่วนการส่งออกมากกว่าร้อยละ 60 ของการผลิตรวม ซึ่งต้องเผชิญกับภาวะซบเซาของเศรษฐกิจคู่ค้า พลิกกลับมาหดตัวลงร้อยละ 8.4 ในเดือนพ.ย. จากที่ขยายตัวร้อยละ 5.9 ในเดือนต.ค. ในขณะที่ การผลิตสินค้าที่สัดส่วนการส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30 ของการผลิตรวม ชะลอตัวลงต่อเนื่องตามความซบเซาของอุปสงค์ในประเทศ หดตัวลงร้อยละ 0.1 ในเดือนพ.ย. จากที่ขยายตัวร้อยละ 2.1 ในเดือนต.ค. ทั้งนี้ การหดตัวลงอย่างมากของการผลิตภาคอุตสาหกรรมได้ส่งผลทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตร่วงลงสู่ระดับร้อยละ 61.1 ในเดือนพ.ย. จากร้อยละ 67.0 ในเดือนต.ค.
ผลผลิตภาคเกษตรพลิกกลับมาขยายตัวอีกครั้งหลังจากหดตัวลงในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ดัชนีผลผลิตพืชผล (Crop Production Index) ขยายตัวร้อยละ 3.8 (YoY) ในเดือนพ.ย. หลังจากที่หดตัวลงร้อยละ 2.3 ในเดือนต.ค. ในขณะที่ ราคาพืชผลขยายตัวอีกร้อยละ 16.0 ในเดือนพ.ย. ต่อเนื่องจากที่ขยายตัวร้อยละ 16.5 ในเดือนต.ค.
ภาคต่างประเทศ … ส่งออกหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีครึ่ง
การส่งออกหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีครึ่ง ทั้งนี้ การส่งออกพลิกกลับมาหดตัวลงถึงร้อยละ 17.7 (YoY) ในเดือนพ.ย. หลังจากที่ขยายตัวร้อยละ 4.7 ในเดือนต.ค. โดยปริมาณสินค้าส่งออกหดตัวลงถึงร้อยละ 20.8 ในเดือนพ.ย. ต่อเนื่องจากที่หดตัวร้อยละ 3.1 ในเดือนต.ค. ขณะที่ ราคาสินค้าส่งออกขยายตัวเพียงร้อยละ 4.0 ในเดือนพ.ย. ลดลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 8.0 ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ การส่งออกหดตัวลงในเกือบทุกหมวด โดยเฉพาะ หมวดสินค้าเกษตร ที่หดตัวถึงร้อยละ 32.5 ในเดือนพ.ย. จากที่ขยายตัวร้อยละ 12.8 ในเดือนก่อนหน้า หมวดสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวลงร้อยละ 17.5 ในเดือนพ.ย. เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 ในเดือนก่อนหน้า และหมวดสินค้าใช้เทคโนโลยีสูง หดตัวลงอีกร้อยละ 21.4 ในเดือนพ.ย. ต่อเนื่องจากที่หดตัวร้อยละ 0.8 ในเดือนก่อนหน้า
การนำเข้าขยายตัวต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง โดยการนำเข้าขยายตัวเพียงร้อยละ 0.2 (YoY) ในเดือนพ.ย. จากที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 23.5 ในเดือนต.ค. โดยปริมาณสินค้านำเข้าหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือนร้อยละ 1.6 ในเดือนพ.ย. หลังจากที่ขยายตัวร้อยละ 15.6 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ ราคาสินค้านำเข้าขยายตัวเพียงร้อยละ 1.8 ในเดือนพ.ย. ชะลอตัวต่อเนื่องจากร้อยละ 6.9 ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ การนำเข้าขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในเกือบทุกหมวด (ยกเว้นหมวดสินค้าทุนที่ขยายตัวร้อยละ 11.5 ในเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.0 ในเดือนก่อนหน้า) โดยเฉพาะ หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดวัตถุดิบ และหมวดเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น ที่หดตัวลงร้อยละ 6.9 หดตัวร้อยละ 13.3 หดตัวร้อยละ 11.8 .ในเดือนพ.ย. เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 11.0 ร้อยละ 20.8 และร้อยละ 26.4 ในเดือนก่อนหน้า ตามลำดับ
ทั้งนี้ การส่งออกที่หดตัวลงอย่างมาก ได้ส่งผลให้ดุลการค้ายังคงบันทึกยอดขาดดุลอีก 895.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. ต่อเนื่องจากที่ขาดดุล 964.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนต.ค. และเมื่อรวมยอดขาดดุลการค้าเข้ากับดุลบริการฯ ซึ่งบันทึกยอดขาดดุล 39.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. ได้ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงบันทึกยอดขาดดุลต่อเนื่องอีก 934.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. หลังจากที่ขาดดุล 1,127.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนต.ค.
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดเดือนพ.ย.2551 ของธปท. บ่งชี้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นถึงภาวะที่เปราะบางของเศรษฐกิจไทยในทุกภาคเศรษฐกิจ โดยแม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน แต่ความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพการเมืองในประเทศ และแนวโน้มถดถอยของเศรษฐกิจทั่วโลก ได้ส่งผลทำให้การบริโภคภาคเอกชนพลิกกลับมาหดตัวลงพร้อมๆ กับการถดถอยลงของความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ส่วนการลงทุนภาคเอกชนและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการส่งออก หดตัวลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 6-7 ปี ที่ผ่านมา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ปัจจัยการเมืองในประเทศยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาในระยะถัดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ในยามที่การส่งออกของไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ซึ่งเมื่อพิจารณาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยอาจต้องเผชิญกับภาวะถดถอยทางเทคนิค [มี GDP หดตัวลง/ติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (Seasonally adjusted QoQ) ติดต่อกัน 2 ไตรมาสขึ้นไป] ตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 4/2551 ถึงไตรมาส 1/2552 โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2551 อาจหดตัวลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (Seasonally adjusted QoQ) และเมื่อประกอบภาพความซบเซาทางเศรษฐกิจ เข้ากับแนวโน้มการชะลอลง/ติดลบของอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ธปท.อาจมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินไปในเชิงที่ผ่อนคลายลงอีกในระยะถัดไป โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2552



